|
สนทนาประสามือใหม่
(เอื้อเฟื้อภาพประกอบโดย คุณ SevenDaffodils ครับ อนุโมทนาด้วยครับ)
วันนี้มีคำถามจากนักเรียนวิปัสสนามือใหม่มาสองท่าน จากหลังไมค์ และทางเมล์ ผมเห็นว่ามีประโยชน์ เลยเอามาขึ้นเป็นบล็อกใหม่เสียเลย โดยเอาสองคำถามมารวมกัน
คุณเอ๊ดดี้, นักเรียนวิปัสนามือใหม่ จำเป็นต้องไปเข้าcourseปฏิบัติธรรมมั้ยคะ สติเราจะเข้มแข็งมากขึ้น จากการนั่งสมาธิมากมากรึเปล่า
อีกท่านถามคล้ายๆกัน คุณ aston ค่ะ คนส่วนใหญ่มักชอบพูดว่า เดี๋ยวไปชาร์ตแบตเตอรี่ดีกว่า เห็นด้วยไหมค่ะ ถ้าคุณเหนื่อยใจมากๆ ก็ดูใจไปใช่ไหมค่ะ วันนี้รู้สึกว่าใจตัวเองมันล้ามากๆ ขอบคุณค่ะสำหรับความเป็นกัลยาณมิตร
เวลาเหนื่อยๆ ครูบาอาจารย์ท่านแนะว่า เราทำได้สองวิธีครับ คือดูจิตไปซื่อๆ อย่างนั้น ถ้ารู้ได้อย่างเป็นกลาง รู้ตรงตามที่เป็นจริง จิตเกิดระลึกรู้ มีสติตั้งมั่นขึ้นมา จะมีความสุข ความสงบขึ้นมาได้เอง
แต่ถ้าใครยังทำไม่ได้ ลองแล้ว มันไม่รอด ก็ให้ทำสมถะขึ้นมาก่อนครับ
พระพุทธเจ้าท่านเคยให้แนวทางไว้ว่าชาวพุทธควรทำทั้ง สมถะ และวิปัสสนา แต่ทรงย้ำว่า ต้องทำ"ด้วยปัญญาอันยิ่ง" คือต้องทำแล้วรู้เนื้อรู้ตัว ทำแล้วมีสติ จิตตื่น เบิกบาน ไม่ใช่ซึมๆ มัวๆ หนักๆ แน่นๆ
เพราะสำหรับนักเรียนวิปัสสนาแล้ว สมถะ มีประโยชน์นะครับ สมถะจะช่วยให้จิตได้พักผ่อน ได้กำลัง มีแรงขึ้นมา ผมเองก็ทำทุกวัน
แต่ทำสมถะ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเท่านั้นนะครับ สวดมนต์ก็ได้ เราเดินในชีวิตประจำวัน ไปโน่นมานี่ แต่เดินทุกก้าวด้วยความรู้สึกตัว ก็เกิดสมาธิได้ เดินออกจากบ้านไปขึ้นรถ ลงเรือ ลงจากรถ ขึ้นจากเรือ เดินเข้าที่ทำงาน ทำได้หมด
เรานั่งอยู่ในรถติดๆ เรารู้ลมหายใจ เราบริกรรมพุทโธ ก็เป็นสมถะ แล้วไม่ได้แปลว่าต้องทำนานๆ นาทีสองนาทีก็ดีถม สำหรับชาวโลก แต่เราอาศัยลูกขยัน ว่างเมื่อไหร่ทำ ว่างสองนาทีก็ทำ ว่างนาทีเดียวก็ทำ
รู้ลม เข้า ออก แล้วจิตโล่งสบายขึ้นมา ก็รู้สึกตัว จากสมถะ ก็พลิกไปเจริญวิปัสสนาได้ต่ออย่างนี้
ไม่ต้องรอไปเข้าคอร์สหรอกครับ เหมือนแบตเตอรี่ในรถ หลายท่านอาจจะทราบ หรือไม่ทราบว่า รถวิ่งไปก็ชาร์จไฟเข้าแบตได้ด้วย ไม่ได้รอกลับไปเข้าศูนย์ ค่อยไปชาร์จ อันนั้นสองสามวันก็หมดแล้ว
ตัวที่ชาร์จแบตในรถ เขาเรียกไดนาโม ถ้าจำไม่ผิดนะ เวลาแบตในรถเสีย มีสองอย่าง คือแบตเสื่อมเอง กับไดชาร์ตตัวนี้เสีย
เรื่องเข้าคอร์ส ลองอ่านในบล็อกชื่อ "สติ๊กเกอร์ท้ายรถ น้องชาย กับคอร์สกรรมฐาน" นะ
ฝึกรู้สึกตัวมาได้1ปี พยายามรู้สึกตัวตลอดเวลา คิดว่าเข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่พอเจอเจ้านายจู้จี้เข้าหน่อย กลับบ้าจี้ไปฟาดฟัน กับเค้าซะงั้น ตอนนี้รู้สึกขอบคุณเค้ามากมาก ที่ช่วยกระแทกกิเลสที่แอบนอนก้นให้ฟุ้งขึ้นมา จะได้รู้ว่ายังต้องฝึกฝนอีกมาก
