Group Blog
 
All blogs
 

วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ง่ายหรือยาก


(ภาพจาก Fwd เมล์ ไม่ทราบผู้ถ่าย แต่ถ่ายดีเหลือเกิน)

ก่อนอื่นอยากบอกข่าวดีว่า หนังสือ "ธนาคารความสุข" เล่มแรกได้พิมพ์เป็นครั้งที่ 4
และสาขา 2 พิมพ์ครั้งที่ 2 แล้วนะครับ
ขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยอุดหนุนครับ แบบนี้คงได้มีสาขา 3 แหละนา

สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ตั้งแต่ออกสาขา 2 คือ มีอีเมล์มาบอกผลจากการหัดรู้กายรู้ใจตัวเองกันมากขึ้น
หลายท่านเริ่มเข้าใจเรื่องวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน เริ่มได้หลัก และอีเมล์มาสอบถามเพิ่ม
ต่างจากเมื่อก่อน ที่จะเขียนมาปรึกษาปัญหาชีวิตเป็นส่วนใหญ่

อันนี้ผมอนุโมทนาด้วย และยินดีช่วยตอบคำถาม เท่าที่ความรู้ผมจะช่วยท่านได้ครับ

ส่วนท่านที่เอาไปแจกให้คนรอบๆตัวอ่านจนเขาเกิดศรัทธา เข้าใจศาสนาพุทธแท้ๆ
หรือเกิดพุทธิปัญญาเบื้องต้น หลุดจากบ่อทุกข์ได้ ผมก็อนุโมทนาเช่นกันครับ

สิ่งหนึ่งที่หลายท่านตั้งคำถาม รวมถึงผมเองก็เคยสงสัย (ก็รู้ว่าสงสัยไปก่อนนะ)
ว่า คุณแอสตั้น ตกลงวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน มันยากหรือง่ายกันแน่

ตอบให้ตรงๆซื่อๆ ว่าถ้ารู้หลักถูกต้องแม่นยำ ทำตามวิธีเท่าที่พระพุทธเจ้าบอก
ไม่เอาแต่คิด ไม่โลภ ไม่ดัดจริต (ไม่ใช่คำด่านะครับ หมายถึงไม่ดัดแปลงความจริงของจิตตัวเอง)
รับรองได้ว่าภาวนาง่าย ง่าย ง่าย ง่าย จนคุณนึกไม่ถึงเลยล่ะ

แต่ที่ลำบากเพราะคนส่วนมาก รวมถึงตัวผมเองในช่วงแรก
มักจะพยายามเริ่มต้นด้วยการค้นหาว่า "แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง" 1 2 3 4

เคยมีคนถามหลวงพ่อปราโมทย์ฯ แบบนี้แหละ หลวงพ่อตอบจนเขาอุทานว่า "มันง่ายแค่นี้เองเหรอครับ!"

ถ้าหลายท่านยังสงสัยอยู่ อยากถามผม ผมก็ตอบเหมือนหลวงพ่อว่า ก็ไม่ต้องทำอะไร
แค่หัดคอยรู้สึกตัว รู้กายรู้ใจตัวเอง อย่างที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ด้วยจิตที่เป็นกลาง

กายเคลื่อนไหว คอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหว คอยตามรู้สึก รู้สึกๆๆๆไปเล่นๆ
บอกให้ทำเล่นๆ เพราะจะได้ไม่เครียด แล้วใจจะสบายมีความสุข

ขนาดฟุ้งซ่าน จิตมัวๆ มีกิเลส แค่รู้เข้าไปสบายๆ รู้แล้วจิตยอมรับความจริง มันก็สบายนะ

เมื่อวานผมไปเยี่ยมคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอยู่
หมอบอกว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่กี่วันนี้แหละ คุณแม่ท่านนี้ท่านหัดภาวนามาก่อนนะครับ

ผมไปถามท่านว่า ท่านกลัวไหม ท่านส่ายหน้าว่าท่านไม่กลัวหรอก
ผมจับมือท่านแล้วยิ้มหวานตาตี่ให้ แล้วบอกท่านว่า

เมื่อไม่กลัว ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว ให้ท่านนอนดูกายมันแตกดับไปนะ
กายมันแสดงธรรมะให้เราดู ว่ามันไม่เที่ยง เราสั่งมันไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา

เมื่อมันไม่ใช่ตัวเรา มันจะปวดก็เรื่องของมัน เราภาวนาเป็นแล้ว เราก็ดูที่ใจเราไว้
ใจเราทุกข์ ก็รู้ว่าทุกข์ เห็นว่ากายที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ก็ส่วนนึง ใจที่ทุกข์ก็อีกส่วน
เวทนา ความปวด ก็คนละส่วนกับกาย ใจที่ไปรู้ ก็เป็นอีกส่วน มันแยกกันนะ

ถ้ากลัวขึ้นมา ก็รู้ว่ากลัว ถ้าปวดทนไม่ไหวนึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ก็ได้
แล้วกลับไปดูใจตัวเองไว้ ถ้าปล่อยวางกายใจได้ในวินาทีสุดท้าย
ท่านอาจจะได้มรรคผลเลยนะ

ท่านบีบมือผมเบาๆ ยิ้มจางๆ แล้วส่งสายตาขอบคุณ

ส่วนลูกชายก็เพิ่งเริ่มภาวนาไม่นาน ผมเอาหนังสือผม หนังสือและซีดีหลวงพ่อให้ฟัง
ตอนผมไปเจอเมื่อวาน เขานั่งร้องไห้เอามือปาดน้ำตาอยู่

ผมไปตบไหล่เขา แล้วก็บอกว่า ไม่มีอะไรต้องเสียใจหรอก หลวงพ่อฯสอนไว้นะ
ว่าเวลาพ่อแม่จะตาย ให้อนุโมทนาบุญ ที่ร่างกายท่านแสดงธรรม สอนธรรมะให้เราดู

