Group Blog
 
All blogs
 

สุริยุปราคา นาซ่า กับการค้นหาความจริงว่าด้วย "ตัวเรา"



20 กรกฎาคมปีนี้ เป็นวันครบ 40 ปี ของก้าวย่างแรกของมนุษย์บนดวงจันทร์

นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศเจ้าของรอยเท้าแรกรอยนั้นบอกว่า
"นั่นคือก้าวย่างเล็กๆของชายคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ"

22 กรกฎาคมปีนี้ เราได้ตื่นเต้นกับสุริยุปราคา ที่ชาวบ้านเรียกราหูกลืนตะวัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทีพระจันทร์ว่าท่านอม พอพระอาทิตย์ว่าท่านกลืน

ว่าแต่.. เราได้ประโยชน์อะไรจากสองเรื่องนี้ไหมครับ?

ในทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ สองเรื่องนี้มีนัยสำคัญไม่มากก็น้อย
บางคนอาจจะบอกว่า สำหรับแม่ค้าขายของดำๆ เรื่องหลังนี่ก็สำคัญย่ะคุณแอสตั้น

ในฐานะชาวพุทธ ผมกลับรู้สึกว่า มนุษย์เราไปสำรวจดวงจันทร์มา 40 ปีแล้ว
ดาวอังคาร ก็ส่งยานร่อนไปถึงแล้ว และคงจะไปไกลอีกเรื่อยๆนับจากนี้

แต่ส่วนตัวผม มันไม่ได้ให้อะไรกับมนุษยชาติจริงๆจังๆ อย่างที่อาร์มสตรองว่า
เท่ากับการที่เราได้สำรวจตัวเองหรอกนะครับ

ผมนึกไปถึงเพลงเก่าๆของชาร์ลีน ดันแคน ชื่อ I've Never been to me
เนื้อเพลงบอกว่า เธอเคยไปจอร์เจีย แคลิฟอร์เนีย เคยไปนีซในฝรั่งเศส
ไปเดินท่องเที่ยวในกรีซ จิบแชมเปญในเรือยอร์ช ก่อนไปมอนติคาร์โล

เธอบอกว่า สวรรค์นั้นเธอก็ไปมาแล้ว แต่ที่เดียวที่ไม่เคยไปถึง คือใจตัวเอง

ส่วนสุริยุปราคานี่ สำหรับนักเรียนวิปัสสนาไม่น่าตื่นเต้นหรอกนะครับ
ผมก็เห็นออกจะบ่อยๆในจิตผมนี่แหละ

จิตปกติ มีธรรมชาติสว่าง วันไหนกิเลสมาก จิตก็มืดๆ มีสติ จิตก็สว่างได้อีก
กิเลสตัวที่มาอมจิตเราบ่อยที่สุด เรียกว่าโมหะ คือกิเลสที่ทำให้จิตเบลอๆมัวๆ

ใครอยากรู้ว่าโมหะ หน้าตาเป็นไง ลองดูได้ตอนเช้าๆ หลังตื่นนอนใหม่ๆ
อันนั้นเป็นโมหะตัวหนึ่ง ในหลายๆตัว

สุริยุปราคา ดูแล้วได้ความรู้ทางโลก เอาไว้โม้กับเพื่อนได้สองสามวันแล้วก็พลันลืม
แต่กิเลสในจิตในใจตัวเอง ดูแล้วได้สติได้ปัญญา เห็นความจริงของ "ตัวเรา"
เป็นแต้มสะสมไว้ในธนาคารความสุขได้ตลอดชีพ

วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร อยากเขียนสั้นๆ

ถ้างั้นก็ สุขสันต์วันเป็ดแดงมาเที่ยวเมืองไทยก็แล้วกันนะครับ

ปล. เอาเพลง i've never been to me มาฝากครับ




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2552 8:37:55 น.
Counter : 6912 Pageviews.  

สนทนาประสามือใหม่


(เอื้อเฟื้อภาพประกอบโดย คุณ SevenDaffodils ครับ อนุโมทนาด้วยครับ)

วันนี้มีคำถามจากนักเรียนวิปัสสนามือใหม่มาสองท่าน จากหลังไมค์ และทางเมล์
ผมเห็นว่ามีประโยชน์ เลยเอามาขึ้นเป็นบล็อกใหม่เสียเลย โดยเอาสองคำถามมารวมกัน

คุณเอ๊ดดี้,
นักเรียนวิปัสนามือใหม่ จำเป็นต้องไปเข้าcourseปฏิบัติธรรมมั้ยคะ สติเราจะเข้มแข็งมากขึ้น จากการนั่งสมาธิมากมากรึเปล่า


