|
เรียนรู้เรื่องจิต จากแผลในใจ
มีคำถามจากคุณรัชนี ถามไว้ในกล่องคำถาม ผมตอบไปตอบมา ได้เนื้อความยาวประมาณหนึ่ง และคิดว่ามีประโยชน์ดี เลยขอเอามาใส่ในหมวดหลักนี้นะครับ
สวัสดีค่ะคุณพิทยากร เป็นแฟนรายการเพลงคุณพิทยากรมานานนนน...มาก...... เพราะเป็นคนยุค 70 ก็เลยชอบเพลงที่คุณเปิดมากๆ
...เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตชีวิตมา ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงเป็นปรกติแล้ว แต่แผลในใจไม่จางหายไปเลย เมื่อเห็นอะไรที่เกี่ยวกับการรักษาตัวโดยเคมีบำบัด หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเจ็บป่วย โรงพยาบาล ข่าวการไม่สบายของใครก็ตาม ใจจะฝ่อ กลัว บางครั้งน้ำตาไหล พยายามคิดว่าเราผ่านมาได้แล้ว ลืมอดีต ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แต่ก็ยังทำไม่ได้ ทุกวันนี้สวดมนต์ นั่งสมาธิ จากที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย เรียกว่าพบธรรมะเมื่อพบวิกฤตชีวิตใจเย็นลงเยอะมากๆ ขอถามคำถามคร่าวๆ ก่อนค่ะ 1. แผลในใจมีวิธีรักษาให้จางได้บ้างหรือไม่คะ หรือไม่ต้องรักษา 2. เวลานั่งสมาธิจิตใจชอบวอกแวกคิดไปเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องงานถ้าตอนนั้นงานเยอะจะคิดว่าจะทำอะไรก่อน เรื่องทำความสะอาดบ้าน แต่ไม่ได้คิดไปเรื่องในอดีต แต่บางครั้งสวดมนต์แล้วน้ำตาไหลออกมา เพราะคิดไปถึงน้อง พ่อ แม่ที่ทุกคนช่วยให้ผ่านพ้นวิฤกตชีวิตมาได้ (เขียนคำถามนี้ก็น้ำตาไหลออกมาแล้วเช่นกัน แต่กลั้นไว้) มีวิธีใหนที่จิตใจจะไม่วอกแวกเวลานั่งสมาธิได้บ้างหรือไม่คะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบนะคะ จะรออ่านค่ะ แล้วจะเขียนมาใหม่ค่ะ
Ratchanee
สวัสดีครับ คุณรัชนี
ที่จริงสองคำถามของคุณรัชนี สามารถอธิบายรวมกันได้เป็นข้อเดียวเลยครับ เพราะเป็นเรื่องของจิตเหมือนกัน
ปกติ จิตเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็น "ตัวเรา" ถูกไหมครับ แต่จิตเองกลับมีความจริงที่แสดงให้เราดูบ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยเห็น หรือสังเกต หรือเห็นแล้วแต่ไม่ยอมรับ ว่า "จิตไม่ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันปรวนแปร มีทุกข์บีบคั้นตามธรรมชาติ และบังคับไม่ได้"
พระพุทธเจ้าทรงแจกแจงว่า จิตที่เราเข้าใจกันว่ามันเป็นตัวเรานั้น ที่จริงประกอบขึ้นจากการทำงานของจิต 4 ส่วน บวกกับร่างกายอีก 1 ส่วน รวมเป็น 5 ส่วน เรียกตามภาษาแขกว่า ขันธ์ 5
จิต 4 ส่วนนั้น ได้แก่ 1. เวทนา ความรู้สึกสุขทุกข์ ดีใจเสียใจ 2. สัญญา ความจำได้ หมายรู้ ว่าถ้ารูปร่างหน้าตา ภาษาแบบนี้ น่าจะอย่างนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น 3. สังขาร ความคิดนึก ปรุงแต่ง 4. วิญญาน ไม่ได้หมายถึงไอ้ดวงไฟ ลอยไปลอยมา เหมือนในหนังผีสมัยเด็กที่เราดูนะครับ วิญญาน คือจิตตัวที่ไปทำหน้าที่รับรู้ทุกสิ่งอย่าง ทุกตัวที่พูดมาข้างต้น
แผลในใจที่คุณเจอ ที่จริงก็คือการทำงานของจิตในส่วนที่เป็นความจำได้ หมายรู้ บวกกับความคิดนึก ปรุงแต่ง
อาจจะฟังดูโหดร้าย ถ้าต้องบอกว่า จิตมันจะฝังใจกับอะไร เราก็บังคับมันไม่ได้นะครับ ผมสมมติเอาว่าจิตเหมือนต้นมะม่วง ที่ทำงานเป็นปกติสามัญตามธรรมชาติของมันเอง
การที่เรา "คิดเอา" โดยการสมมติตามกฏหมาย ตามเอกสารโฉนด ว่าเราเป็นเจ้าของต้นมะม่วงทั้งสวน ไม่ได้ให้อำนาจเราตรงไหนเลยที่จะ "สั่ง" ให้มันออกลูกได้