อย่าพยายามรู้สึกตัวตลอดเวลานะครับ ^^" มันจะเครียด ให้รู้สึกตัวบ่อยๆก็พอ เผลอแล้วรู้สึก เผลอแล้วรู้สึก คำว่าเผลอ คือการที่จิตหลงไปทำงานอะไรนั่นแหละ ไม่ว่าจะ นึกคิด ปรุงแต่ง จดจำได้ หมายรู้ หรือส่งออกไปรู้สิ่งภายนอกที่มากระทบ เช่นไปสนใจจดจ้องสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส หรือสัมผัสทางกายต่างๆ เมื่อมีการรู้สิ่งต่างๆ ก็ย่อมมีกระบวนการคิดนึกให้ค่าปรุงแต่งตามมา การปรุงแต่ง เช่นโกรธ เมตตาสงสาร เสียใจ ดีใจ อยาก ไม่อยาก ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ บางครั้งจิตก็ปรุงสิ่งดีๆที่เป็นกุศล บางครั้งก็ปรุงสิ่งที่เป็นอกุศล แล้วแต่เหตุและปัจจัย นักเรียนวิปัสสนา ไม่ได้เรียนเพื่อห้าม หรือเพื่อบังคับจิตให้เป็นอย่างที่เราชอบนะครับ ไม่ได้บอกว่า ห้ามเผลอ ต้องรู้สึกตัวตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะจิตเป็นขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่มีธรรมชาติ คิด นึก ปรุงแต่ง รับรู้ หลายๆท่านถึงบอกว่า วิปัสสนาง่าย เพราะไม่ต้องทำอะไร นอกจากรู้สึกตัว ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกดข่ม ไม่ต้องฝืนธรรมชาติ แต่บางท่านก็เลยว่ามันยาก เพราะมันสวนทางกับความเข้าใจของคนอยากดี ว่าจะต้องพยายามหาทาง "ทำ" อะไรสักอย่างให้ได้สิน่า ถึงจะดี เพราะคิดว่า ถ้าบังคับ ควบคุมจิตใจจนไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่งได้ แล้วจะบรรลุธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านบอกเสมอว่า ท่านไม่ได้สอนให้ลูกศิษย์เป็นก้อนหิน หรือต้นไม้นะ ถ้าการไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีความรู้สึกอะไร ทำให้บรรลุธรรม พวกก้อนหิน ต้นไม้ หรือคนที่สมองไม่ทำงาน คงบรรลุธรรมหมดแล้ว แต่ท่านสอนให้รู้ทันการหลงเผลอ หรือการทำงาน เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตนั่นแหละ เช่นไม่ได้ห้ามโกรธ แต่โกรธแล้วรู้สึกตัว เสียใจแล้วรู้สึกตัว อยากฟาดฟันแล้วรู้สึก คนทั่วไปเวลาโกรธ จะไปสนใจสิ่งที่คนอื่นพูด คนอื่นทำ แต่นักเรียนวิปัสสนาจะย้อนมาดูตัวเอง ดูจิตที่มีความโกรธเข้ามาปกคลุม
แท้ที่จริง ความโกรธ ก็ไม่ใช่จิต แต่เป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้นมาแล้วจิตไปรับมันเข้ามา แล้วสิ่งที่จิตปรุงขึ้นมา ก็กลับมาครอบงำจิตเอง ครูบาอาจารย์ท่านอุปมาว่า จิต เหมือนแมงมุมโง่ๆพ่นใย แล้วดันไปติดแหง่กอยู่กับใยที่ตัวเองสร้างขึ้นซะเอง ใยเป็นสิ่งที่แมงมุมสร้างขึ้น แต่ใยกลับมารัดแมงมุมได้ อันนี้ แมงมุมพ่นใยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโง่ด้วยนะครับ ถึงจะเป็นแบบนี้ เพราะในความจริง แมงมุมปกติไม่เป็นแบบนี้หรอก คนเราก็เหมือนกัน เราก็ปรุงแต่งกันตลอดเวลาแหละ แต่ถ้ามีเราสติ ก็จะไม่เป็นเหยื่อของสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา ถามว่ายังปรุงแต่งไหม ปรุงอยู่ แต่เราจะค่อยๆเห็นความจริง ว่าจิตมันปรุงแต่งเอง เราไม่ได้ทำ มันจะโกรธ มันก็โกรธเอง ถ้าดูต่อไปอย่างเป็นกลาง คือไม่ห้าม ไม่ทำอะไร แค่รู้ แค่ดู ก็จะเห็นว่า ความโกรธก็หายไปได้เอง ไม่ใช่เพราะเราสั่ง เห็นว่าความรู้สึกทั้งหลาย มันเกิด และดับ ตามเหตุและปัจจัย แล้วไม่ใช่แค่ความรู้สึกนะครับ ทุกอย่างทั้งหลายทั้งปวง มันก็เป็นของมันแบบนี้ พระท่านถึงว่า มันไม่มีตัวเราตรงไหน มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุและปัจจัย ดับไปก็เพราะเหตุและปัจจัย นักเรียนวิปัสสนา ที่สอบผ่าน คือคนที่เห็นความจริงเหล่านี้ แล้วเกิดปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายเป็นของชั่วคราว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุและปัจจัยเป็นธรรมดา
มีคนถามผมบ่อยๆว่าผมยังโกรธไหม ตอบไว้ตรงนี้ว่า คุณแอสตั้นยังโกรธได้ตามเหตุและปัจจัย เหมือนคนธรรมดา บางทีเหตุและปัจจัยแรงมาก สติอ่อน ก็ยังโกรธแรงได้ด้วย ขึ้นกับว่า ช่วงไหนซ้อมมาดี หรืออ่อนซ้อม ถามว่า แล้วต่างจากก่อนปฏิบัติยังไง แบบนี้ก็เสียเปล่าสิ ตอบว่า ไม่หรอกครับ ถ้าโกรธแล้วไม่รู้สึกตัว ถึงจะเรียกว่าเสียเปล่า ถ้าไปบังคับ ห้าม หรือกดข่มไว้ไม่ให้โกรธ ถึงจะเรียกว่าเสียเปล่า สิ่งที่ต่างกันคือ ผมโกรธแล้วสติมันตามรู้ เราก็โกรธสั้นลง น้อยครั้งลง ข้อดีของการเห็นกิเลส ไม่ว่าจะโกรธ กลัว เกลียด ฯลฯ มันเป็นการเตือนตัวเองได้ว่า เรายังมีโอกาสตกนรกอยู่นะ อย่าประมาท แล้วผมยังเห็นความรักตัวเองอยู่มาก เพราะยังมีอัตตาอยู่มาก เพราะถ้าไม่มีอัตตาตัวตน แล้วเราจะรักตัวเองไปทำอะไร ถ้าไม่ได้รักในอัตตา ใครจะมาว่าอะไร เราก็ไม่มีความโกรธน่ะสิ เพราะธรรมชาติคนเราโกรธ เพราะอัตตามันโดนกระแทก เพราะเขาว่า "เรา" เขาเอาเปรียบ "เรา" เขาให้ร้าย "เรา" ฯลฯ แต่ถ้าไม่มีอัตตา ก็ไม่มี "เรา" ถูกไหมครับ ถ้าไม่มี "เรา" แล้วใครจะเดือดร้อนล่ะครับ ? ก็ไม่มี แล้วใครจะโกรธ ก็ไม่มี แล้วใครจะทุกข์ ก็ไม่มีอีก ที่ดีที่สุดคือ ถ้าไม่มี "เรา" แล้วใครจะเกิดอีก ก็ไม่มีนะครับ
แต่อยู่ๆอ่านจบแล้ว คิดเอาว่า "เออ.. นะต่อไปนี้ จะไม่มีเราละ" ทำไมได้นะครับ วิปัสสนามันไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายขนาดแค่คิดเอาได้หรอก
อยากพ้นทุกข์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ต้องเจริญสติ คอยรู้สึกตัวนี่แหละ พัฒนาจิตให้มีสติอัตโนมัติ อย่ากำหนด บังคับกดข่มจิต ให้จิตมันทำงานตามธรรมชาติ
