Group Blog
 
All blogs
 
สนทนาประสามือใหม่


(เอื้อเฟื้อภาพประกอบโดย คุณ SevenDaffodils ครับ อนุโมทนาด้วยครับ)

วันนี้มีคำถามจากนักเรียนวิปัสสนามือใหม่มาสองท่าน จากหลังไมค์ และทางเมล์
ผมเห็นว่ามีประโยชน์ เลยเอามาขึ้นเป็นบล็อกใหม่เสียเลย โดยเอาสองคำถามมารวมกัน

คุณเอ๊ดดี้,
นักเรียนวิปัสนามือใหม่ จำเป็นต้องไปเข้าcourseปฏิบัติธรรมมั้ยคะ สติเราจะเข้มแข็งมากขึ้น จากการนั่งสมาธิมากมากรึเปล่า


อีกท่านถามคล้ายๆกัน คุณ aston ค่ะ
คนส่วนใหญ่มักชอบพูดว่า เดี๋ยวไปชาร์ตแบตเตอรี่ดีกว่า เห็นด้วยไหมค่ะ ถ้าคุณเหนื่อยใจมากๆ ก็ดูใจไปใช่ไหมค่ะ วันนี้รู้สึกว่าใจตัวเองมันล้ามากๆ ขอบคุณค่ะสำหรับความเป็นกัลยาณมิตร


เวลาเหนื่อยๆ ครูบาอาจารย์ท่านแนะว่า เราทำได้สองวิธีครับ
คือดูจิตไปซื่อๆ อย่างนั้น ถ้ารู้ได้อย่างเป็นกลาง รู้ตรงตามที่เป็นจริง
จิตเกิดระลึกรู้ มีสติตั้งมั่นขึ้นมา จะมีความสุข ความสงบขึ้นมาได้เอง

แต่ถ้าใครยังทำไม่ได้ ลองแล้ว มันไม่รอด ก็ให้ทำสมถะขึ้นมาก่อนครับ

พระพุทธเจ้าท่านเคยให้แนวทางไว้ว่าชาวพุทธควรทำทั้ง สมถะ และวิปัสสนา
แต่ทรงย้ำว่า ต้องทำ"ด้วยปัญญาอันยิ่ง" คือต้องทำแล้วรู้เนื้อรู้ตัว
ทำแล้วมีสติ จิตตื่น เบิกบาน ไม่ใช่ซึมๆ มัวๆ หนักๆ แน่นๆ

เพราะสำหรับนักเรียนวิปัสสนาแล้ว สมถะ มีประโยชน์นะครับ
สมถะจะช่วยให้จิตได้พักผ่อน ได้กำลัง มีแรงขึ้นมา ผมเองก็ทำทุกวัน

แต่ทำสมถะ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเท่านั้นนะครับ สวดมนต์ก็ได้
เราเดินในชีวิตประจำวัน ไปโน่นมานี่ แต่เดินทุกก้าวด้วยความรู้สึกตัว ก็เกิดสมาธิได้
เดินออกจากบ้านไปขึ้นรถ ลงเรือ ลงจากรถ ขึ้นจากเรือ เดินเข้าที่ทำงาน ทำได้หมด

เรานั่งอยู่ในรถติดๆ เรารู้ลมหายใจ เราบริกรรมพุทโธ ก็เป็นสมถะ
แล้วไม่ได้แปลว่าต้องทำนานๆ นาทีสองนาทีก็ดีถม สำหรับชาวโลก
แต่เราอาศัยลูกขยัน ว่างเมื่อไหร่ทำ ว่างสองนาทีก็ทำ ว่างนาทีเดียวก็ทำ

รู้ลม เข้า ออก แล้วจิตโล่งสบายขึ้นมา ก็รู้สึกตัว
จากสมถะ ก็พลิกไปเจริญวิปัสสนาได้ต่ออย่างนี้

ไม่ต้องรอไปเข้าคอร์สหรอกครับ เหมือนแบตเตอรี่ในรถ
หลายท่านอาจจะทราบ หรือไม่ทราบว่า รถวิ่งไปก็ชาร์จไฟเข้าแบตได้ด้วย
ไม่ได้รอกลับไปเข้าศูนย์ ค่อยไปชาร์จ อันนั้นสองสามวันก็หมดแล้ว

ตัวที่ชาร์จแบตในรถ เขาเรียกไดนาโม ถ้าจำไม่ผิดนะ
เวลาแบตในรถเสีย มีสองอย่าง คือแบตเสื่อมเอง กับไดชาร์ตตัวนี้เสีย

เรื่องเข้าคอร์ส ลองอ่านในบล็อกชื่อ "สติ๊กเกอร์ท้ายรถ น้องชาย กับคอร์สกรรมฐาน" นะ

ฝึกรู้สึกตัวมาได้1ปี พยายามรู้สึกตัวตลอดเวลา คิดว่าเข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่พอเจอเจ้านายจู้จี้เข้าหน่อย กลับบ้าจี้ไปฟาดฟัน
กับเค้าซะงั้น ตอนนี้รู้สึกขอบคุณเค้ามากมาก ที่ช่วยกระแทกกิเลสที่แอบนอนก้นให้ฟุ้งขึ้นมา จะได้รู้ว่ายังต้องฝึกฝนอีกมาก


อย่าพยายามรู้สึกตัวตลอดเวลานะครับ ^^" มันจะเครียด
ให้รู้สึกตัวบ่อยๆก็พอ เผลอแล้วรู้สึก เผลอแล้วรู้สึก

คำว่าเผลอ คือการที่จิตหลงไปทำงานอะไรนั่นแหละ
ไม่ว่าจะ นึกคิด ปรุงแต่ง จดจำได้ หมายรู้ หรือส่งออกไปรู้สิ่งภายนอกที่มากระทบ
เช่นไปสนใจจดจ้องสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส หรือสัมผัสทางกายต่างๆ

เมื่อมีการรู้สิ่งต่างๆ ก็ย่อมมีกระบวนการคิดนึกให้ค่าปรุงแต่งตามมา
การปรุงแต่ง เช่นโกรธ เมตตาสงสาร เสียใจ ดีใจ อยาก ไม่อยาก ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ
บางครั้งจิตก็ปรุงสิ่งดีๆที่เป็นกุศล บางครั้งก็ปรุงสิ่งที่เป็นอกุศล แล้วแต่เหตุและปัจจัย

นักเรียนวิปัสสนา ไม่ได้เรียนเพื่อห้าม หรือเพื่อบังคับจิตให้เป็นอย่างที่เราชอบนะครับ
ไม่ได้บอกว่า ห้ามเผลอ ต้องรู้สึกตัวตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ครับ
เพราะจิตเป็นขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่มีธรรมชาติ คิด นึก ปรุงแต่ง รับรู้

หลายๆท่านถึงบอกว่า วิปัสสนาง่าย เพราะไม่ต้องทำอะไร นอกจากรู้สึกตัว
ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกดข่ม ไม่ต้องฝืนธรรมชาติ

แต่บางท่านก็เลยว่ามันยาก เพราะมันสวนทางกับความเข้าใจของคนอยากดี
ว่าจะต้องพยายามหาทาง "ทำ" อะไรสักอย่างให้ได้สิน่า ถึงจะดี
เพราะคิดว่า ถ้าบังคับ ควบคุมจิตใจจนไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่งได้ แล้วจะบรรลุธรรม

หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านบอกเสมอว่า
ท่านไม่ได้สอนให้ลูกศิษย์เป็นก้อนหิน หรือต้นไม้นะ
ถ้าการไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีความรู้สึกอะไร ทำให้บรรลุธรรม
พวกก้อนหิน ต้นไม้ หรือคนที่สมองไม่ทำงาน คงบรรลุธรรมหมดแล้ว

แต่ท่านสอนให้รู้ทันการหลงเผลอ หรือการทำงาน เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตนั่นแหละ
เช่นไม่ได้ห้ามโกรธ แต่โกรธแล้วรู้สึกตัว เสียใจแล้วรู้สึกตัว อยากฟาดฟันแล้วรู้สึก

คนทั่วไปเวลาโกรธ จะไปสนใจสิ่งที่คนอื่นพูด คนอื่นทำ
แต่นักเรียนวิปัสสนาจะย้อนมาดูตัวเอง ดูจิตที่มีความโกรธเข้ามาปกคลุม

แท้ที่จริง ความโกรธ ก็ไม่ใช่จิต
แต่เป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้นมาแล้วจิตไปรับมันเข้ามา
แล้วสิ่งที่จิตปรุงขึ้นมา ก็กลับมาครอบงำจิตเอง

ครูบาอาจารย์ท่านอุปมาว่า จิต เหมือนแมงมุมโง่ๆพ่นใย
แล้วดันไปติดแหง่กอยู่กับใยที่ตัวเองสร้างขึ้นซะเอง
ใยเป็นสิ่งที่แมงมุมสร้างขึ้น แต่ใยกลับมารัดแมงมุมได้