อีกท่านถามคล้ายๆกัน คุณ aston ค่ะ
คนส่วนใหญ่มักชอบพูดว่า เดี๋ยวไปชาร์ตแบตเตอรี่ดีกว่า เห็นด้วยไหมค่ะ ถ้าคุณเหนื่อยใจมากๆ ก็ดูใจไปใช่ไหมค่ะ วันนี้รู้สึกว่าใจตัวเองมันล้ามากๆ ขอบคุณค่ะสำหรับความเป็นกัลยาณมิตร


เวลาเหนื่อยๆ ครูบาอาจารย์ท่านแนะว่า เราทำได้สองวิธีครับ
คือดูจิตไปซื่อๆ อย่างนั้น ถ้ารู้ได้อย่างเป็นกลาง รู้ตรงตามที่เป็นจริง
จิตเกิดระลึกรู้ มีสติตั้งมั่นขึ้นมา จะมีความสุข ความสงบขึ้นมาได้เอง

แต่ถ้าใครยังทำไม่ได้ ลองแล้ว มันไม่รอด ก็ให้ทำสมถะขึ้นมาก่อนครับ

พระพุทธเจ้าท่านเคยให้แนวทางไว้ว่าชาวพุทธควรทำทั้ง สมถะ และวิปัสสนา
แต่ทรงย้ำว่า ต้องทำ"ด้วยปัญญาอันยิ่ง" คือต้องทำแล้วรู้เนื้อรู้ตัว
ทำแล้วมีสติ จิตตื่น เบิกบาน ไม่ใช่ซึมๆ มัวๆ หนักๆ แน่นๆ

เพราะสำหรับนักเรียนวิปัสสนาแล้ว สมถะ มีประโยชน์นะครับ
สมถะจะช่วยให้จิตได้พักผ่อน ได้กำลัง มีแรงขึ้นมา ผมเองก็ทำทุกวัน

แต่ทำสมถะ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเท่านั้นนะครับ สวดมนต์ก็ได้
เราเดินในชีวิตประจำวัน ไปโน่นมานี่ แต่เดินทุกก้าวด้วยความรู้สึกตัว ก็เกิดสมาธิได้
เดินออกจากบ้านไปขึ้นรถ ลงเรือ ลงจากรถ ขึ้นจากเรือ เดินเข้าที่ทำงาน ทำได้หมด

เรานั่งอยู่ในรถติดๆ เรารู้ลมหายใจ เราบริกรรมพุทโธ ก็เป็นสมถะ
แล้วไม่ได้แปลว่าต้องทำนานๆ นาทีสองนาทีก็ดีถม สำหรับชาวโลก
แต่เราอาศัยลูกขยัน ว่างเมื่อไหร่ทำ ว่างสองนาทีก็ทำ ว่างนาทีเดียวก็ทำ

รู้ลม เข้า ออก แล้วจิตโล่งสบายขึ้นมา ก็รู้สึกตัว
จากสมถะ ก็พลิกไปเจริญวิปัสสนาได้ต่ออย่างนี้

ไม่ต้องรอไปเข้าคอร์สหรอกครับ เหมือนแบตเตอรี่ในรถ
หลายท่านอาจจะทราบ หรือไม่ทราบว่า รถวิ่งไปก็ชาร์จไฟเข้าแบตได้ด้วย
ไม่ได้รอกลับไปเข้าศูนย์ ค่อยไปชาร์จ อันนั้นสองสามวันก็หมดแล้ว

ตัวที่ชาร์จแบตในรถ เขาเรียกไดนาโม ถ้าจำไม่ผิดนะ
เวลาแบตในรถเสีย มีสองอย่าง คือแบตเสื่อมเอง กับไดชาร์ตตัวนี้เสีย

เรื่องเข้าคอร์ส ลองอ่านในบล็อกชื่อ "สติ๊กเกอร์ท้ายรถ น้องชาย กับคอร์สกรรมฐาน" นะ

ฝึกรู้สึกตัวมาได้1ปี พยายามรู้สึกตัวตลอดเวลา คิดว่าเข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่พอเจอเจ้านายจู้จี้เข้าหน่อย กลับบ้าจี้ไปฟาดฟัน
กับเค้าซะงั้น ตอนนี้รู้สึกขอบคุณเค้ามากมาก ที่ช่วยกระแทกกิเลสที่แอบนอนก้นให้ฟุ้งขึ้นมา จะได้รู้ว่ายังต้องฝึกฝนอีกมาก