ท่านกำลังบอกเราว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของธรรมดา วันหนึ่งเราจะต้องตายแน่
ถึงจะเกิดปาฏิหาริย์วันนี้ยื้อแม่ไว้ได้ อีกไม่นานแม่เราก็ต้องจากโลกไปตามธรรมชาติ

ผมบอกว่าทุกคนที่นั่งๆกันอยู่นี่ วันหนึ่ง ก็ต้องตายเหมือนๆกันนะ ก็ความจริงน่ะ
ที่ผ่านมา เขาก็ทำหน้าที่ดูแลแม่ได้ดีมากแล้ว ก็ดูแลช่วงสุดท้ายตอนท่านจะไป
ด้วยการทำใจให้เป็นกุศล คอยมีสติรู้สึกตัวไว้ เสียใจ รู้ว่าเสียใจ คร่ำครวญรู้ว่าคร่ำครวญ

เพราะคนกำลังจะตายนี่ จิตสุดท้ายสำคัญมากนะ ถ้าเขารับรู้ว่าพวกเราทุกข์
ท่านจะเป็นห่วง กังวล จิตจะไม่สงบ ท่านจะไปภพภูมิที่ไม่ดี
แต่ถ้าลูกๆภาวนา จิตสงบ เป็นกุศล จิตท่านรับรู้ได้ว่าเราสบายดี ท่านก็ไปดี

ผมบอกไปอย่างนั้น พอตอนสี่ทุ่ม เขาคุยโทรศัพท์กับผม บอกว่าแปลกมากเลยครับพี่
เพราะตอนนี้ เขาไม่เสียใจแล้ว ทั้งที่ตอนบ่ายยังร้องไห้เป็นนกถึดทืออยู่เลย

ผมบอกว่า ไม่แปลกหรอก เพราะคนที่ภาวนาเป็น มีสติคุ้มครองจิตนะ
เวลามีทุกข์ เสียใจ สติเกิด ความทุกข์ก็หล่นหายไปได้จริงๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้โม้
หลวงพ่อปราโมทย์ฯ ก็ไม่ได้หลอกพวกเราให้ภาวนา for nothing นะครับ

ส่วนพี่สาวเขา ยังไม่เคยภาวนา อันนี้อาการหนักหน่อย พูดยังไงก็ทำใจยาก
คงพอตอบคำถามได้ว่า ตกลงภาวนาในชีวิตประจำวัน ง่ายหรือยาก

ทิ้งท้าย ไว้ด้วยคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ ที่ผมจำมาจากหลวงพ่อปราโมทย์ฯ ว่า
"การภาวนานั้นไม่ยาก มันยากก็แต่เฉพาะผู้ไม่ภาวนา"

สุขสันต์วันปิยมหาราชครับ

ปล. วันนี้ ใครไปงานมหกรรมหนังสือฯ ที่ศูนย์สิริกิตติ์
ผมจะไปอยู่ที่บูธพรีม่า พับลิชชิ่ง #N33 โซน C

ตั้งแต่เวลา สิบเอ็ดโมงถึงเที่ยง และ บ่ายโมง ถึงบ่ายสอง
หลังจากนั้น ถ้ายังมีคนมาก็จะอยู่ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีคนแล้วก็กลับ

ใครว่าง ใครผ่านไป ก็แวะไปทักกันได้นะครับ




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2552    
Last Update : 23 ตุลาคม 2552 9:02:23 น.
Counter : 6878 Pageviews.  

จาก The Time Traveler's Wife ถึงรถไฟฟ้าฯ การเดินทางสู่การพลัดพราก



คุณเชื่อเรื่องเนื้อคู่และการผูกพันกันข้ามกาลเวลาไหมครับ?

มีหนังสองเรื่องที่เข้าฉายในเวลาไล่เรี่ยกัน ด้วยความโด่งดังที่ผิดกันลิบลับในบ้านเรา
แต่กลับมีนัยบางอย่างที่ผมเห็นคล้ายคลึงกัน และอยากหยิบมาพูดถึง

เรื่องแรกเป็นหนังฝรั่ง สร้างจากนิยายขายดีเหมือนแจกฟรีในปี 2003
จากปลายปากกาของ ออเดรย์ นิฟเฟนเนกเกอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน

หนังพูดถึงความสัมพันธ์ที่แสนพิสดารของคนคู่หนึ่ง ที่ฝ่ายชายมีความผิดปกติในยีน
ทำให้เขาต้องเดินทางข้ามเวลากลับไปกลับมา โดยไม่ทราบสาเหตุและวิธีควบคุม

การเดินทางข้ามกาลเวลาของเขา ทำให้นางเอกต้องอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เพราะไม่รู้ล่วงหน้าว่าสามีจะหายไปตอนไหน หายไปไหนและเมื่อไหร่จะกลับมา
ไม่รู้กระทั่งว่า การเดินทางข้ามเวลาแต่ละหน จะได้กลับมาอย่างปลอดภัยหรือปล่าว

ถึงแม้สังสารวัฏของเหล่าสัตว์โลก จะไม่ได้เดินทางข้ามเวลากลับไปกลับมา
แต่พวกเราก็เวียนว่ายอยู่กับการเกิดในภพภูมิต่างๆ สลับกันไปมาจนน่าเบื่อ

แต่ที่เราไม่เบื่อ เพราะเราจำไม่ได้ว่าชาติก่อนๆ เราเคยเป็นอะไรมาบ้าง
อีกทั้ง ไม่มีใครรู้ตัวว่าเราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก คนที่รักไปเมื่อไหร่

