Group Blog
 
All blogs
 

คำถาม: ความรักกับความเห็นแก่ตัว





มีคำถามฝากไว้ในกล่องคำถาม ที่อยากเอามาแปะไว้ในห้องนี้
(จริงๆแล้วหาเรื่องอัพบล็อคไม่ทันล่ะสิ ตาแอสตั้น )

คำถามมีดังนี้ครับ

"สวัสดีค่ะ
แอบตามอ่านบลอคนี้มานาน ตามมาจากคอมเม้นต์ในกระทู้เรื่อง the radio ค่ะ
เพิ่งได้ทราบว่าเป็นคุณเอ็ดดี้ตัวจริงเสียงจริง
และก็เพิ่งทราบอีกว่านอกจากจะเชี่ยวชาญเรื่องเพลงแล้ว ยังศึกษาธรรมด้วย ดีจังเลยนะคะ (ขอชื่นชม)

สิ่งที่อยากถามก็คือ คุณคิดว่า ความรักกับความเห็นแก่ตัวนี่มันจะไปกันได้ไหมคะ?
เพราะเชื่อแน่ว่า ในบรรดามนุษย์ในโลกที่มีความรัก มันก็ย่อมต้องมีคู่ของคนที่เห็นแก่ตัวอยู่

ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ เมื่อเร็วๆนี้ เพิ่งทะเลาะกับคนที่คบกัน
แล้วเค้าพูดมาคำนึงว่า เค้าเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดถึงตัวเองก่อนอันดับแรก
ถ้าเค้าคบกับเราแล้วทำให้เค้าเครียดหรือหงุดหงิด เค้าก็ไม่อยากคบ....เราก็อึ้งไปเลยคะ

ถึงตอนนี้เราจะยังคบกันอยู่ แต่ทุกครั้งที่คิดถึงคำพูดนี้ที่เค้าเคยพูด ทำให้เราไม่มีความสุขเอาซะเลย เพราะรู้สึกว่า เค้าทำไมรักเราน้อยจัง...
แถมต้องกลายเป็นคนยอมเค้าซะส่วนใหญ่

นึกแล้วมันเศร้าจังอ่ะค่ะ

รบกวนคุณเอ็ดตอบให้ด้วยนะคะ"


นี่ล่ะน๊า.. พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์

ไม่ทราบจะรับได้ไหม ถ้าผมจะบอกว่า มนุษย์เราเห็นแก่ตัวกันทุกคนนะ

ไม่ใช่แค่เรื่องความรักหรอกครับ ทุกเรื่องเลยแหละ
ตั้งแต่การแต่งตัวแต่งหน้าทำผม การทำงาน การกิน การนอน

เรามักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเสมอ เพราะเรา "รักตัวเอง"
อยากให้ตัวเองดูดี อยากให้ตัวเองมีความสุข อยากให้ตัวเองสบายใจ

ถ้าจะว่ากันตามจริง การที่เราเลือกแฟน เลือกคนรัก
ก็เลือกด้วยสาเหตุว่า เราเชื่อว่า ถ้าคนนั้นเขารักเรา เราจะมีความสุข
ถ้าคนนั้นเขาดีกับเรา จริงใจกับเรา เราจะมีความสุข

เรียกว่าขึ้นต้นแบบไหน ลงท้ายมันก็เพื่อความสุขของ "เรา" นี่แหละ

เพียงแต่ในความรักตัวเอง มันมีระดับขั้น และรูปแบบต่างกัน
บางคนที่เห็นแก่ตัวน้อยหน่อย ก็จะรู้สึกว่า
ถ้าคนที่เรารักเขามีความสุข เราก็จะมีความสุขไปด้วย

อย่างน้อยก็ยังมีความรู้สึกอยากเป็นผู้ให้อยู่ ว่างั้นเถอะ

ใครมีแฟน มีคนรัก มีคู่ชีวิตแบบกลุ่มหลัง ก็นับว่าโชคดีเหมือนถูกหวย

ขณะเดียวกันคนจำพวกหลังนี่ ไม่ได้แปลว่ามีทุกข์น้อยกว่าชาวบ้านเลยนะ
เพราะบางคนอยากเป็นผู้ให้ แต่พออีกฝ่ายเขาไม่อยากรับ ก็เสียใจ