อย่าพยายามรู้สึกตัวตลอดเวลานะครับ ^^" มันจะเครียด
ให้รู้สึกตัวบ่อยๆก็พอ เผลอแล้วรู้สึก เผลอแล้วรู้สึก

คำว่าเผลอ คือการที่จิตหลงไปทำงานอะไรนั่นแหละ
ไม่ว่าจะ นึกคิด ปรุงแต่ง จดจำได้ หมายรู้ หรือส่งออกไปรู้สิ่งภายนอกที่มากระทบ
เช่นไปสนใจจดจ้องสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส หรือสัมผัสทางกายต่างๆ

เมื่อมีการรู้สิ่งต่างๆ ก็ย่อมมีกระบวนการคิดนึกให้ค่าปรุงแต่งตามมา
การปรุงแต่ง เช่นโกรธ เมตตาสงสาร เสียใจ ดีใจ อยาก ไม่อยาก ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ
บางครั้งจิตก็ปรุงสิ่งดีๆที่เป็นกุศล บางครั้งก็ปรุงสิ่งที่เป็นอกุศล แล้วแต่เหตุและปัจจัย

นักเรียนวิปัสสนา ไม่ได้เรียนเพื่อห้าม หรือเพื่อบังคับจิตให้เป็นอย่างที่เราชอบนะครับ
ไม่ได้บอกว่า ห้ามเผลอ ต้องรู้สึกตัวตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ครับ
เพราะจิตเป็นขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่มีธรรมชาติ คิด นึก ปรุงแต่ง รับรู้

หลายๆท่านถึงบอกว่า วิปัสสนาง่าย เพราะไม่ต้องทำอะไร นอกจากรู้สึกตัว
ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกดข่ม ไม่ต้องฝืนธรรมชาติ

แต่บางท่านก็เลยว่ามันยาก เพราะมันสวนทางกับความเข้าใจของคนอยากดี
ว่าจะต้องพยายามหาทาง "ทำ" อะไรสักอย่างให้ได้สิน่า ถึงจะดี
เพราะคิดว่า ถ้าบังคับ ควบคุมจิตใจจนไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่งได้ แล้วจะบรรลุธรรม

หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านบอกเสมอว่า
ท่านไม่ได้สอนให้ลูกศิษย์เป็นก้อนหิน หรือต้นไม้นะ
ถ้าการไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีความรู้สึกอะไร ทำให้บรรลุธรรม
พวกก้อนหิน ต้นไม้ หรือคนที่สมองไม่ทำงาน คงบรรลุธรรมหมดแล้ว

แต่ท่านสอนให้รู้ทันการหลงเผลอ หรือการทำงาน เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตนั่นแหละ
เช่นไม่ได้ห้ามโกรธ แต่โกรธแล้วรู้สึกตัว เสียใจแล้วรู้สึกตัว อยากฟาดฟันแล้วรู้สึก

คนทั่วไปเวลาโกรธ จะไปสนใจสิ่งที่คนอื่นพูด คนอื่นทำ
แต่นักเรียนวิปัสสนาจะย้อนมาดูตัวเอง ดูจิตที่มีความโกรธเข้ามาปกคลุม

แท้ที่จริง ความโกรธ ก็ไม่ใช่จิต
แต่เป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้นมาแล้วจิตไปรับมันเข้ามา
แล้วสิ่งที่จิตปรุงขึ้นมา ก็กลับมาครอบงำจิตเอง

ครูบาอาจารย์ท่านอุปมาว่า จิต เหมือนแมงมุมโง่ๆพ่นใย
แล้วดันไปติดแหง่กอยู่กับใยที่ตัวเองสร้างขึ้นซะเอง
ใยเป็นสิ่งที่แมงมุมสร้างขึ้น แต่ใยกลับมารัดแมงมุมได้

อันนี้ แมงมุมพ่นใยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโง่ด้วยนะครับ ถึงจะเป็นแบบนี้
เพราะในความจริง แมงมุมปกติไม่เป็นแบบนี้หรอก

คนเราก็เหมือนกัน เราก็ปรุงแต่งกันตลอดเวลาแหละ แต่ถ้ามีเราสติ
ก็จะไม่เป็นเหยื่อของสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา

ถามว่ายังปรุงแต่งไหม ปรุงอยู่ แต่เราจะค่อยๆเห็นความจริง
ว่าจิตมันปรุงแต่งเอง เราไม่ได้ทำ มันจะโกรธ มันก็โกรธเอง