ผมพูดเท่านี้ก็พอนะ ที่เหลือลองหาโปรแกรมรีบไปดู ก่อนจะลาโรงไป
อยากบอกว่า นี่เป็นหนังดีที่สุดหนึ่งในสองเรื่องของปีที่ผมได้ดูครับ

อีกเรื่องไม่ใช่หนึ่งในสองที่ว่า แต่ก็เป็นหนังน่ารักชื่อ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ

ใครที่ตามอ่านบล็อกผมมานานๆ รวมถึงเคยฟังรายการที่ผมจัดบ่อยๆ จะทราบว่า
ผมชอบเอ่ยชื่อเคน ธีระเดช โทษฐานที่เขาหน้าตาดีกว่าผมราวๆสามเสาไฟฟ้า
แต่ผมก็ไม่เคยได้เขียนถึงผลงานของเขาสักที วันนี้จะเป็นครั้งแรก

หนังพูดถึงชีวิตของเหมยลี่ สาวหมวยวัยสามสิบที่ไม่เคยมีแฟน
แล้วก็นั่งรอว่าเมื่อไหร่จะมี จนวันหนึ่งไปเจอวิศวกรหนุ่ม BTS รูปหล่อใจดี
ชีวิตเหมยลี่จึงค่อยๆเปลี่ยนไป

ผมดูแล้วอมยิ้ม พลางนึกว่านี่มันซินเดอเรลล่าฉบับ กทม. เห็นๆ

หนังเข้าใจคัดเลือกดาราอย่างคริส หอวังมาเป็นนางเอก เพราะคริสเป็นคนดูดี
แต่ไม่ได้หน้าส้วยสวยแบบนางเอกไทยทั่วไป สาวออฟฟิศทั้งหลายดูแล้วจะแอบรู้สึกว่า
ถ้าหน้าตาแบบนี้ มีแฟนหล่อ อบอุ่นใจดีแบบนี้ได้ ฉันก็ใกล้เคียงล่ะวะ

ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึง The Time Traveler's Wife ตรงที่
สองเรื่องนี้มี "การเดินทาง" เข้ามาเกี่ยวข้อง

พระเอกนางเอกทั้งสองเรื่องได้พบกันเพราะ "การเดินทาง"
เพียงแต่คู่แรกเป็นการเดินทางในกาลเวลา อีกคู่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า

ตอนจบของหนังสองเรื่องนี้ ต่างกันพอสมควร
แต่ในชีวิตจริง ตอนจบของพวกเราไม่ต่างกันหรอกครับ
พวกเราล้วนต้องเจอกับการพลัดพรากจากกายและจิตที่เราคิดว่ามันคือ "ตัวเรา" ทั้งนั้น

อีกอย่าง ผมรู้สึกว่าคนสมัยเราขี้เหงากันมากขึ้นนะครับ
คนอย่างเหมยลี่ที่คิดว่า ชีวิตจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเจอชิ้นส่วนที่ขาดหายมีเยอะเลย
หรืออย่าง Clare ที่ทำใจไม่ได้ถ้าสามีที่รักและเคยอยู่จะต้องจากหายไป
มันเป็นทัศนคติอันตรายสำหรับมนุษย์อย่างเราๆนะครับ

นั่นคือเหตุที่ทั้งสองเรื่องมี "การรอคอย" ของฝ่ายหญิงเป็นพล็อตรอง

เมื่อเดือนที่แล้ว ผมเขียนถึงเพลงของ Dean Martin เพลงนึงให้นิตยสาร Mix
ชื่อเพลงว่า You're nobody 'til somebody loves you

ผมบอกว่า ผมไม่เห็นด้วยกับชื่อเพลงนี้นะ เพราะคนเราไม่มีใครมารักเราก็มีคุณค่าได้
ในความเห็นของผม คุณค่าของมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นกับจำนวนคนที่มารัก
แต่คนเราจะมีคนมารัก เพราะเขาเห็นเรามีคุณค่าต่างหาก

ในทางพุทธ ถือว่าคนที่มีคุณค่า คือคนที่ใช้โอกาสความเป็นมนุษย์พัฒนาจิตของตนเอง
ข้อดีของความเป็นมนุษย์ คือการเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อและจิตใจที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร
เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจที่มีทุกข์ได้ตลอดเวลา และมีธรรมชาติของมันเอง ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา

เราอาศัยการรู้สึกตัว คอยสังเกตความจริงเหล่านี้ อย่างเป็นกลาง ไม่แทรกแซง
จิตจะปรุงแต่ง เราก็รู้ รู้แล้วไม่ห้าม แต่ก็ไม่ช่วยมันปรุงแต่ง
มันจะเป็นกลาง ไม่เป็นกลาง เราก็รู้ รู้แล้วก็ไม่เพิ่มความไม่เป็นกลางเสียเอง

สักวันหนึ่ง จิตมันมีปัญญามากพอ มันจะสรุปความรู้ที่สะสมไว้ในธนาคารเอง
แล้วจะรู้ว่า ชีวิตนี้มีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นใครอื่น
รถไฟฟ้าจะมาหาเราหรือใคร ก็ไม่ใช่ปัญหาของเรานะ

สุขสันต์วันที่เรายังเป็นมนุษย์ครับ




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2552    
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 1:39:53 น.
Counter : 7021 Pageviews.  