จิตทำงานเคลื่อนไหว เรามีหน้าที่แค่คอยตามรู้ ตามดู รู้ด้วยการ "รู้สึก" กายเคลื่อนไหว ก็คอยรู้สึก
รู้เท่าที่รู้ได้ บางวันจะดีบ้าง แย่บ้าง อันนั้นเขาก็สอนธรรมะเราเหมือนกัน ว่า "มันไม่แน่หรอกนาย" จิตจะเป็นกลางไม่เป็นกลาง ก็ช่างมัน เรารู้ลูกเดียว
หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านว่า จิตปรุงแต่งไม่ใช่ปัญหา (เพราะมันมีธรรมชาติปรุงแต่ง) แต่เราอย่าไปปรุงแต่งจิตเสียเอง (ก็แล้วกัน)
แค่รู้สึกบ่อยๆ แล้ววันหนึ่งจะเห็นไตรลักษณ์เอง เกิดปัญญาเอง สะสมปัญญาได้มากพอเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น
มันง่ายจริงๆนา
Create Date : 21 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 21 กรกฎาคม 2552 9:26:39 น. |
|
16 comments
|
Counter : 6853 Pageviews. |
|
|
|
โดย: P-PRESENT วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:23:13 น. |
|
|
|
โดย: นู๋ปิ๋มมี่ วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:45:58 น. |
|
|
|
โดย: ตีตี้ IP: 203.146.78.178 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:51:46 น. |
|
|
|
โดย: Hobbit วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:35:35 น. |
|
|
|
โดย: พิม IP: 124.121.176.206 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:04:10 น. |
|
|
|
โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.34.52 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:09:33 น. |
|
|
|
โดย: hunnybakes IP: 124.120.146.224 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:19:02 น. |
|
|
|
โดย: him_aeng IP: 118.173.240.143 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:02:05 น. |
|
|
|
โดย: assawa3nx (รัตนชาติ ) วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:28:00 น. |
|
|
|
โดย: สุริยา IP: 124.122.250.32 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:21:01 น. |
|
|
|
โดย: แบ่งปัน IP: 124.120.131.193 วันที่: 22 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:49:11 น. |
|
|
|
โดย: ลูกชิต IP: 117.47.69.155 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:04:05 น. |
|
|
|
โดย: คนใกล้เขา IP: 118.173.242.222 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:23:12 น. |
|
|
|
โดย: พี่พนธ์ IP: 10.13.1.75, 122.154.18.253 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:53:07 น. |
|
|
|
| |
|
|
ตอนแรกมองปราดๆ ก็ว่าเขียนยาวแฮะ
พออ่าน
เอ๊ะ ยังไม่ทันไร หมดซะแล้ว
^^