ถ้าดูต่อไปอย่างเป็นกลาง คือไม่ห้าม ไม่ทำอะไร แค่รู้ แค่ดู
ก็จะเห็นว่า ความโกรธก็หายไปได้เอง ไม่ใช่เพราะเราสั่ง
เห็นว่าความรู้สึกทั้งหลาย มันเกิด และดับ ตามเหตุและปัจจัย

แล้วไม่ใช่แค่ความรู้สึกนะครับ ทุกอย่างทั้งหลายทั้งปวง
มันก็เป็นของมันแบบนี้ พระท่านถึงว่า มันไม่มีตัวเราตรงไหน
มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุและปัจจัย ดับไปก็เพราะเหตุและปัจจัย

นักเรียนวิปัสสนา ที่สอบผ่าน คือคนที่เห็นความจริงเหล่านี้
แล้วเกิดปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายเป็นของชั่วคราว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุและปัจจัยเป็นธรรมดา

มีคนถามผมบ่อยๆว่าผมยังโกรธไหม ตอบไว้ตรงนี้ว่า
คุณแอสตั้นยังโกรธได้ตามเหตุและปัจจัย เหมือนคนธรรมดา
บางทีเหตุและปัจจัยแรงมาก สติอ่อน ก็ยังโกรธแรงได้ด้วย
ขึ้นกับว่า ช่วงไหนซ้อมมาดี หรืออ่อนซ้อม

ถามว่า แล้วต่างจากก่อนปฏิบัติยังไง แบบนี้ก็เสียเปล่าสิ
ตอบว่า ไม่หรอกครับ ถ้าโกรธแล้วไม่รู้สึกตัว ถึงจะเรียกว่าเสียเปล่า
ถ้าไปบังคับ ห้าม หรือกดข่มไว้ไม่ให้โกรธ ถึงจะเรียกว่าเสียเปล่า

สิ่งที่ต่างกันคือ ผมโกรธแล้วสติมันตามรู้ เราก็โกรธสั้นลง น้อยครั้งลง
ข้อดีของการเห็นกิเลส ไม่ว่าจะโกรธ กลัว เกลียด ฯลฯ
มันเป็นการเตือนตัวเองได้ว่า เรายังมีโอกาสตกนรกอยู่นะ อย่าประมาท

แล้วผมยังเห็นความรักตัวเองอยู่มาก เพราะยังมีอัตตาอยู่มาก
เพราะถ้าไม่มีอัตตาตัวตน แล้วเราจะรักตัวเองไปทำอะไร
ถ้าไม่ได้รักในอัตตา ใครจะมาว่าอะไร เราก็ไม่มีความโกรธน่ะสิ
เพราะธรรมชาติคนเราโกรธ เพราะอัตตามันโดนกระแทก

เพราะเขาว่า "เรา" เขาเอาเปรียบ "เรา" เขาให้ร้าย "เรา" ฯลฯ
แต่ถ้าไม่มีอัตตา ก็ไม่มี "เรา" ถูกไหมครับ

ถ้าไม่มี "เรา" แล้วใครจะเดือดร้อนล่ะครับ ? ก็ไม่มี
แล้วใครจะโกรธ ก็ไม่มี แล้วใครจะทุกข์ ก็ไม่มีอีก

ที่ดีที่สุดคือ ถ้าไม่มี "เรา" แล้วใครจะเกิดอีก ก็ไม่มีนะครับ

แต่อยู่ๆอ่านจบแล้ว คิดเอาว่า "เออ.. นะต่อไปนี้ จะไม่มีเราละ"
ทำไมได้นะครับ วิปัสสนามันไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายขนาดแค่คิดเอาได้หรอก

อยากพ้นทุกข์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ต้องเจริญสติ คอยรู้สึกตัวนี่แหละ
พัฒนาจิตให้มีสติอัตโนมัติ อย่ากำหนด บังคับกดข่มจิต ให้จิตมันทำงานตามธรรมชาติ

จิตทำงานเคลื่อนไหว เรามีหน้าที่แค่คอยตามรู้ ตามดู
รู้ด้วยการ "รู้สึก" กายเคลื่อนไหว ก็คอยรู้สึก

รู้เท่าที่รู้ได้ บางวันจะดีบ้าง แย่บ้าง อันนั้นเขาก็สอนธรรมะเราเหมือนกัน
ว่า "มันไม่แน่หรอกนาย" จิตจะเป็นกลางไม่เป็นกลาง ก็ช่างมัน เรารู้ลูกเดียว

หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านว่า จิตปรุงแต่งไม่ใช่ปัญหา (เพราะมันมีธรรมชาติปรุงแต่ง)
แต่เราอย่าไปปรุงแต่งจิตเสียเอง (ก็แล้วกัน)

แค่รู้สึกบ่อยๆ แล้ววันหนึ่งจะเห็นไตรลักษณ์เอง เกิดปัญญาเอง
สะสมปัญญาได้มากพอเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น

มันง่ายจริงๆนา




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2552 9:26:39 น.
Counter : 6852 Pageviews.  