ศัตรูคือครู


(ขอบคุณภาพประกอบจากคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

เริ่มมีหลายท่านถามมาว่า งานสัปดาห์หนังสือปีนี้ผมจะไปหรือเปล่า
ตอบว่าไปนะครับ กำหนดวันไว้วันที่ 23 ตุลาคม เหมือนปีที่แล้ว

ใจจริงไม่ได้อยากไปแค่แจกลายเซ็น แต่อยากไปช่วยตอบคำถาม
เกี่ยวกับเรื่องการภาวนาให้หลายท่านที่เป็นมือใหม่ จะได้ต่อยอดไปได้

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสถานที่จะอำนวยไหม เพราะเสียงอาจจะค่อนข้างดัง
และพื้นที่บูธของพรีม่า จะค่อนข้างเล็ก

เอาเป็นว่าเวลาที่จะไปจะยืนยันในบล็อกอีกที แต่คิดว่าน่าจะไปตอนสิบโมงเช้าถึงเที่ยง
เพราะคิดว่าเวลานั้นคนน่าจะค่อนข้างน้อย แล้วช่วงบ่ายอาจจะแถมให้อีกหนึ่งชั่วโมง

แต่ถ้าใครไม่สะดวกไป ก็ไม่ต้องกังวลครับ ข้อสงสัยทุกอันจะพลันมลายไป
เมื่อท่านได้ฟัง mp3 ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ซึ่งโหลดได้จากที่นี่
//www.wimutti.net/pramote/

มีคำถามอันนึงในหมวดคำถาม ผมตอบไว้แล้วแหละ
แต่คิดว่าน่าจะเอามาแปะไว้ที่นี่ด้วย เพราะหลายท่านมีปัญหาทำนองนี้เช่นกัน

สวัสดีค่ะ

ขอรบกวนปัญหาทางโลกเรื่องวิบากในที่ทำงานค่ะ ถูกอำนาจมืดจากคนที่มีแหน่งสูงกว่า ใส่ความในเรื่องไม่จริง ไม่มอบหมายงาน สั่งหัวหน้าแก้ผลการประเมิน ถูกกระทำมา 3 ปีแล้วยังไม่ยอมเลิก เนื่องจากเป็นพนักงานองค์กรของรัฐ จึงไม่ยอมลาออก แต่ทุกข์มากค่ะ ช่วยแนะนำการแก้ปัญหาแบบทางโลกด้วยค่ะ

ลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์

โดย: huiming


คุณ huiming ไม่ได้บอกว่า มันมีเหตุอะไรเขาถึงกลั่นแกล้งคุณ
เพราะทุกอย่างมันต้องมีที่มา เหมือนข้าวในนาก็มาจากคนปลูก

วิธีแก้ปัญหาทางโลก ก็คืออดทน ให้อภัย
แล้วใช้การทำงานของตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์นะครับ
ถ้าอดทนไม่ได้ ก็ต้องลาออกหรือขอย้ายไปทำงานที่ใหม่แผนกอื่น ฯลฯ

อาจจะฟังดูเหมือนคุณแอสตั้นใจร้าย แต่ความจริงก็คือ
เราเปลี่ยนตัวเองง่ายกว่าเปลี่ยนคนอื่นนะครับ

ผมเพิ่งเขียนใน facebook เมื่อไม่กี่วันก่อนว่า
"คนเรามักจะฝันว่าจะเปลี่ยนโลก แต่น้อยคนจะกล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง"

คุณเองก็ยังเรียกว่ามันเป็น "วิบาก" วิบากคือผลของกรรมที่เราต้องรับ
แล้วถ้าเราหาทางกำจัดเขา ก็เท่ากับเราไปจองเวรจองกรรมกับเขา

แต่ถ้าทำใจได้ คิดเสียว่าเป็นกรรมของเรา ตั้งหน้าทำบุญสร้างกุศล
สร้างกรรมปัจจุบันให้ดี คือการทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด
แล้วอย่าคิดมากซ้ำเติมตัวเองบ่อยนัก เราจะผ่านไปได้ในที่สุดนะครับ ไม่ช้าก็เร็ว
คุณแอสตั้นไม่ต้องเป็นหมอกริด ก็คอนเฟิร์มได้

เขาแกล้งเราได้ ก็แต่การประเมิน ซึ่งมีผลเฉพาะเรื่องขั้น ตำแหน่ง เงินเดือน

แต่ถ้าเราไม่ได้ทำงานโดยหวังลาภยศตำแหน่ง เงินเดือนอะไรมากมายล่ะครับ?
ถ้าวางใจใหม่ว่า เราทำงาน เพื่อรับใช้ประชาชน รับใช้ราชการ อะไรก็ว่าไป
ทำเพื่อให้ได้ฝึกฝีมือ ทำเพื่อให้เราได้ภาวนา เราก็ทุกข์น้อยลง

ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจริงๆ ต้องมีสติ อยู่กับทุกข์เป็น แล้วจะเห็นเองว่า
โลกนี้ไม่ได้มีสาระอะไรให้เราแบก ศัตรูก็เป็นครูสอนธรรมะเราได้นะครับ

เขาสอนให้เรารู้ว่า ทุกอย่างในโลกล้วนเป็นไปตามเหตุและปัจจัย
ไม่ได้เป็นไปตามความอยากหรือไม่อยาก ชอบหรือไม่ชอบ ของใจเรา

เขาสอนให้เรารู้ว่า ชีวิตกับทุกข์ เป็นของคู่กัน เป็นคนดีก็มีทุกข์ได้
แล้วพระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับทุกข์ด้วยการ "รู้" ไม่ใช่วิ่งหนีมัน
ฉะนั้นเท่ากับศัตรูคือครูที่เอาแบบฝึกหัดมาให้เรา

ผมเคยได้ยินคำขวัญอันหนึ่งตั้งแต่เด็กว่า ชีวิตคือการต่อสู้ อุปสรรคเป็นครู ศัตรูคือยากำลัง
ส่วนตัวผมมีหลักว่า ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม ทุกข์มีไว้รู้ ไม่ได้มีไว้ละ

ถ้าเราไปเกลียดใครไม่ชอบใคร อันนั้นเป็นปัญหาของเราฉันใด
ถ้าใครมาเกลียดเรานี่ มันปัญหาของเขานะครับ ไม่ใช่ของเรา ฉันนั้น

ถามเฉพาะทางโลก แต่ตอบทั้งทางโลก ทางธรรมครับ
สุขสันต์วันที่ยังมีศัตรูนะครับ




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2552    
Last Update : 8 ตุลาคม 2552 9:19:30 น.
Counter : 6826 Pageviews.  