อันนี้ แมงมุมพ่นใยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโง่ด้วยนะครับ ถึงจะเป็นแบบนี้
เพราะในความจริง แมงมุมปกติไม่เป็นแบบนี้หรอก

คนเราก็เหมือนกัน เราก็ปรุงแต่งกันตลอดเวลาแหละ แต่ถ้ามีเราสติ
ก็จะไม่เป็นเหยื่อของสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา

ถามว่ายังปรุงแต่งไหม ปรุงอยู่ แต่เราจะค่อยๆเห็นความจริง
ว่าจิตมันปรุงแต่งเอง เราไม่ได้ทำ มันจะโกรธ มันก็โกรธเอง

ถ้าดูต่อไปอย่างเป็นกลาง คือไม่ห้าม ไม่ทำอะไร แค่รู้ แค่ดู
ก็จะเห็นว่า ความโกรธก็หายไปได้เอง ไม่ใช่เพราะเราสั่ง
เห็นว่าความรู้สึกทั้งหลาย มันเกิด และดับ ตามเหตุและปัจจัย

แล้วไม่ใช่แค่ความรู้สึกนะครับ ทุกอย่างทั้งหลายทั้งปวง
มันก็เป็นของมันแบบนี้ พระท่านถึงว่า มันไม่มีตัวเราตรงไหน
มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุและปัจจัย ดับไปก็เพราะเหตุและปัจจัย

นักเรียนวิปัสสนา ที่สอบผ่าน คือคนที่เห็นความจริงเหล่านี้
แล้วเกิดปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายเป็นของชั่วคราว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุและปัจจัยเป็นธรรมดา

มีคนถามผมบ่อยๆว่าผมยังโกรธไหม ตอบไว้ตรงนี้ว่า
คุณแอสตั้นยังโกรธได้ตามเหตุและปัจจัย เหมือนคนธรรมดา
บางทีเหตุและปัจจัยแรงมาก สติอ่อน ก็ยังโกรธแรงได้ด้วย
ขึ้นกับว่า ช่วงไหนซ้อมมาดี หรืออ่อนซ้อม

ถามว่า แล้วต่างจากก่อนปฏิบัติยังไง แบบนี้ก็เสียเปล่าสิ
ตอบว่า ไม่หรอกครับ ถ้าโกรธแล้วไม่รู้สึกตัว ถึงจะเรียกว่าเสียเปล่า
ถ้าไปบังคับ ห้าม หรือกดข่มไว้ไม่ให้โกรธ ถึงจะเรียกว่าเสียเปล่า

สิ่งที่ต่างกันคือ ผมโกรธแล้วสติมันตามรู้ เราก็โกรธสั้นลง น้อยครั้งลง
ข้อดีของการเห็นกิเลส ไม่ว่าจะโกรธ กลัว เกลียด ฯลฯ
มันเป็นการเตือนตัวเองได้ว่า เรายังมีโอกาสตกนรกอยู่นะ อย่าประมาท

แล้วผมยังเห็นความรักตัวเองอยู่มาก เพราะยังมีอัตตาอยู่มาก
เพราะถ้าไม่มีอัตตาตัวตน แล้วเราจะรักตัวเองไปทำอะไร
ถ้าไม่ได้รักในอัตตา ใครจะมาว่าอะไร เราก็ไม่มีความโกรธน่ะสิ
เพราะธรรมชาติคนเราโกรธ เพราะอัตตามันโดนกระแทก

เพราะเขาว่า "เรา" เขาเอาเปรียบ "เรา" เขาให้ร้าย "เรา" ฯลฯ
แต่ถ้าไม่มีอัตตา ก็ไม่มี "เรา" ถูกไหมครับ

ถ้าไม่มี "เรา" แล้วใครจะเดือดร้อนล่ะครับ ? ก็ไม่มี
แล้วใครจะโกรธ ก็ไม่มี แล้วใครจะทุกข์ ก็ไม่มีอีก

ที่ดีที่สุดคือ ถ้าไม่มี "เรา" แล้วใครจะเกิดอีก ก็ไม่มีนะครับ

แต่อยู่ๆอ่านจบแล้ว คิดเอาว่า "เออ.. นะต่อไปนี้ จะไม่มีเราละ"
ทำไมได้นะครับ วิปัสสนามันไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายขนาดแค่คิดเอาได้หรอก