เป็นทุกข์แบบคนดี แต่คนดีประเภทที่บางทีก็ไม่ค่อยฉลาด
อันนี้เมื่อก่อนผมก็เป็น กระบือแถวบ้านเรียกผมซื่อๆว่า พี่

เพราะถ้าเป็นคนมีปัญญา มีสติ จะเข้าใจได้ว่า
ไอ้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มันเป็นยาชูกำลัง ไม่ใช่อาหารหลักของชีวิต

ไปรักเขา ไปดีกับใคร แล้วเขาไม่รัก ไม่อยากได้รับ มันเป็นปัญหา
มีปัญหาก็แก้ไป เขาไม่รักก็อย่าไปตื๊อเขา ไม่อยากได้ก็อย่าไปให้

แต่ปัญหา ไม่ใช่ทุกข์นะ

เพราะถ้ามีปัญหา แล้วแก้ไปด้วยเหตุด้วยผล
แก้แล้วผลเป็นยังไง ก็เข้าใจได้ ยอมรับได้ มันก็ไม่ทุกข์

แต่ถ้ามีปัญหาแล้วเอาแต่นั่งคร่ำครวญ โทษพรหม โทษชะตา
โทษคนอื่น โทษตัวเอง อันนั้นแหละ ถึงจะทุกข์

มองในแง่นึง คนรักคุณเขาก็พูดความจริง ก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก
ปัญหาคือ บางทีเรารับความจริงไม่ได้ เราอยากได้ยินเขาพูดอีกอย่าง
เราอยากให้เขาคิดอีกอย่าง เพื่อให้เป็นไปอย่างที่เราหวัง

ปัญหามันเลยเริ่มจากตรงนั้นแหละ

มองในมุมกลับกัน.. ถ้าคุณอยู่กับแฟนคนนี้
แล้วเขาทำให้คุณลำบากอึดอัดขัดใจ เครียด หงุดหงิด ตลอดเวลา
คุณก็คงไม่อยากคบเหมือนกัน

คนเราอยากมีคู่ ก็เพราะพื้นฐานความเชื่อว่า
มีคู่แล้วจะมีความสุขนะครับ อาจจะไม่ต้องหวานแหววแต๋วจ๋า
แต่อย่างน้อยก็ขอให้สบายใจแหละ

แนะนำให้คุณลองย้อนไปอ่านบล็อคเก่า เรื่อง ทางสายกลางของความรัก
และความสบายใจ ดูอีกสักรอบ

ตอบแล้วถ้าไม่ถูกใจต้องขออภัยนะครับ

สุขสันต์วันอาทิตย์ครับ




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2551 2:53:05 น.
Counter : 2004 Pageviews.  

รถ กับ เรา






ช่วงนี้มีภาระเกี่ยวกับรถหลายเรื่องครับ

คือมันถึงเวลาจะต้องเสียภาษีรถประจำปี เสร็จแล้วก็จะต้องจ่ายค่าประกันรถ
วันก่อนขับๆอยู่ กระจกไฟฟ้า ก็ทำงานผิดปกติ รวนอยู่หลายเพลากว่าจะยอมปิด

พายุฝนกระหน่ำ ทำเอารถมอมแมม ก็ต้องพามันไปอาบน้ำ
แบตเตอรี่ ที่ติดรถมา ก็เริมออกอาการงอแง อ้อนจะขอเปลี่ยนลูกใหม่

ความเสื่อมของรถ ก็สะท้อนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้เห็นไหมครับ

รถยนต์จะราคาหลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน หรือหลายล้าน หลายสิบล้าน
ต่างก็อยู่ในกฏธรรมชาติเหมือนกัน คือมันเสื่อมได้ พังได้ และเป็นภาระต้องดูแลพอกัน

รถจะสวย จะดี จะแพงแค่ไหน เราก็ทำให้มันอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้
ทำได้แต่เพียงบำรุง ดูแล รักษา เพื่อช่วยมันประคองสังขาร

ผมมักจะยกเรื่องรถยนต์ ไปเทียบกับร่างกายของคนเราด้วยเหตุนี้
เพราะมันมีอะไรคล้ายๆกันอยู่มาก

อย่างแรก ผมเคยเปรียบว่า ร่างกายเหมือนตัวรถ จิตใจเหมือนคนขับ
เพื่อให้เราเห็นภาพง่ายขึ้นว่า ที่เขาพูดว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว มันเป็นยังไง