Coco Chanel เรื่องแฟชั่น เรื่องสุข เรื่องชั่วคราว


(ภาพประกอบโดยความเอื้อเฟื้อจากคุณ SevenDaffodils ครับ)

ผมไม่ได้เป็นลูกค้าของชาแนล ไม่เคยซื้อน้ำหอมชาแนลหมายเลขห้า
ไม่ค่อยสันทัดเรื่องแฟชั่น นอกจากเคยตั้งชื่อให้แบรนด์ต่างๆใหม่

อย่าง Prada ผมชอบเรียกว่า "ป้าดา"
Jean Paul Gautier ผมจะเรียกว่า "ฌอง ปอล แกดูแย่"
Gucci ผมจะเรียกว่า "กุดจี่"

แต่ต้องมาดูหนังเรื่องนี้ เพราะเกี่ยวกับงานที่ทำ

ชื่อหนังเต็มๆคือ Coco Avant Chanel คำแรกเป็นชื่อเล่น
คำต่อมา "อาวอง" ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า "ก่อน" ส่วน ชาแนล คงไม่ต้องบอก

ที่ตั้งชื่อหนังแบบนี้ก็เพราะ Gabriel Chanel นักออกแบบแฟชั่นเจ้าของห้องเสื้อ "ชาแนล"
ก่อนที่โลกนี้จะรู้จักเธอในฐานะดีไซเนอร์นั้น เธอมีชื่อเล่นที่เพื่อนๆเรียกว่า..โคโค่

ตัวหนังเป็นอย่างไร ผมคงจะไม่เล่า เผื่อใครอยากจะไปชมเอง แต่ส่วนตัวบอกได้ว่าหนังดีมากนะครับ
ที่อยากพูดถึงมีสองสามอย่างที่สะดุดใจผมอยู่ ตอนอยู่ในโรง

เรื่องแรก ต้องท้าวความก่อนว่า สมัยครั้งกระโน้น แฟชั่นของผู้หญิงไฮโซฝรั่งเศส
คือการใส่กระโปร่งสุ่มลากพื้น แล้วมีสายรัดตัวรัดเอวจนแน่นติ้ว ดันหน้าอกจนปลิ้น

แล้วชาแนลก็เป็นคนปฏิวัติวิธีแต่งตัวของผู้หญิงยุคนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าในเวลาต่อมา
ว่ากันว่า เธอเป็นคนแรกที่ทำให้ผู้หญิงกล้าใส่ชุดราตรีสีดำไปงานกลางคืน
เป็นคนแรกที่ทำให้ผู้หญิงได้ใส่กางเกง ฯลฯ

ผมสังเกตว่า วิธีแต่งตัวของคนส่วนใหญ่ในโลก สะท้อนความจริงเรื่องอัตตาของมนุษย์
เราแต่งตัว เพื่อให้คนอื่นยอมรับชื่นชม ในอีกทางก็เพื่อประกาศอัตตาของเราว่า "นี่แหละ..คือฉัน"

แต่น่าแปลกที่ความเป็นตัวเราของหลายคน ต้องรอให้มีคนอื่นมายืนยันว่า "เออ.. สวย"
ผมนึกถึงเพลงของพี่เต๋อ เรวัติ พุทธินันท์ ผู้ล่วงลับที่ชื่อ "มันแปลกดีนะ" เขาร้องไว้ว่า..

"มีคนเขาอยู่เมืองนอก ไม่ต้องบอกว่าชื่ออะไร
เขาคิดให้เราแต่งตัว ถ้าเขามั่วจะรู้ได้ไง
คนนำมีอยู่สองสาม แต่คนตามนั้นบานตะไท
ไม่รู้เป็นใครที่ไหน พ่อแม่ก็ไม่ใช่แต่เราก็ตามเขาไป"

คอลเลคชั่นที่สวยที่สุดของนักออกแบบคนไหนก็ตาม ไม่เคยมี
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จะมีคอลเลคชั่นใหม่ออกมาเสมอ
คือถ้ามันสวยที่สุดจริงๆ เราจะมีคอลเลคชั่นใหม่ไปทำไม .. ถูกไหมครับ

อนุมานได้ว่า สิ่งที่ดีที่สุดในทางโลก มันเป็นแค่ของ "ชั่วคราว" นะ
เสื้อผ้าของพวกเรา ถึงได้สั้นๆยาวๆ ขาวๆดำๆ ลีบบ้างพองบ้าง
เอวสูงเอวต่ำ เดี๋ยวล้ำยุค เดี๋ยววินเทจไปๆมาๆ ไม่จบไม่สิ้น

เรื่องที่สอง อันนี้เป็นรายละเอียดของประดับบ้าน
ของเศรษฐีเพลย์บอยชื่อบาลซงที่ชาแนลไปอยู่ด้วยในช่วงหนึ่ง

มีมุมหนึ่งของบ้าน ประดับประดาไปด้วย เขาสัตว์ต่างๆบนผนัง
อันนี้ก็ประกาศอัตตาอีกแบบ แต่เบียดเบียนชีวิตอื่นด้วย

ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ เคยไปบ้านญาติที่ต่างจังหวัด ก็มีแบบนี้แหละ
มันคงสวยงามน่าเกรงขามสำหรับบางคน แต่สำหรับผมตอนเด็กๆมันน่ากลัว
และถึงตอนนี้ ในยุคที่เราต้องดิ้นรนเพื่อรักษาสัตว์หลายชนิด มันน่าหดหู่มากกว่า