"...... ก็ยังดีกว่า ...."


(ภาพประกอบ เอื้อเฟื้อโดยคุณแป๋ว SevenDaffodils)

บล็อกนี้ทิ้งช่วงไปนานเลยเพราะมีหลายเรื่องเกิดขึ้น ขออภัยที่ทำให้รอนะครับ
หลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ผมนึกถึงคำของท่านชยสาโร ที่ว่า

"... ก็ยังดีกว่า..."

ก่อนอื่นเลย รายการ The Rewinder ที่ผมจัดอยู่ทาง FM 98.5 ทุกวันเสาร์บ่าย
จะมีอีกแค่สองตอนถึงแค่สิ้นเดือนนี้แล้วจะไม่มีแล้วนะครับ ทางคลื่นจะปรับผังใหม่
อันนี้เป็นเรื่องเข้าใจได้ ไม่มีอะไรต้องเสียใจนะครับ ทุกคนมีหน้าที่ทางโลกที่ต้องรับผิดชอบ

ทางคลื่นเขาไม่ได้ทำวิทยุเป็นมูลนิธิ หรือการกุศล อะไรที่คิดว่าทำแล้วดีก็ต้องทำ
แต่ดีของเรากับดีของเขา ก็อาจจะไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง

เอาน่า..คิดเสียว่า ได้ฟังมาเกือบปี ก็ยังดีกว่าไม่ได้ฟังเลย ก็แล้วกันนะ

แต่มีเสียไปก็มีได้มา..
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ผมจะไปโผล่หน้าตี๋ๆหลอกหลอนท่านในรายการ "ฝรั่งจัง"
ทางช่องมะจัง ทรูวิชั่นส์ ช่อง 30 ทุกวันศุกร์ ทุ่มตรงถึงสองทุ่ม

แต่ถ้าเทปแรกๆจะยังไม่ดู ก็ไม่เป็นไร เพราะผมยังไม่คุ้นกับหน้ากล้อง
คาดว่าออกมาแล้วคงจะแข็งๆทื่อๆ ดีกว่าไม้ตีพริกพูดได้นิดหน่อย

เอาน่า.. คิดเสียว่า ดีกว่าไม่มีไม้ตีพริก..เอ๊ย..ก็ยังดีกว่าหายไปเลย

ดูเสร็จแล้ว สามทุ่มครึ่ง กดไปช่อง Explorer ก็จะมีสารคดี "น้ำพริก" ให้ดู
อันนั้นก็เสียงผมเอง แต่คนตำน้ำพริกนั่นไม่ใช่ผมนะ คนนั้นเป็นอาจารย์

เอาน่า.. ถึงจะได้ยินแต่เสียง ก็ยังดีกว่าไม่ได้ยินเลย
เอ๊ะ.. หรือไม่มีเสียงผมแล้วสารคดีเขาจะดีกว่านี้หว่า

สุดท้าย หนังสือ "ธนาคารความสุข" เล่มสอง เสร็จสมบูรณ์แล้วนะครับ
นั่งตรวจแก้รอบสุดท้ายเสร็จไปเมื่อวันก่อน เลยต้องนอนดึก

เอาน่า.. นอนดึกเพราะตรวจต้นฉบับ ก็ยังดีกว่า ไม่มีต้นฉบับจะให้ตรวจเลย

เดิมทีจะเปิดตัวหนังสือปลายเดือนนี้ แต่ผมต้องเดินทางไปประชุมที่สิงคโปร์
เลยต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 18 สิงหาคม ศกนี้ ที่ศาลาปันมี บ้านอารีย์
เวลาและกำหนดการอื่น ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่ามีขนมอร่อยแน่ๆ

เอาน่า.. เลื่อนวันวางไป ก็ยังดีกว่า ไม่ได้วางเลย

ใครว่างก็เรียนเชิญเช่นเมื่อปีที่แล้วนะครับ

ในชีวิตเรา บางทีก็ต้องอาศัยความคิดดีๆแบบ "...ก็ยังดีกว่า..." บ้างนะครับ
แบบนี้ถือเป็นสมถะอย่างหนึ่ง เพราะ "คิด" เอา
ไม่ใช่ปัญญาจากการที่จิตรู้ แล้วยอมรับ

แต่ถ้ารู้จักใช้ให้ถูกเวลา ในปริมาณที่พอเหมาะ สมถะก็มีประโยชน์มากครับ

คุณแอสตัน เขียนอะไรไม่รู้ อ่านแล้วเซ็ง รู้ว่าเซ็ง
รู้ทันจิตที่เซ็ง "ก็ยังดีกว่า" เบิกบานแล้วไม่รู้นะครับ

สุขสันต์วันที่อ่านครับ




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 15:44:29 น.
Counter : 6770 Pageviews.  