คือจิตใจจะสั่งการ ควบคุมบังคับกายให้เคลื่อนไหวยังไงก็ได้
แต่ความจริงก็คือ กายกับจิต เพียงแค่อยู่ร่วมกัน แต่ก็เป็นคนละส่วนกันนะ

บางครั้ง บางเวลา บางคนเป็นอัมพาต ขยับตัวไม่ได้ แต่ใจยังทำงานได้
ก็เหมือนรถยนต์พังหมดสภาพ ขับต่อไม่ได้ แต่คนขับไม่เป็นไรนั่นแหละ

นอกจากนั้น ร่างกายคนเรายังเหมือนรถตรงที่ มันเสื่อม โทรม เสียได้
รถจะดี จะแพง จะหรู ขนาดไหน ก็เสียได้ เสื่อมเป็น โทรมเป็น เหมือนกัน
ร่างกายก็เหมือนกัน จะแข็งแรง สวยงาม บำรุงดีขนาดไหน ก็เสียได้ เสื่อมได้ โทรมได้

รถเสีย เราเอาเข้าอู่ ให้ช่างซ่อม
เราเสีย ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่ก็คลานไปหาหมอตี๋

และตราบใดที่เรายังใช้งานมัน มันต่างก็ต้องการพลังงาน
ต้องให้อาหารร่างกาย เติมพลังงานให้รถ ไปจนกว่าจะตาย หรือเลิกใช้รถคันนั้น

บางคนอาจจะบอกว่า รถยนต์มันของนอกกาย
แต่เชื่อไหมครับว่า คนหลายคนที่ผมรู้จัก รักรถยิ่งชีพ
บางทีรักมากกว่าเมียที่บ้านอีก

รถมีรถขีดข่วนนิดหน่อย น้ำตาแทบร่วง ยังกะเจ็บแทนรถ
เมียเอารถไปขับเฉี่ยวเสานิดนึง ถึงกับโกรธไปสามวันเจ็ดวัน

สิ่งที่ต่างอย่างเดียวที่เห็นคือ รถยนต์นี่ ชีวิตหนึ่งอาจจะมีได้หลายคัน
บางคนที่บ้านมีรถเป็นสิบๆคัน ทั้งๆที่ขับได้ทีละคัน
แต่ร่างกายนี่ ชีวิตนึงมีได้ร่างเดียวนะครับ

ยกเว้นคุณยายวรนาถ ในทายาทอสูร อันนั้น ก็ว่ากันไม่ได้

แต่ถึงจะรู้ว่า รถยนต์มันของชั่วคราว อยู่กับเราไม่กี่ปีแล้วก็ไป
หลายคนก็ยังชอบจ่ายเงินเยอะแยะให้ของชั่วคราวชิ้นนี้
ทั้งเครื่องเสียง ทั้งเบาะหนัง ทีวี ดีวีดี ช่วงล่าง ล้อแม็ก ท่อไอเสีย ไฟท้าย ฯลฯ

ผมเองขนาดไม่อินังขังขอบกับรถมาก ยังอดเอารถไปขัดสีไม่ได้
เพราะรถผมสีดำ เวลาไม่ขึ้นเงา มันดูหมองๆพิกล

(โธ่... อีตาแอสตั้น แล้วทำมาพูด )

ร่างกายก็เช่นกัน มันก็ของชั่วคราวนะ อยู่กับเราไม่กี่สิบปีแล้วก็ไป
แต่คนหลายคนก็ลงทุนไปกับมันเยอะแยะ ทั้งเครื่องสำอาง เครื่องประดับ
น้ำหอม เสื้อผ้า สปา กระเป๋า บอดี้เชฟ เอฟวรี่ติง

ส่วนการลงทุนที่พกใส่กระเป๋าติดตัวข้ามภพ ข้ามชาติได้จริงๆ
คือการลงทุนด้วยบุญกุศล ด้วยกรรมดี สะสมปัญญาให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ
ไม่ยักกะมีคนอยากลงทุนแฮะ

ถ้าเป็นผู้ชาย ชวนไปมอเตอร์โชว์ เดินดูรถ ไปลองขับ
ส่วนมากจะไม่ลังเล นี่ขนาดไม่นับเรื่องพริตตี้นะ

ส่วนคุณผู้หญิง ถ้าชวนไปนวดหน้า นวดตัว ทำเล็บ ทำผม หรือไปดมแฟชั่นโชว์
ส่วนมากจะไม่ลังเล นี่ขนาดไม่นับเรื่องช้อปปิ้งนะ

แต่ถ้าชวนไปเรียนวิปัสสนา ไปเรียนรู้กายรู้ใจตัวเอง
นอกจากจะลังเลแล้ว ยังอาจจะมองเราแปลกๆอีกต่างหาก

แปลกแต่จริงนะครับ

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ สุขสันต์วันตรุษจีนทุกท่านครับ




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2551 12:23:41 น.
Counter : 807 Pageviews.  