อยากพ้นทุกข์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ต้องเจริญสติ คอยรู้สึกตัวนี่แหละ
พัฒนาจิตให้มีสติอัตโนมัติ อย่ากำหนด บังคับกดข่มจิต ให้จิตมันทำงานตามธรรมชาติ

จิตทำงานเคลื่อนไหว เรามีหน้าที่แค่คอยตามรู้ ตามดู
รู้ด้วยการ "รู้สึก" กายเคลื่อนไหว ก็คอยรู้สึก

รู้เท่าที่รู้ได้ บางวันจะดีบ้าง แย่บ้าง อันนั้นเขาก็สอนธรรมะเราเหมือนกัน
ว่า "มันไม่แน่หรอกนาย" จิตจะเป็นกลางไม่เป็นกลาง ก็ช่างมัน เรารู้ลูกเดียว

หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านว่า จิตปรุงแต่งไม่ใช่ปัญหา (เพราะมันมีธรรมชาติปรุงแต่ง)
แต่เราอย่าไปปรุงแต่งจิตเสียเอง (ก็แล้วกัน)

แค่รู้สึกบ่อยๆ แล้ววันหนึ่งจะเห็นไตรลักษณ์เอง เกิดปัญญาเอง
สะสมปัญญาได้มากพอเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น

มันง่ายจริงๆนา


Create Date : 21 กรกฎาคม 2552
Last Update : 21 กรกฎาคม 2552 9:26:39 น. 16 comments
Counter : 6853 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะพี่เอ๊ด

ตอนแรกมองปราดๆ ก็ว่าเขียนยาวแฮะ
พออ่าน
เอ๊ะ ยังไม่ทันไร หมดซะแล้ว


^^


โดย: I am just fine^^ วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:26:19 น.  

 
วันนี้เพิ่งเอา "ธนาคารความสุข" ฝากให้พี่ที่ทำงานอ่าน...

น่ายินดีที่จะได้อ่าน "ธนาคารความสุข เล่ม2"

อ่าน Blog นี้ทีไร...ได้ความอิ่มใจกลับออกไปทุกครั้ง

ขอบคุณมากๆค่ะ


โดย: P-PRESENT วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:23:13 น.  

 
ช่วงที่ผ่านมารู้สึกเหนื่อยล้ากับปัญหาบางอย่าง

โชคดีที่มีสติพอรู้สึกตัวยั้งใจให้คลายลง
ก่อนที่จะถลำตัวเข้าไปฉะปะดะกับปัญหาเพียงแค่สนองอารมณ์ตรงนั้นให้สะใจ

โชคดีที่ได้ศึกษาธรรมะไว้แต่เนิ่นๆ บ้าง

โชคดีที่เคยได้เข้ามาอ่านบล๊อกพี่



โดย: นู๋ปิ๋มมี่ วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:45:58 น.  

 
สวัสดีคะคุณแอสตั้น

มาร่วมอาลัยกับรายการ The Rewinderคะ
เสียดายนะคะที่ไม่มีรายการเพลงยุค
60' - 80'ให้ได้ฟังในคลืนF.Mแล้ว
แต่จะว่าไปทางคลื่นA.M ก้อยังมีเพลงยุคนี้อยู่นะคะ ชื่อรายการ Follow you Follow me ทุกวันบ่ายอาทิตย์ของคุณไชยณรงค์ คำคูณ
อะแฮ่มไม่ได้ค่าโฆษณาหรอกคะแค่บอกเล่าเก้าสิบให้ฟังเฉยๆ ว่างๆจะถามเรื่องเพลงคะแต่ตอนนี้ขอถามปัญหาเกี่ยวกับธรรมะก่อนคะ

ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกต้องไหมว่าให้ฝึกการตามดูจิตทุกขณะไปเรื่อยๆทุกอารมณ์ โดยวางจิตเป็นกลางไม่ให้มีชอบและชัง เพื่อให้จิตเห็นความเกิดดับของอารมณ์ต่างๆที่มากระทบอย่างเป็นธรรมชาติ จิตก้อจะเบื่อหน่ายคลายความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง เพราะจิตนั้นได้เรียนรู้และเข้าใจว่าทุกอย่างมันเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้ไปเป็นอย่างที่จิตเราต้องการได้