นาฬิกา กับสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต



ในบรรดาสิ่งสวยงามบนโลก นาฬิกาข้อมือเป็นอีกอย่างที่ผมชอบดู

ใช้คำว่าชอบดู เพราะผมถนัดดูมากกว่าซื้อ
ผมซื้อนาฬิกาใส่เองน้อยมาก
ส่วนมากจะได้เป็นของขวัญซะมากกว่า

ตอนไปสิงคโปร์เมื่อหลายเดือนก่อน
ผมเดินไปตกหลุมรักนาฬิกาข้อมือยี่ห้อ Zeppellin เข้าเรือนหนึ่ง

สวยไหม สวยครับ แต่แพงจัง เรือนละหมื่นต้นๆ
เดินไปดูอยู่สามวัน ชั่งใจไปมาแล้วก็ตัดใจว่า
อย่าเลยแอสตั้น แพงไปนะ เรายังไม่รวย

กลับมากรุงเทพฯ ขับรถผ่านย่านสุขุมวิทเพลินจิต
ดันไปเห็นป้ายโฆษณานาฬิกายี่ห้อโอริสเข้าให้
เป็นรูปคุณลุงบ๊อบ ดีแลน กวี นักร้องชื่อดังของยุค 60's
เพราะนาฬิการุ่นนี้ ชื่อรุ่น บ๊อบ ดีแลน นั่นเองครับ

พอมีโอกาสไปทำธุระที่ร้านที่เขาระบุชื่อไว้ในโฆษณา เลยไปแวะชม
สวยไหม สวยครับ อยากได้ไหม อยากได้ครับ แต่แพงกว่าเรือนโน้นอีก

ราคาป้ายหกหมื่น ลดไปลดมา ก็ห้าหมื่นนิดๆ
จ่ายได้ไหม เขามีโปรโมชั่น 0% ผ่อนได้นะ พอไหว แต่ไม่เอาดีกว่า

ตอนยืนดู เห็นความอยากได้ แล้วก็เห็นความเสียดาย
แล้วความคิดก็โผล่แว๊บขึ้นมา .. แกมีนาฬิกาข้อมือตั้งสี่เรือนแล้ว
ซื้อเรือนนี้ไป แขนแกจะงอกออกมาอีกหรือไง

ที่น่าสนใจคือ จะซื้อนาฬิกาสวยแค่ไหน แพงเท่าไหร่
เราก็ยังมีเวลาวันละ 24 ชม. เท่าเดิม ไม่มากกว่านี้ ไม่น้อยกว่านี้
เวลาก็ยังเดินด้วยอัตราชม.ละ 60 นาทีเท่าเดิม ไม่เร็วกว่านี้ ไม่ช้ากว่านี้

ผมพบว่า สิ่งที่ควรถามตัวเอง ไม่ใช่คำถามว่า
นาฬิกาที่ใส่ รุ่นอะไร ราคาเท่าไหร่ แต่.. เราจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่

วันหนึ่ง ผมอาจจะมีปัญญาซื้อนาฬิกาแพงที่สุดในโลก
ที่เว็บไซท์แห่งหนึ่งบอกว่า คือนาฬิกา Louis Moinet Magistralis ราคา $868,000

แต่ไม่ได้รับประกันอะไรว่า ผมจะเห็นค่าของเวลามากขึ้นกว่าเดิม

เคยมีคนถามคำถามกันว่า อะไรที่มีอยู่จริงๆบนโลกนี้ ที่มีมูลค่ามากที่สุด
คำตอบที่สรุปกัน คือ "เวลา" ครับ

เพราะไม่ว่าจะรวยจริง หรือรวยเทียม จะไฮโซ หรือไฮซ้อ
จะอั่งม๊อ หรือตึ่งนั๊ง จะดาวดัง หรือดาวดับ จะเสื้อคับ หรือเสื้อใหญ่
จะพลเอก หรือจ่าโท จะบ้านโต หรือบ้านเล็ก

ถึงเวลาอายุขัยหมด มีเงินทองมากองสูงแค่ไหน ก็ต้องเท่งทึงเหมือนกัน
ไม่เชื่อไปถามไมเคิล แจ็คสันดูได้