คำถาม: ทำไมวิปัสสนาจึงเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่




มีคำถามจากคุณ chaamaa ที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับหลายท่าน ถามว่า

มีน้องที่ทำงานมาถามว่า ทำไมการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน จึงถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็เคยถูกลูกสาวถามว่า ทำไมต้องคอยบอกให้เค้าสวดมนต์ เพราะเค้าเชื่อว่าการคิดดี ทำดี ช่วยเหลือผู้อื่น ก็เป็นการทำบุญที่มากพอแล้ว เหมือนเป็นการทำบุญที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เข้าใจได้น่ะค่ะ แต่เค้าไม่เข้าใจว่า การนั่งสวดมนต์ หรือปฏิบัติธรรม จะเป็นกุศลต่อตัวเองและคนอื่นได้ยังไง
คุณแม่ก็รู้แค่ว่า ทำให้จิตใจเราสงบ มีสมาธิ แต่ก็ยังไม่ทราบจริงๆว่า เมื่อเรานั่งสมาธิแล้ว ได้ผลบุญอะไรที่ทำให้เราสามารถแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้น่ะค่ะ


ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่า
คนส่วนมากมักเข้าใจว่า วิปัสสนา คือการนั่งสมาธิ ซึ่งผิดนะครับ
กรรมฐานเพื่อการวิปัสสนา ไม่ได้มาพร้อมกิริยา "นั่ง" อย่างเดียว

ที่จริง อิริยาบถ ของการวิปัสสนา คือทุกอิริยาบถที่กาย หรือใจเราเคลื่อนไหว
จะยืน เดิน นั่ง นอน หายใจเข้าหรือออก ก็ได้

นั่งสมาธิ ไม่ได้แปลว่าจะเป็นวิปัสสนาเสมอไป
และตรงกันข้าม คนส่วนมากนั่งสมาธิแล้วได้ผลเป็นสมถะอย่างเดียว

เพราะคนส่วนมากนั่งสมาธิเพื่อความสงบของจิตใจ ด้วยการเพ่งลม เพ่งท้อง เพ่งกาย
หรือจดจ่อกับการบริกรรมพุทโธ สัมมาอรหัง หรือนับเลข หรืออะไรบางอย่าง

แต่ก็ไม่ได้บอกว่า นั่งสมาธิจะเจริญวิปัสสนาไม่ได้นะครับ
เพราะวิปัสสนา คือการรู้ความจริงอันประเสริฐของกายใจของเราเอง

ถามว่า ..ความจริงอะไรที่ว่าประเสริฐ?
ตอบว่า.. ความจริงที่ว่า กายนี้ ใจนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้
ศัพท์เทคนิคเขาเรียก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เวลาพระเทศน์ท่านเรียก "ไตรลักษณ์" นั่นแหละ

ถูกแล้วครับ ปลายทางของความสำเร็จของการวิปัสสนา
คือการบรรลุถึงความจริงที่ว่า ตัวเราไม่มี มีแต่ความเห็นผิด ว่ากายใจนี้คือเรา

ทีนี้ ถ้าถามว่าเจริญวิปัสสนา ทำไมถึงเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่?

ก็เพราะวิปัสสนาเบื้องต้น ทำให้สติเราเจริญ
เมื่อสติเจริญ จิตก็ไม่ตกไปในที่ชั่ว ไม่ทำบาป มีความละอายต่อบาปกรรม จิตจึงเป็นกุศล

วิปัสสนา เบื้องปลาย ทำให้เราเห็นความจริงอันสำคัญหลายเรื่อง
อย่างเช่นเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
เห็นว่า ทุกอย่างในชีวิต ในโลกนี้ เป็นของชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว

เห็นว่า ตัวเราไม่มี อย่างที่พูดถึงบ่อยๆ โดยเห็นว่าจิตนี่ ไม่ใช่ตัวเรานะ
ส่วนอันสุดท้ายนี้เด็ดมาก แต่ผมยังไม่เห็นนะ คือ..
เห็นว่า กายใจนี่แหละ คือตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง

ไม่ใช่ทุกข์เพราะไม่สมหวัง เพราะความอยาก ความดิ้นรน หรือกิเลสอะไรหรอก
แต่ตัวกายใจมันเองนี่แหละ คือตัวทุกข์

ย้ำอีกทีว่า ผมยังไม่ได้เห็นแบบนั้นหรอกนะครับ
เพราะถ้าเห็นเมื่อไหร่ ผมก็เป็นพระอรหันต์แล้ว

ส่วนเรื่องทำบุญ ฟังธรรม ถือศีล นั่งสมาธิ ก็เป็นบุญ เป็นกุศลทั้งนั้นครับ
แต่ต้องเข้าใจว่า บุญมีหลายเกรด เหมือนแก้ว คริสตัล พลอย เพชร

บางอย่างบังคับกันไม่ได้ แต่ให้โอกาสเขาซึมซับได้

ค่อยๆบอกลูกไปนะครับ




 

Create Date : 30 มกราคม 2551    
Last Update : 30 มกราคม 2551 1:28:17 น.
Counter : 2353 Pageviews.  

เชลล์ไม่ชวน ก็ควรอ่าน






ผมเป็นมนุษย์จำพวกที่เขาเรียกกันว่า "ลิ้นจระเข้"
อันนี้ไม่ได้เจตนาพาดพิงอาจารย์เข้ กุมภีน เพื่อนร่วมบล็อคแกงค์ แต่อย่างใด

คือให้ทานอะไรก็ทานได้ รสจืด รสจัด ผัดเผ็ด เห็ดโคน ลาซานย่า ปลาเผา กะเพรานรก
แต่อย่าถามว่า อันไหนอร่อยกว่า เพราะจะตอบว่า "ก็โอเคๆ"

ผมเป็นมนุษย์ที่ให้ความสำคัญกับการแสวงบุญทางลิ้นน้อยมากนะ
จะเชลล์มาชวน ช้อยมาชิม หมึกแดงบอกอร่อยปลิ้นจนลิ้นห้อยยังไง ผมก็ไม่ค่อยตื่นเต้น
ไม่เหมือนเพื่อนผมบางคน ช่างเสาะแสวงหา ร้านไหนซอกไหน หลืบโน้น มีอะไรอร่อยเป็นรู้หมด

ไอ้ fwd mail จำพวกลายแทงร้านอร่อยแถวเยาวราชอะไรนั่น ผมอ่านๆแล้วก็อือๆ
เสร็จแล้วก็คลิกปิดไว้ แล้วก็ลืมไปในห้านาที

แต่ถึงจะเป็นคน "ลิ้นจระเข้" ก็ไม่ได้แปลว่า ผมจะไม่หิวเสียเมื่อไหร่

ผมเคยนึกเล่นๆว่า.. ความหิว ซึ่งจัดเป็นความทุกข์พื้นฐานของสิ่งมีชีวิตแบบเรา
มันเป็นศัตรูสำคัญ เบอร์ต้นๆของมนุษย์ ในสายตาของผม

เพราะเราไม่มีสิทธิเลือก ว่าจะหิวหรือไม่หิว
เราไม่มีสิทธิเลือกว่าจะกินหิน กินหญ้า แต่ต้องกินเฉพาะของที่ท้องมนุษย์รับได้

ครั้งนึง เคยขับรถทางไกลไปต่างจังหวัด บนภูเขาทางเหนือ ขับไปก็หิวไป
แต่ก็ยังไม่เจอเขตเมืองที่จะแวะทานอะไรได้สักที ข้างทางก็มีแต่ทุ่งหญ้าเต็มพรืด
ผมนึกเล่นๆว่า.. เออ.. ทำไมมนุษย์เรากินหญ้าไม่ได้นะ

ถ้าเรากินหญ้า กินใบไม้ อันไหนก็ได้ ก็น่าจะดี ชาตินี้คงไม่ต้องลำบาก

แล้วมันเป็นภาระที่ตลกมากนะครับ
คือไม่ว่าคุณจะกินของอร่อย ดี มีคุณค่า แพงแค่ไหน
คุณก็กินได้เท่าที่คุณอิ่มเท่านั้น