แฟชั่นเสื้อผ้าที่ว่าสวยล้ำนำสมัย แฟชั่นของแต่งบ้านที่ว่าโอ่อ่าน่านิยม
พอเวลาเปลี่ยนไป มันก็กลายเป็นของตกยุค เป็นของไม่น่านิยม

เรื่องที่สาม หนังแสดงภาพว่าบรรดาไฮโซ เซเลป ที่ชาแนลไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยช่วงหนึ่ง
มักนิยมเอาแต่เที่ยวเล่น ปาร์ตี้ ส่วนหนึ่งเพราะสังคมสมัยโน้นมีค่านิยมว่า
ผู้หญิงมีหน้าที่หาสามีรวยๆ แล้วให้ผู้ชายเลี้ยงก็พอแล้ว เลยว่างงานกัน

มองในแง่ดี ผู้หญิงสมัยนี้โชคดีกว่าสมัยก่อนมากนัก ที่สังคมเปิดกว้างขึ้น
มองในมุมที่ลึกอีกหน่อย ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่า เกิดเป็นมนุษย์ดีกว่าเทวดา

เพราะมนุษย์มีทั้งสุข ทุกข์ มนุษย์มีความลำบาก เลยเห็นทุกข์ เห็นความจริง
เห็นธรรมะได้ง่ายกว่าเทวดา ที่ตลอดอายุขัย ส่วนมากจะมีแต่ความสุข

แต่บางคนที่มีบุญจะได้เสวยสุขแบบเทวดา แต่จับพลัดจับผลูมาเกิดเป็นมนุษย์
ก็ใช้ชีวิต ใช้โอกาสของตัวเอง "เปลือง" ด้วยการเที่ยวเล่นกินดื่มผิดศีลไปวันๆ

มองในมุมหนึ่ง เทวดาเดินดินเหล่านี้ ก็โชคดีกว่าใครๆในทางโลก
มองในอีกมุม ก็ไม่ง่ายเลยที่คนกลุ่มนี้ จะเห็นประโยชน์ของธรรมะ
จนถึงขั้นเข้ามาภาวนาปฏิบัติจริงจัง

ที่บอกแบบนี้ ไม่ใช่ไม่มีนะครับ ผมรู้จักหลายคนที่เข้าข่ายเทวดามาเกิด
แล้วก็สนใจปฏิบัติจริงๆจัง กระทั่งเทวดาหรือพรหมที่ใส่ใจการภาวนาก็มีมาก

ดูตอนจบของ Coco Avant Chanel แล้วเห็นได้ว่า
ชีวิตคนบนโลกมีหลายหลาก ที่ไปของแต่ละคนก็หลากหลาย
เรียนรู้จากคนอื่น แล้วอย่าลืมเรียนรู้ตัวเอง เพื่อจะได้เห็นว่า

คนเราก็เท่านี้
วันนี้อาจจะดีพรุ่งนี้อาจจะแย่ ไม่มีอะไรแน่นอน
เราต่างก็เป็นสัตว์โลกที่มีกิเลส ตัณหา อุปาทานเหมือนกัน
เราต่างก็เกิดมามีชีวิตกันคนละ 24 ชม. ต่อวันเสมอกัน

ต่างกันที่สำนึก สติ ปัญญา ความรู้ผิดชอบชั่วดี และกรรม
ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ โคโค่ ทำ มันดีหรือเลว
เพราะผมไม่ได้ใส่ใจจะตัดสินชีวิตใครนานแล้ว

ผมสนใจแต่ว่า วันนี้ ชั่วโมงนี้ วินาทีนี้ ขณะจิตนี้ กายเราจิตเราทำอะไรอยู่
และผมก็อยากให้ผู้อ่านบล็อกนี้สนใจสิ่งเดียวกัน

สุขสันต์กับวันที่เรามีเสื้อผ้าใส่ ไม่ว่าจะแบรนด์อะไรนะครับ




 

Create Date : 29 กันยายน 2552    
Last Update : 5 ตุลาคม 2552 0:21:11 น.
Counter : 6813 Pageviews.  

หลายชีวิต ปี 1



(เอื้อเฟื้อภาพประกอบจากฝีมือคุณ SevenDaffodils ครับ)

ผมเองก็มีเรื่องอยากเขียนหลายเรื่อง ที่ยังไม่ได้เขียน
แต่คำถามค้างสต็อก ก็ชักพอกพูนคูณทวี เก็บไว้นานไปท่าจะไม่ดี

อ่านคำถามของแต่ละท่านแล้วก็ไพล่ไปนึกถึงงานเขียนของหม่อมคึกฤทธิ์
ที่สมัยเป็นเรียนม.ปลาย ผมอ่านแล้วชอบมาก ชื่อ "หลายชีวิต"

เลยอาศัยชื่อหนังสือท่านมาเป็นชื่อบล็อกสารพันปัญหาบล็อกนี้
แถมใช้ ปี 1 ไว้ต่อท้าย เพราะเชื่อว่า น่าจะมีอีกหลายปี

สวัสดีครับ พี่แอสตัน

รบกวนขอปรึกษาปัญหาครับ คิดว่าพี่น่าจะเข้าใจผมได้ดี เพราะปัญหาของผมคล้ายๆกับที่พี่เคยเขียนเรื่องของพี่ไว้ในบล็อกครับ