ใครที่มีชีวิตอยู่อย่างเพลิดเพลินกับความสุขทางโลก.. ชื่อว่าประมาท
เพราะเหมือนเดินบนสะพานดอกไม้ ที่ไม่รู้ว่าจะพังลงวันไหน

ใครที่เข้าวัดทำทาน ถือศีล ฟังธรรม แต่ไม่ภาวนา.. ก็ชื่อว่าประมาท
เพราะเหมือนไก่ที่คุ้ยเขี่ยดินอยู่ท่ามกลางเพชรพลอย แต่ไม่รู้ค่า

ใครที่ปฏิบัติธรรมเพื่อส่งเสริมอัตตา ว่าข้านิ่ง ข้าเจ๋ง ข้าแน่.. ก็ชื่อว่าประมาท
เพราะความสงบแบบสมถะ มันก็ของชั่วคราวนะ เสื่อมได้

ใครที่รู้ทางภาวนาที่ถูกแล้ว รู้หลักในการเจริญสติ แต่ขี้เกียจ.. ยิ่งประมาทหนัก
เพราะไม่มีใครรู้ว่า ตัวเองจะอยู่ได้อีกนานไหม

เกิดตายไปตอนนี้ ไปเกิดใหม่ ไม่ได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดี
ไม่มีกัลยาณมิตรคอยบอกเตือน หรือกว่าจะได้ลงมาเป็นมนุษย์อีกที
ก็ไม่มีศาสนาพุทธแล้ว ถึงตอนนั้นจะเคว้งคว้างนะ

รู้ค่าของเวลา อย่าประมาท พลาดพลั้งมาจะหาว่าคุณแอสตั้นไม่บอก

สุขสันต์วันที่ 1 ชม. มี 60 นาทีนะครับ




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2552 15:11:18 น.
Counter : 7051 Pageviews.  

นักฟุตบอล ไมเคิล แจ็คสัน ถึงหมีแพนด้า



ช่วงนี้ มีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจให้เขียนถึงหลายเรื่องทีเดียวนะครับ
อย่างแรกเลย ค่าตัวนักฟุตบอลในการย้ายสโมสรในลีกของยุโรป

เคยนึกออกไหมครับว่า คนเราจะมีราคาในการซื้อขายครั้งละเป็นพันๆล้าน
แถมด้วยค่าแรงวิ่งไปวิ่งมาในสนามหญ้าสี่เหลี่ยม สัปดาห์ละหลายล้านบาท

อย่างพี่แกเร็ธ แบรี่ อดีตกัปตันทีมที่ผมเอาใจช่วยอย่างแอสตันวิลล่า
เขาย้ายไปอยู่ แมน ซิตี้ (ไม่มี ไลอ้อน ต่อท้ายนะครับ อันนั้นมันชื่อนักร้องลูกทุ่ง)
ได้ค่าแรงไปวิ่งแย่งไล่เตะลูกกลมๆสัปดาห์ละหกล้านห้า

เดือนละ 26 ล้านเองค้าบพี่น้องค้าบ
ค่าแรงเดือนเดียวนี่ เอาเป็นงบประมาณตั้งทีมฟุตบอลเตะไทยลีกได้ทั้งปีเลย

ผมเคยสงสัย ว่าทำไมคนเราต้องลงทุนกันบ้าเลือดขนาดนั้น
ได้คำตอบว่า เพราะมนุษย์มีสัญชาตญานอยากเอาชนะ อยากเป็นที่หนึ่ง
ความสามารถตัวเองไม่มี เด็กตัวเองไม่เก่ง หรือเก่งแต่พัฒนาช้า ไม่ทันใจ
อยากให้ทีมเก่งทันตา ก็ต้องใช้เงินซื้อเอา

สิ่งที่น่าสนใจคือ ชัยชนะทางโลกนี่ มันของชั่วคราวเหลือเกินนะครับ
ได้เป็นแชมป์กันแป๊บเดียว เหงื่อเพิ่งจะแห้ง ก็ต้องออกแรงกันใหม่อีกแล้ว

ไม่เหมือนชัยชนะทางธรรม ถ้าชนะความไม่รู้ได้เมื่อไหร่
มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่ตรงนั้นเลย ไม่ต้องมารักษาแชมป์อีก

ชัยชนะทางโลก ไม่ใช่แต่ในเรื่องกีฬาหรอกนะครับ
อย่างในเรื่องเพลง เขาก็มีการแข่งขันในรูปอันดับเพลง เรื่องความนิยม