ถ้ากินต่อ เกินจากจุดที่อิ่ม เราจะเริ่มอึดอัด และรู้สึกว่าความอร่อยมันน้อยลง
พูดง่ายๆว่า.. หิวก็ทุกข์ อิ่มก็ทุกข์ จะถ่ายก็ทุกข์อีก

ที่แน่ๆ .. จะทานอิ่มแค่ไหน อร่อยขนาดไหน ความหิวก็ไม่เคยหมดไปอย่างถาวร
อิ่มแล้วไม่กี่ชั่วโมง ก็หิวใหม่ จนกว่ากายนี้ จิตนี้ มันจะแตกดับไปนั่นแหละ

ในบรรดา ความสุขทางโลกทั้งหมด คือ กิน กาม เกียรติ ผมว่าไอ้เรื่องกินนี่หนักสุด
เพราะมันจะคอยแย่งเวลาเรา วันละหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้งตามแต่กิจวัตร
บางคนที่เก่งๆหน่อย ก็ทานได้วันละหลายเวลา ค่อยๆทานได้ตลอดเวลา ก็มี

ลูกน้องเก่าสาวสวยของผมคนนึง เธอทานเก่งมาก ทานจุ แต่ทุกคนจะทึ่งในความแฟ่บของท้องเธอ
เรียกว่า ถ้าเอายีนของเธอไปเพาะพันธุ์มนุษย์หญิงไทยแล้วไซร้
ธุรกิจลดความอ้วน บอดี้เชฟ มารีฝรั่งเศส สลิมมิ่ง สลิมเมิ่ง เห็นทีจะต้องเปลี่ยนไปขายส้มตำกันเป็นแถบ

แต่เพราะส่วนมากไม่ใช่ .. ความสุขทางปากของหลายคน
จึงแปรสภาพเป็นก้อนทุกข์บ้าง ห่วงทุกข์บ้าง
มาเกาะแข้ง เกาะขา มาโอบเอวบ้าง สะโพกบ้าง

เป็นภาระให้เราต้องไปกำจัด บางคนไปฟิตเนส บางคนเต้นระบำ รำมวย
บางคนมีทุนทรัพย์หนา ก็พาตัวเองไปนวดสลายไขมัน พันพลาสติคอะไรไปตามเรื่อง

ประโยชน์ของความหิว ที่ผมเห็น ก็คงเป็นเรื่องการเห็นไตรลักษณ์
อย่างปกติ เวลาผมอธิบายว่า อนิจจัง คือความไม่เที่ยง คนก็จะงงๆ

แต่ถ้าบอกว่า.. ตอนนี้คุณหิวมั้ย .. หิวนิดหน่อย ..
แล้วก่อนหน้าจะหิวคุณจำความรู้สึกนั้นได้มั้ย.. ส่วนมากจะจำได้

เห็นมั้ยว่าจิต ก่อนหิว ระหว่างหิว มันต่างกัน
จิตตอนที่หิวแล้วไม่ได้ทาน หรือได้ทานอาหารก็ต่างกัน

ทานอาหารแล้ว อร่อย ไม่อร่อย จิตก็ต่างกัน คอยสังเกตดูนะครับ

แล้วจะเห็น จะเข้าใจว่า จิตมันไม่เคยคงที่เลย นั่นแหละเรียกว่ามันเป็นอนิจจัง
แล้วระหว่างที่มันเป็นไป มันจะมีตัวทุกข์ แทรกอยู่เป็นระยะๆ

คือเพราะมีความหิว จิตมันก็ทุกข์ พอทุกข์ ก็อยากให้หาย ก็จะผลักดันให้เราไปแสวงหาของใส่ท้อง

อันนี้ในระดับแอดวานซ์มากๆ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เราจะเห็นเลยว่า
จิตนี้ กายนี้แหละ คือตัวทุกข์ ไม่ใช่แค่ทุกข์เพราะหิว เพราะอิ่ม อะไรหรอก

แต่เรายังไม่แอดวานซ์ เราแค่เห็นว่า กายมันหิว จิตมันอยาก มันดิ้น มันก็ทุกข์
กินอิ่ม สบายท้อง มันก็สุข เห็นได้เท่านี้ ก็ดีถมถืด

เพราะเห็นแค่นี้ ก็เห็นได้แล้ว ว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันบังคับไม่ได้หรอกนะ
มันจะหิว มันก็หิวของมันเอง มันจะเจริญอาหาร มันก็เป็นไปของมัน