คราวนี้คำถามที่จะถามคือ และถ้าเกิดเรารับเหตุการณ์ต่างๆไว้เพื่อการศึกษาล่ะคะ ไม่ได้ใช่แค่การดูจิตมันเฉยๆ แต่เราจะให้จิตมีสติตั้งรับทุกเหตการณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้ายอย่างไรเราจะรับมาเป็นบททดสอบลับสมอง ใช่ปัญญาสืบสาวราวเรืองทุกอย่างตามเหตุปัจจัย เสมือนหนึ่งว่าเรากำลังดูละครและศึกษาพฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัว รวมท้งเรื่องราวที่มาที่ไปของเรื่อง เพื่อที่เราจะได้จัดการเรื่องราวต่างๆได้โดยใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์ชอบชัง คุณแอสตั้นมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ


โดย: ตีตี้ IP: 203.146.78.178 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:51:46 น.  

 
กำลังจะไปวิปัสสนาพอดีเลยแวะมาอ่านบลอคพี่เอ๊ดก่อนค่ะ


โดย: Hobbit วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:35:35 น.  

 
"ฝึกรู้สึกตัวมา1 ปี (ของเรา--2-3 ปี) พยายามรู้สึกตัวตลอดเวลา คิดว่าเข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่พอเจอเจ้านายจู้จี้เข้าหน่อย กลับบ้าจี้ไปฟาดฟัน
กับเค้าซะงั้น" ---คำถามนี้โดนมากๆ เลยค่ะ
เกิดกับตัวเองเหมือนกันค่ะ
เมื่อก่อนเคยคิดว่า เรานี่นิ่งมาก เจอเรื่องอะไรก้อไม่หวั่นไหว..(ตกงาน--พี่ชายจากไป ฯลฯ)
เจอเจ้านายคนใหม่ผ่านไป 3 เดือน --จิตตกเห็นๆ
บางวันก้อปะทะตอบเหมือนกัน
ปะทะแล้วเราหาย (โกธร)..แต่เค้าไม่หาย ผลที่ตามมาคือต้องตามมาปะทะกันอีก--ไม่สนุกเลย--จริงๆ นะคะ.. ยังไงๆ ก้อคงปฏิบัติไปอีกนาน


โดย: พิม IP: 124.121.176.206 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:04:10 น.  

 
อ่านแล้วก็.... "เรา" ยังเป็นเจ้าแมงมุมโง่ๆตัวนั้นอยู่ - -"

และยังเป็นมือใหม่อยู่เสมอจริงๆค่ะ

ขอบคุณนะคะพี่เอ๊ดกับอีกบล็อกดีๆ :)


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.34.52 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:09:33 น.  

 
ต้องแมงมุมโง่ๆด้วย
อ่านแล้วเห็นภาพเลย

ขอบคุณที่เขียนเตือนเรื่องอัตตาค่ะ


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:39:38 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ

อ่านแล้วรู้สึกว่าผึ้งนี่เด็กประถม
ส่วนคุณเอ๊ดดี้นี่ระดับมหาลัย

ยังไงก็คอยช่วยสอนน้องๆไปเรื่อยๆนะคะ
..พี่เอ๊ดดี้..(",)




โดย: hunnybakes IP: 124.120.146.224 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:19:02 น.  

 
เมื่อวานก็เพิ่งผ่านประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเนื้อหาใน Blog โดยตรงครับ

คือช่วงนี้งานหนักมาก และก็หลายอย่างมาชนกัน นอนตีหนึ่ง ตีสอง เป็นประจำ เวลาตื่นก็ตื่นสาย เวลาทำในรูปแบบน้อยลงไปมาก (จาก เกือบชั่วโมง มาเป็นแค่ 5 นาที) ทั้งกาย ทั้งใจ ไม่มีแรงทั้งคู่ แต่ก็ดูมันไป กลางๆ บ้าง ไม่ชอบใจบ้าง (ไอที่เป็นกลางก็กลางไม่จริง แบบมีเคืองเล็กๆ)

พอเมื่อวานงานเสร็จหนึ่งงาน แล้วจิตใจมันเบาขึ้น อยู่สติก็เกิดขึ้น จิตใจมีแรงขึ้นมาเฉยๆ ซะงั้น ยิ่งกว่าตอนที่เราอยู่ในภาวะปรกติเสียอีก จิตตั้งมั่น แยกออกเป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่ห่างๆ เป็นอยู่นาน