ผมชอบฟังรายการจัดอันดับเพลงสากล ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
พอมาเป็นนักจัดรายการวิทยุ ยุคแรกๆ ก็เริ่มจากการจัดอันดับเพลงนี่แหละ

ฟังไปฟังมา ก็พบว่า เพลงที่เพราะที่สุด คนชอบที่สุด ฮิตที่สุด
มันก็ฮิตชั่วคราวเท่านั้นนะ จะฮิตเดือนเดียว สามเดือน หรือปีนึง ก็เลิกฮิตอยู่ดี

อะไรๆในชีวิตเรา มันก็ชั่วคราวแบบนี้แหละนะครับ ดีก็ชั่วคราว ร้ายก็ชั่วคราว

ไมเคิล แจ็คสัน ขึ้นชื่อว่าเป็นนักร้องระดับ "ราชา" อีกคนของโลก
มีเพลงอันดับหนึ่งมาเยอะแยะ แต่ก็ไม่มีเพลงไหน ที่ติดอันดับหนึ่งนานโดยไม่ตก
ชื่อเสียงของเขาเอง ก็ลุ่มๆดอนๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง มีคนสรรเสริญบ้าง นินทาบ้าง

ผมเองไม่ได้เศร้าอะไรที่เขาจากไป เพราะคนเราก็มีอายุขัยของตัวเองทั้งนั้น
ผมเชื่อพระพุทธเจ้าว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ มันสมควรแก่เหตุแล้ว
เมื่อสมควรแก่เหตุแล้ว ก็ไม่มีเหตุอะไรจะต้องไปโศกเศร้า เมื่อมันเกิดขึ้น

ถ้าใครบอกว่าชีวิตไมเคิล น่าสงสาร
ผมว่าถ้าฟังเรื่องของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ สงสัยน้ำตาท่วมธรณีเลยมั้ง
เพราะอย่างไมเคิล ยังมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ ถึงจะทุกข์ ก็ทุกข์แบบเศรษฐี
แต่แวนโก๊ะนี่ ตลอดเวลาที่เป็นจิตรกร เขาใส้แห้งจนวันสุดท้าย

ถ้าไมเคิลจะมีมุมที่น่าสงสาร ก็เพราะชีวิตเขาถูกค่านิยมของคนอเมริกันผลักดัน
คือค่านิยมว่า Get rich or die tryin' แปลความว่า จงรวยไม่งั้นก็ตายดีกว่า

ค่านิยมที่ว่า แพร่หลายในหมู่คนชั้นล่างของสังคมอเมริกัน
โดยมากจะเป็นพวกผิวสี แล้วค่อยๆแพร่เข้ามาในบ้านเรา

สังเกตสิครับ เวลารายการทีวี จะเอาใครมาสัมภาษณ์
เรามักจะคัดคนที่เคยจนมาก แล้วโตมารวยมากๆ

นานๆที จะมีรายการที่พูดเรื่องคนไม่รวย แต่มีความสุขมาก
แต่อันนี้ก็ธรรมดาโลกนะ โลกนี้ขับเคลื่อนด้วยความโลภ
เราแค่รู้ทันกิเลสตัวเอง รู้หน้าที่ที่ควรทำก็พอ

ไม่ได้แปลว่า ชาวพุทธห้ามรวยนะครับ
ถ้าไม่ได้ผิดศีล ผิดธรรม ขยันทำงานแล้วรวย ก็ไม่ผิดเลย
เพียงแต่ทำงานด้วยความโลภ อยากรวยมากๆ
กับมีฉันทะ มีความสุข ความยินดีที่ได้ทำงาน มันต่างกันนะ

**************************************
บทสรุปที่ผมได้จากกรณีไมเคิล แจ็คสันคือ

เรามักจะนึกถึงคุณค่าของคนๆหนึ่ง ในเวลาที่เขาจากไป
มากกว่าตอนที่เขายังอยู่ อันนี้แปลกแต่จริง

เหมือนที่เรากำลังตื่นเต้นสุดขีดกับลูกสาวของหลินฮุ่ย
แต่ลืมไปว่า สัตว์ประจำชาติเราอย่างช้าง ก็ใกล้จะสูญพันธุ์แล้วเหมือนกัน

เราชอบมองออกไปข้างนอก จนลืมมองกลับเข้ามาข้างใน
เรามัวแต่กลัวว่าจะตายเมื่อไหร่ แต่ไม่ยักกลัวว่าจะต้องเกิดอีกนานแค่ไหน

สุขสันต์วันที่มีคนเกิดและตายครับ




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2552    
Last Update : 30 มิถุนายน 2552 15:05:18 น.
Counter : 7773 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.