ไอ้สิ่งที่เราคิดว่า เป็นตัวเรา จริงๆมันไม่ใช่หรอก มันทำงานอัตโนมัติไปเรื่อยๆ
แล้วเราน่ะเป็นแค่ทาสของ ความหิว ความอยาก ความโลภ

เป็นเหมือนหุ่นกระบอก หุ่นเชิด ที่เวลามันดึงเชือกทีนึง เราก็ขยับตามมันไปทีนึง

ถ้าเห็นได้ว่ากายนี้ ใจนี้ มันไม่เที่ยง มันแปรปรวน มันบังคับไม่ได้ มันเป็นของชั่วคราว
อันนี้เขาเรียกว่าเห็นไตรลักษณ์ ได้ปัญญาเก็บใส่กระปุกไว้หนึ่งแต้ม

ดูๆไปนะครับ ความหิวก็ไม่เที่ยง มันเกิดเพราะเหตุและปัจจัย คือท้องว่าง

ความหิว ไม่ได้ดับ เพราะเราสั่งให้ดับ ไม่ได้ดับ เพราะเราอยากให้ดับ
พอเหตุและปัจจัย คือความท้องว่างหมดไป เพราะเราเอาอาหารใส่เข้าไป ความหิวก็ดับ

เข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัย ก็จะปฏิบัติด้วยความสบาย
มีชีวิตอยู่ก็สบายใจ เดอะเรดิโอหมดไป ก็สบายใจ โกรธใคร ก็ยังสบายใจเลย

คือเห็นว่าความโกรธ ก็เหมือนความหิว เราไม่ได้บังคับ เราไม่ได้กำหนดให้มันมี
มันมีขึ้น มันมา ตามเหตุ ตามปัจจัย เพราะมีบางอย่างมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

มันต้องมีอะไรสักอย่างแหละ มากระทบ

กระทบ แล้วจิตก็หลงไปปรุงแต่ง ให้ค่าสิ่งที่เราได้ยิน ได้เห็น
ให้ค่าเป็นลบ แล้วก็โกรธ โกรธแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็ดิ้น ดิ้นก็ทุกข์ซ้ำ

แต่ความโกรธ ก็ไม่เที่ยง สังเกตดูสิครับ ตามรู้มัน เหมือนตอนคุณสังเกตจิตที่หิว
แล้วคุณจะรู้ว่า ความโกรธ ก็ดับไปได้เอง ตามเหตุและปัจจัยที่ดับ

ไม่ได้ดับเพราะเราอยากให้ดับ ไม่ใช่เพราะเราสั่งมันให้ดับ

แต่เพราะจิตมันเลิกคิด เลิกปรุง เลิกให้ค่า
ที่มันเลิกให้ค่า เพราะมันเลิกปรุง ที่เลิกปรุง เพราะมันหยุดคิด

ที่มันหยุดคิด เพราะเรามีสติ "รู้สึกตัว" เท่านั้นแหละครับ
ถึงแนะนำอยู่บ่อยๆว่า ไม่ต้องทำอะไรเกินไปกว่าเพียงแค่ "รู้สึกตัว" นะ

ธรรมะเยอะแยะ แปดหมื่นสี่พันข้อ ..
ทั้งหมด รู้ได้แจ้ง แทงตลอดได้ด้วยการ "รู้สึกตัว" นี่แหละ

สุขสันต์วันบวช ของน้องชายท่านนึงครับ
ไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ก็อนุโมทนาไว้ ณ ที่นี้
สาธุคร้าบ....




 

Create Date : 26 มกราคม 2551    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 0:32:38 น.
Counter : 893 Pageviews.  

ความสบายใจ







อันนี้สืบเนื่องมาจากคำถามซึ่งคุณหมีเท็ดดี้มาถามไว้ ในคอมเมนท์ของบล็อคที่แล้วครับ
ใครสนใจลองแวะย้อนไปหาอ่านก่อนได้

เราคุยกันเรื่อง "ความสบายใจ"

ถึงผมจะชอบบอกใครๆว่า ผมเป็นคนเรื่องมากเรื่องเลือกแฟน
ที่จริงมาตรฐานผมมีอยู่ข้อเดียว คืออยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ

ไม่ใช่เขาสบายใจ หรือผมสบายใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่เป็นความสบายใจร่วมกันของคนสองคน