แล้วมาวันนี้จิตก็ลงไปรวมกับอารมณ์ใหม่ เห็นเลยว่าแม้แต่ สติ กับ กุศล ก็ของพึ่งไม่ได้ แต่ก็รู้ไปอีกว่า จิตยังไม่ยอมรับสิ่งนี้ ยังมีความพยายามดิ้นรนปรุงแต่งให้มันเป็นกุศลตลอดเวลา พอรู้ตัวก็หยุดปรุงบ้าง ไม่หยุดปรุงบ้าง แต่ถ้าเผลอนี่ จะปรุงตลอด

เมื่อวานก็เลยเห็นว่าจิตจะชาร์ตตัวเองหรือไม่ (หมายถึงจิตมีกำลัง) บางครั้งมันเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดจากความจงใจจะทำให้เกิด เพราะบางครั้งทำอยู่ในรูปแบบแท้แต่จิตฟุ้งซ่าน เหม่อลอย (เป็นบ่อย) แต่ในชีวิตประจำวันที่มีแต่เรื่องยุ่งๆ กับมีกำลังขึ้นมาซะงั้น

มันบังคับบ่ได้หรอกครับ (แต่ก็ยังอยากจะบังคับอ่ะ เพราะมันแทบจะเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว)

สุขสันต์วันที่งานยังยุ่งครับ


โดย: him_aeng IP: 118.173.240.143 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:02:05 น.  

 


โดย: assawa3nx (รัตนชาติ ) วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:28:00 น.  

 
"เพราะมันสวนทางกับความเข้าใจของคนอยากดี"

สะดุดกึกเลยครับ..มันติดดีมากๆ อยู่
หลายวันก่อนฟังซีดีของหลวงพ่อครับ
ก็เลยคิดได้มั่ง

พักนี้ตกต่ำมากเลย (เท่าที่รู้ตัว)
โมหะรับประทานผมอีกแล้ว T.T
ความหวังเนี่ยมีไว้ไม่น่าเสียหายจริงรึป่าวครับ
แต่ความคาดหวังนี่...ไม่น่าให้อภัยมันเลย
(โกรธตัวเองอีกละ...555+)
เพราะมันคงอยากดีมากนี่เอง...
ขอบคุณนะครับคุณแอสตันและ... ^^"
คงไม่เสียมารยาทนะครับขอโทษด้วยครับ
สวัสดีคุณต้นอ้อด้วย(ถ้ามีบล็อกของคุณก็จะตามไปอ่านมั่งนะ) ^_^


โดย: สุริยา IP: 124.122.250.32 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:21:01 น.  

 
เขียนดีมากๆๆเลยค่ะ แจ่มแจ้งนัก อธิบายเก่งจริงๆๆค่ะ เข้าใจง่ายมากๆๆ ชื่นชมๆๆๆๆ ค่ะ ขออนุญาติฟอร์เวิร์ดให้เพื่อนๆๆได้อ่านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: แบ่งปัน IP: 124.120.131.193 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:49:11 น.  

 
ขอบคุณบทความดีๆ ติดตามอ่านมาตลอดครับ
มีความสุขทุกครั้งที่ได้เข้ามาอ่าน


โดย: ลูกชิต IP: 117.47.69.155 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:04:05 น.  

 
แวะเข้ามาอ่านบ่อยๆ รู้สึกดีทุกครั้งค่ะ ถึงแม้จะอยู่หลังเขา ป่าพงไพร เหมือนอยู่ไม่ไกลเลยค่ะ


โดย: คนใกล้เขา IP: 118.173.242.222 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:23:12 น.  

 
1.ที่บรรยายเรื่อง จิตปรุงแต่ง มา พอสรุปให้เห็นได้ 3 กลุ่ม คือ 1) พวกหยุดจิต (ทำให้จิตสงบ)2)พวกตามดูจิต (เจริญสติให้เกิดกุศล) 3)พวกปรับแต่งจิต (คิดเชิงบวก)
2.ผมชอบนำเรื่องนี้ไปเทียบกับการดู TV คือ พวกแรก ปิดทีวี ไม่ดูแล้ว มันเครียด มันเบื่อ พวกที่สอง ดูไปเรื่อยๆ แล้วบอกว่า ตัวละครมันไม่ใช่เรา ไม่มีเรา พวกที่สาม เป็นพวกชอบเปลี่ยนช่อง จะดูเฉพาะรายการที่ชอบใจเท่านั้น
3.ใครถนัดแบบไหนก็เลือกเอา แต่แบบที่สองนั้น จะเห็นโลกตามความเป็นจริงที่สุด


โดย: พี่พนธ์ IP: 10.13.1.75, 122.154.18.253 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:53:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.