คือผมเป็นเกย์ครับ (อันนี้ไม่ใช่ปัญหาที่บอกว่าเหมือนกับพี่นะ..หุหุ) เพิ่งคบกับแฟนคนปัจจุบันได้ไม่นาน พ่อแม่ของเขารู้เรื่องครับ แล้วก็ออกอาการกีดกันอย่างรุนแรง เผลอๆจะบังคับแฟนผมให้ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนึงอีกต่างหาก (แฟนผมเป็นไบครับ ถ้าจำเป็นจริงๆ เขาก็สามารถแต่งงานกับผู้หญิงได้)
ผมลำบากใจมากเลยครับ เขาเองก็บอกว่ารักผม แต่ไม่รู้จะทำยังงัยดี

ผมควรจะตัดใจ เลิกรากับเขาไหมครับ บางทีผมก็คิดเหมือนที่พี่เขียน ว่าถ้าเขาจะไปมีชีวิตที่ดีกว่า (อย่างน้อยก็ไม่ต้องทะเลาะกับพ่อแม่) ผมก็ควรจะปล่อยเขาไป

...พูดง่าย แต่ทำยากจังเลยครับ

ขอบคุณครับ
โดย: บอย


อ่านทีแรกก็สะดุ้ง ว่าเรื่องของผมไปเหมือนคุณตรงไหน

ถ้าถามว่าควรตัดใจเลิกราไหม ต้องถามกลับว่า แล้วทำได้ไหมล่ะครับ
ถ้าทำได้ก็โชคดีไป ทำไปเถอะครับ ไม่เหนื่อยเรา ไม่ลำบากเขา

ผมเป็นพวกที่เชื่อว่า คนที่ทำบุญด้วยกันมาและเป็นคู่บุญกันแท้ๆ
มันจะมีความพร้อมในหลายๆทาง ที่จะเอื้อให้การคบหากันเป็นไปโดยดี

กระทั่งจังหวะชีวิต ช่วงเวลาที่เจอกัน มันก็จะดูลงตัวพอเหมาะพอดี
ไม่ใช่เริ่มต้นก็เจอโจทย์ยากขนาดนี้ อันนี้ ถึงจะฝืนไป ผมก็ว่าลำบากนะ

บางคนบอกว่า ผมเป็นพวกไม่ต่อสู้เพื่อพิสูจน์รักแท้
แต่ผมมองว่า ถ้าการพิสูจน์รักแท้ของผม มันต้องแลกกับการที่ครอบครัวนึง
เขาต้องทะเลาะกันใหญ่โต ถึงผมชนะ มันก็ไม่คุ้มหรอก

อันนี้ เป็นความเห็นส่วนบุคคล ไม่เรียกร้องให้ใครเชื่อและเลียนแบบนะครับ

พี่เอ๊ดดี้คะ มีคำถามค่ะ

คบกับแฟนมา 8 ปี แต่วันนึงเค้าก้อห่างไปและไปมีคนใหม่โดยที่ไม่ได้บอกเรา เสียใจมากมายแต่ก้อคิดได้ค่ะว่ามันคงเป็นการใช้กรรม เราอาจจะเคยทำเค้ามาก่อน และคงใช้หมดแล้วจึงต้องเป็นแบบนี้ ก้อไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรเค้ายังคงมีความรู้สึกดี ๆให้และคิดอโหสิกรรมให้

คำถามคือว่าถ้าเราไม่ได้ขออโหสิกรรมกับเค้า ชาติหน้าเรากับเค้ายังจะต้องใช้กรรมกันอยู่แบบนี้หรือป่าวคะ
ขอบคุณค่ะ

โดย: jum


อนุโมทนาที่คุณได้ทำ "อภัยทาน" ซึ่งเป็นทานที่ยิ่งใหญ่นะครับ

เรื่องกรรม อันนี้ผมไม่มีความสามารถจะตรวจดูแผนที่กรรมให้ได้ว่าหมดหรือยัง

ดัชนีอันนึงที่พอวัดได้คือ ถ้าไปเจอหน้ากันแล้ว ไม่มีตะกอนของความเสียใจเหลืออยู่
มีแต่ความเบาสบาย อันเป็นผลจากอภัยทาน ก็พอสบายใจได้ว่าหมดเวรหมดกรรมกันแล้ว

แต่ถึงจะหมดกรรมกับคนนี้แล้ว มันก็ยังมีกรรมอื่นๆที่รอคิวจะให้ผลอยู่
ตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด เราก็ยังมีโอกาสสร้างกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง
และก็ต้องมานั่งใช้หนี้ นั่งรับผล ของทั้งกรรมดี และกรรมชั่วนั้นไปเรื่อยๆ

ถ้าวันนี้ คุณหัดเจริญภาวนา เพื่อการหลุดพ้นจากความน่าเบื่อของการเกิดใหม่
อันนั้นถึงจะสบายใจได้จริงๆนะครับ ว่าจะหมดเวรหมดกรรมได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในวันหนึ่ง

สวัสดีครับ ติดตามงานของท่านมาพักใหญ่ และรู้สึกโชคดีที่ได้อ่านผลงานของท่าน วันนี้ผมมีเรื่องรบกวนขอความเห็นครับ

คบกับแฟนมา 10 ปี แต่ค่อนข้างแน่ใจว่า ผมไม่ชอบชีวิตคู่เมือ 2 ปีก่อน...ไม่ใช่กับเธอเท่านั้น ผมรู้สึกการมีครอบครัว ไม่ใช่วิถีทางที่ทำให้ชีวิตสงบ แต่รู้สึกผิดถ้าจะเลิกกันเนื่องจากคบกันมานาน (เธอบ่นเสียโอกาสที่จะไปตั้งต้นกับคนอื่น อายุเรา 40 แล้ว) และสงสารที่เธอเป็นคนดี แต่ชีวิตเธออาภัพ...เป็นม่ายลูกติด(ก่อนรู้จักผม) ต้องทำงานหนักเลี้ยงพ่อแม่
ตัวผมเองเอาเปรียบเธอมีอะไรกันมาตลอด เราเคยคุยกัน...เธอบอกไม่ต้องการแต่งงานและขอให้ผมดูแลเธอ แต่ผมคิดว่าจริงฯ เธออยากมีชีวิตครอบครัว
ผมควรจะเปลี่ยนความคิดและมีครอบครัว หรือ เลิกกันไปเพื่อเริ่มใหม่ดีครับ