มะม่วงมันก็ออกลูกตามธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาอันควร เมื่อมีเหตุอันควร เมื่อมีปัจจัยอันควร เช่นได้ดินดี น้ำพอเหมาะ แดดพอเพียง แร่ธาตุสารอาหารครบถ้วน อุณหภูมิเหมาะสม มะม่วงจึงออกดอก ออกผลเอง
คนเราทำได้เพียงแค่สร้างเหตุและปัจจัยให้พอเหมาะ พอดี สมควรแก่การเติบโตของมะม่วง
จิตใจก็เหมือนกัน เราบังคับ เราสั่งเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ตัวเรา หรือในระดับคนที่ยังไม่เห็นได้อย่างนั้น ก็พอเห็นได้ว่า เขาไม่ได้อยู่ใต้อาณัติบัญชาคำสั่งของเรา
วิธีการจะเห็นจริงได้ว่า จิตไม่ใช่เรา เราใช้วิธีการเจริญสติ หรือเรียกศัพท์ เทคนิคตามอิทธิพลอินเดียว่า วิปัสสนา
วิปัสสนา จึงไม่ใช่การไปนั่งสมาธิหลับตาปี๋ เหมือนกลัวผีมาหลอก แต่เป็นการคอยมีสติคอยรู้สึกตัว รู้กาย รู้ใจตัวเองลงปัจจุบัน ตามความเป็นจริง
ในหมวดกาย พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้รูปกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ได้บอกว่าให้นั่งสมาธิอย่างเดียว
พูดแบบง่ายๆ กายมันเป็นอย่างไร ให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น เช่นมันนั่งรถเมล์อยู่ก็รู้การมีรูปหรือก้อนๆหนึ่งนั่งอยู่ ไม่สำคัญว่านั่งเบาะหน้า หรือเบาะหลัง นั่งสายอะไร รถครีมแดง หรือเมโทรบัส ไม่สน
เห็นว่ารูปที่นั่งเอนไปไหวมาตามแรงซิ่งของคนขับนี้เป็นส่วนหนึ่ง ใจที่ไปรู้กายก็เป็นอีกส่วน อยู่ด้วยกันแต่เป็นคนละส่วนกัน
พูดแบบซื่อๆ เห็นว่ากายเป็นส่วนหนึ่ง จิตเป็นอีกส่วน อันนี้เรียกว่าจิตมันมีปัญญาเบื้องต้น แยกรูป แยกนามได้
นั่งๆไป รถเมล์เบรกกระทันหัน หน้าเราทิ่มเกือบกระแทกเบาะหน้า จิตตกใจ รู้ทันว่าตกใจ หลังจากนั้น จิตปรุงความโกรธ ก็รู้ทันว่าโกรธ
ถ้ามีสติเห็นทันความเปลี่ยนแปลง จากจิตที่เคลิ้มๆ พลิกเป็นจิตที่มีความตกใจ แล้วก็เปลี่ยนเป็นจิตที่โกรธ พอมีสติความโกรธดับไป ทำได้บ่อยๆก็จะเริ่มเห็นได้ว่า ความตกใจ ความโกรธไม่ใช่จิต แต่ความตกใจ ความโกรธล้วนเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต เหมือนน้ำเน่าที่ถูกรินลงในแก้ว
แก้วก็ไม่ใช่น้ำเน่า น้ำเน่าก็ไม่ใช่แก้ว แต่มันเป็นสิ่งที่มาอาศัยในแก้ว ทำให้แก้วเหม็นได้
วิปัสสนาเราปฏิบัติ ด้วยการรู้ การดู เพื่อให้เห็นความจริงเหล่านี้ ดังนั้นเราจะดูแบบยอมรับความจริง คอยดู คอยรู้ตามที่มันเป็นจริง ไม่ดัดแปลง ไม่ปรุงแต่ง ไม่เสแสร้ง
กลัว รู้ว่ากลัว ไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ โกรธ รู้ว่าโกรธ ไม่ห้าม ไม่บังคับ ไม่กด ไม่ข่ม แต่ยกเว้นว่าต้องไม่ผิดศีล 5 นะครับ
ศีล 5 คือรั้วที่กั้นเราไม่ให้ละเมิดผู้อื่นด้วยกาย ด้วยวาจา แต่ใจนี่เอาไว้ดู เอาไว้เรียนรู้ครับ
ถ้าเห็นความจริงของกาย ของจิตใจบ่อยๆ จิตเองนั่นแหละ จะค่อยๆฉลาดขึ้น จะมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นตามลำดับ เพราะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นสภาวะแบบไหน จะดีหรือร้าย ล้วนแต่เป็นของชั่วคราว ผ่านมาแล้วผ่านไป
ความกลัว ก็ไม่ได้กลัวตลอดเวลา กลัวชั่วครู่ ชั่วคราว ใจฝ่อ ก็ไม่ได้ฝ่อ 24 ชั่วโมง ฝ่อได้ ก็ฟูได้ เหมือนที่มันเปลี่ยนจากเคลิ้ม เป็นตกใจ เป็นโกรธ แล้วก็หายโกรธนั่นแหละ
จิตใจที่ว่อกแว่ก ก็เหมือนกันนะครับ มันเป็นธรรมชาติของจิต ที่จะปรวนแปร เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ถ้าจะทำให้มันนิ่ง มันสงบ ก็ทำได้ เรียกว่าปฏิบัติสมถะกรรมฐาน เช่นดูลม ดูท้องพองยุบ เดินจงกรมเล่นๆ บริกรรมพุทโธ สวดมนต์ หรือกระทั่งไปนั่งถักนิตติ้ง จิตก็จะนิ่งได้ สงบได้ ชั่วคราว