เพราะขึ้นชื่อว่า "ชีวิตคู่" มันบอกอยู่แล้วว่า เป็นเรื่องของ "คู่"

ถามว่าแล้วจะเอาอะไรมาวัด ว่าสบายใจแค่ไหนจะมากพอ

เรื่องความรัก มันไม่เคยมีสูตรตายตัวหรอกครับ
ผมก็เคยนึกว่า ถ้าจะมีแฟนอีกที คนแบบนั้นผมไม่เอา คนแบบนี้ผมไม่เอา

แต่พอถึงเวลาจริงๆ ถ้ามันรักไปแล้ว อะไรมันก็มองข้ามได้
แหม.. เราก็ไม่ใช่เคน ธีระเดช หรือนาร์ซีซัสนี่นา

ตราบใดที่ข้อเสียของคนนั้น มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
หรือเป็นเรื่องต้องผิดศีล ผิดธรรม ประเภทเขามีสามีอยู่แล้ว อะไรอย่างนั้น

หรือไม่ใช่เรื่องที่เห็นว่า ถ้ายังเป็นอยู่ในระยะยาว มันจะทำให้ชีวิตเรามีปัญหา ทะเลาะเบาะแว้งแน่นอน

แต่ถามว่า เป็นเรื่องไหนบ้าง อันนี้ตอบลำบากครับ เพราะมันแล้วแต่รายละเอียดของแต่ละคน แต่ละคู่

อย่างที่บอกนะ.. ความรัก มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก
คำว่า "อยู่ด้วยแล้วสบายใจ" มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวครับ

แต่ที่แน่ๆ ผมว่า ..คนเราไม่ต้องคิดเหมือนกันทุกเรื่องก็ได้
ผมเคยสังเกตเห็นว่า คนที่รักกันมากๆ และอยู่กันยืด
ไม่ใช่เพราะเขาคิดเหมือนกันหรอก

แต่เพราะวิธีที่เขายอมรับกันและกันได้ ในความต่างนั่นแหละ
และบางทีอาจมีความสุข ที่ได้ยอมรับความแตกต่างนั้นด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานะ การศึกษา หน้าตา การงาน ความคิดอ่าน ภูมิหลัง

ผมเคยเขียนไว้ครั้งนึงว่า.. เหตุผลที่คนรักกัน ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายสมบูรณ์แบบหรอก
แต่เพราะต่างฝ่ายต่างยอมรับ และรักในความไม่สมบูรณ์ของอีกฝ่ายนึงมากกว่า

อาจจะเพราะอีกฝ่ายมาทำให้เรารู้สึกว่า เราสมบูรณ์ขึ้น ทั้งที่เขาก็ไม่ได้สมบูรณ์อะไรนั่นแหละ

บางคนที่เคยถามว่าเพราะอะไร ทำไมเราถึงไม่ได้ชอบ ไม่ได้รักทุกคน ที่เป็นคนดี เพอร์เฟกต์
อาจจะเพราะเราไม่ได้มองหาความสมบูรณ์แบบอยู่กระมังครับ

เพราะถ้าเขาสมบูรณ์แบบมากๆ เขาก็คงไม่เหมาะกับคนที่ไม่สมบูรณ์อย่างคนทั่วไป
แต่เรากลับต้องการคนที่ ไม่ต้องสมบูรณ์มากก็ได้

ขอให้มีในสิ่งที่เราขาด และขาด ในสิ่งที่เรามี

เป็นคนไม่สมบูรณ์สองคน ที่เติมเต็มกัน
ดีกว่าเป็นคนสมบูรณ์สองคน ที่ไม่มีที่ว่างให้อีกฝ่ายมาเติมเต็มนะ

เหมือนท้องฟ้าไม่มีเมฆเลย ผมว่ามันโล้นๆ ไปหน่อย
แต่ถ้ามีเมฆเต็มไปหมด ไม่เห็นท้องฟ้า ก็มืดทึมเกินไป อึดอัด

ว่ามั้ย?

วันนี้เขียนจากที่ทำงาน หลังเลิกงาน ยังไม่ทันนึกว่าจะใส่เพลงอะไร
เดี๋ยวกลับบ้านไปค่อยว่ากันเนาะ




 

Create Date : 17 มกราคม 2551    
Last Update : 26 มกราคม 2551 12:30:59 น.
Counter : 1827 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.