โดย: หาวพระพราย


ใจจริงผมอยากแนะนำคุณหาวพระพรายว่า เรื่องนี้ควรนั่งคุยกัน 2 คนกับแฟนนะครับ
มาถามความเห็นคนนอกแบบผมไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นความสบายใจของคุณ 2 คน

แต่ถ้าถามแบบคนนอก ไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นคู่ของคุณ ผมจะตอบว่า
ถ้าคบกันมาได้ตั้ง 10 ปี เรื่องจะอยู่หรือเลิกกัน ไม่ควรจะเป็นคำถามนะครับ

ถ้ายังเพิ่งคบกันได้สักสี่ซ๊าห้าเดือน แล้วมาถาม ก็พอจะฟังได้อยู่
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว คำถามที่ควรถามคือ จะอยู่กันยังไงให้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย

ทำอย่างไรเขาเองก็ยังมีคุณในชีวิต คุณเองก็ไม่ต้องรู้สึกผิด
คำถามคือ ถ้าทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่เป็นอยู่ คุณ 2 คนโอเคไหม

ถ้าโอเค ก็ไม่ต้องถามอะไรมาก เราก็ดูแลกันไปอย่างนี้
งานแต่งงานอะไร จะมีหรือไม่มีมันไม่สำคัญหรอกครับ

มันอยู่ที่คนสองคน ให้เกียรติ ดูแลกัน มีน้ำใจไมตรีต่อกัน ก็พอแล้ว
อันนี้พูดกรณีที่ครอบครัวของฝ่ายหญิงเขาไม่ว่าอะไรนะ

เรื่องชีวิตสงบไม่สงบ อย่าพึ่งไปยึดติดรูปแบบนะครับ
พระดีๆหลายรูป ท่านก็มีคู่ก่อนบวช แล้วก็เมตตากัน
ชวนกันไปภาวนาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสนี่แหละ

ผมเคยถามอาจารย์ผมว่า เราจะรู้ได้ไง ว่าควรบวชเมื่อไหร่
ท่านบอกว่า ถ้ายังยึดติดว่า ชีวิตนี้ต้องบวชเท่านั้น ผ้าเหลืองเท่านั้นคือคำตอบ
อันนั้น ยังไม่พร้อมจะบวชจริงหรอก

แต่ถ้ารู้สึกว่า อยู่ทางโลกก็ได้ อยู่ทางพระก็ดี อันไหนก็ภาวนาได้
แบบนี้แหละ ถึงสมควรจะบวช

ฉะนั้น ชีวิตคู่ก็ใช่ว่าจะเป็นอุปสรรคเสมอไป สำหรับการเดินสู่ความสงบ
เพียงแต่ต้องมี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เสมอกันหน่อยนะครับ


ถ้าเราแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว แต่กับสามีเหมือนหมดรักกันแล้ว ไม่มีเพศสัมพันธ์(6ปีแล้วค่ะ) มีแต่ความผูกพัน อยู่กันเพื่อลูก เราสามารถไปรักคนอื่นอีกได้หรือไม่คะ เราควรจะไขว่คว้าหาความรักต่อไปหรือไม่ แต่บอกตรงๆ ดิฉันยังอยากมีคนมารัก หรือได้รักใครอีกค่ะ

โดย: จิดา


คุณจิดา รู้สึกว่าหมดรักสามีแล้ว แต่แน่ใจหรือเปล่าครับ ว่าสามีหมดด้วย
เพศสัมพันธ์ อาจจะเป็นดัชนีวัดอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ

ขอเตือนกันตามตรงว่า สิ่งที่คุณจิดาคิดอยู่
มันค่อนข้างล่อแหลมต่อการผิดศีลข้อสามครับ

ยกเว้นสามีคุณสนับสนุนยอมรับเห็นดีเห็นงามให้คุณมีคนอื่น อันนั้นก็แล้วไป
เพราะศีลข้อสาม มันมีข้อยกเว้นในส่วนของการยินยอมพร้อมใจอยู่

สมัยพุทธกาล มีภรรยาคนนึงได้โสดาบัน ก็หาเมียน้อยมาให้สามี
เพราะตัวเองอยากเอาเวลาไปภาวนา ไม่อยากร่วมหลับนอนกับสามี
แบบนี้สามี ก็ไม่ผิดศีลข้อสาม เพราะภรรยาเต็มใจ

แต่อยากให้ข้อคิดไว้อีกมุมหนึ่งว่า คุณจิดา จะหาเหามาใส่หัวอีกทำไม
ในเมื่อก่อนคุณจิดาแต่งงาน ก็คงรู้สึกอย่างนี้ว่า "อยากมีคนรัก"

แล้วพอเวลาผ่านไป คนรักก็มีแล้ว ได้แต่งงานแล้ว ลูกก็มีแล้ว
คุณจิดา มีความสุขถาวรไหม หรือมันแค่ชั่วคราว แล้วก็เป็นภาระอย่างตอนนี้

โลกนี้เร่าร้อนวุ่นวายเพราะเรื่องความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์มากจริงๆนะครับ
คุณจิดา แน่ใจจริงๆเหรอครับ ว่าอยากเลือกเส้นทางนี้เป็นทางเดิน

ผมไม่แนะนำเลยนะครับ




 

Create Date : 24 กันยายน 2552    
Last Update : 24 กันยายน 2552 18:39:10 น.
Counter : 6774 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.