แต่ถ้าจะเอาปัญญา สู้กับทุกข์แบบจริงๆจังๆ เห็นจะต้อง ขยับไปทำวิปัสสนา
ฉะนั้น ที่นั่งสมาธิแล้วเห็นว่ามันเคลื่อนไหว ว่อกแว่ก นั่นแหละดีแล้วนะครับ เห็นอนิจจัง เห็นทุกข์ เห็นอนัตตา นี่แหละวิปัสสนาแท้ๆเลย
ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ วางใจให้ถูก เชื่อในการเรียนรู้จักตัวเอง แล้วจะเห็นว่า จิตที่ว่อกแว่ก ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ
ปัญหาอยู่ที่จิตอีกดวง ที่ไม่ชอบความว่อกแว่กนั้นอีกทีครับ
สุขสันต์วันที่โลกข้างนอกวุ่นวาย แต่ภายในสงบได้นะครับ
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 1 ธันวาคม 2551 18:41:28 น. |
|
26 comments
|
Counter : 1054 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Tony Koon IP: 58.9.193.163 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:08:42 น. |
|
|
|
โดย: Mam IP: 210.160.8.69 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:48:34 น. |
|
|
|
โดย: Devonshire (Devonshire ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:09:54 น. |
|
|
|
โดย: myover วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:44:11 น. |
|
|
|
โดย: aritsumemoon IP: 203.131.212.44 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:04:37 น. |
|
|
|
โดย: SEsai* IP: 125.26.205.208 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:12:40 น. |
|
|
|
โดย: meang IP: 118.172.51.38 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:10:26 น. |
|
|
|
โดย: ดวงลดา วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:58:12 น. |
|
|
|
โดย: บ๊วย IP: 124.121.40.211 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:33:09 น. |
|
|
|
โดย: zmen วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:17:58 น. |
|
|
|
โดย: Q.NUH วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:53:22 น. |
|
|
|
โดย: daisyntulip IP: 75.43.220.111 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:41:18 น. |
|
|
|
โดย: แนน ค่ะ IP: 58.8.107.216 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:01:25 น. |
|
|
|
โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.33.159 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:42:51 น. |
|
|
|
โดย: MiMi IP: 203.144.130.176 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:28:28 น. |
|
|
|
โดย: aggressive red rabbit IP: 202.28.6.18 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:15:48 น. |
|
|
|
โดย: My Life as a Doc IP: 125.27.173.127 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:10:28 น. |
|
|
|
โดย: Hobbit วันที่: 30 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:25:35 น. |
|
|
|
โดย: ดอกปีบ IP: 125.27.209.101 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:07:47 น. |
|
|
|
โดย: My Life as a Doc (อย่างไรก็ดี ) วันที่: 1 ธันวาคม 2551 เวลา:0:51:08 น. |
|
|
|
โดย: อ้อ IP: 58.8.83.246 วันที่: 1 ธันวาคม 2551 เวลา:1:56:09 น. |
|
|
|
โดย: yai IP: 58.136.98.1 วันที่: 31 มกราคม 2552 เวลา:16:08:51 น. |
|
|
|
โดย: aps IP: 61.7.141.18 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:11:18:05 น. |
|
|
|
| |
|
|
เที่ยงกว่าๆแล้วอย่าลืมหาอะไรทานน่ะค่ะ