Group Blog
 
All blogs
 
โอกาสดีของคนมีทุกข์



(ขอบคุณภาพประกอบแสนสวยจากคุณ SevenDaffodils ครับ)

ผมเพิ่งเขียนเรื่อง "งอมอย่างมีคุณค่า" ไปหมาดๆ ก็มีคำถามอีกสองสามอันมาคล้ายๆกัน

รายหนึ่งมีปัญหาเรื่องหมาข้างบ้านเห่าดัง เห่าน่ารำคาญ
แบบที่โบราณเรียกว่า "หมาเห่าใบตองแห้ง"

อีกรายมีปัญหาเรื่องสามีเคยนอกใจ แล้วอยากหย่า
แต่ผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้หย่า เลยต้องทนอยู่

ที่จริงทั้งสองปัญหาฟังดูต่างกันไกล แต่สุดท้ายแล้วคำแนะนำของผมมันก็เหมือนกัน

คือถ้ายังจำเป็นต้องอยู่กับทุกข์ ก็ให้รู้ทันทุกข์ เรียนรู้ทุกข์ แล้วจะได้ประโยชน์จากทุกข์
ทุกข์เป็นครูที่ดีมากนะครับ มันสอนอะไรเราได้ดี ได้เก่งกว่าความสุขด้วยซ้ำไป

คุณที่มีปัญหาเรื่องหมาๆ ผมอยากบอกว่ามันก็ต้องทำใจแหละครับ ไม่อย่างนั้นก็ต้องย้ายบ้านหนี
หมามันสร้างปัญหา ก็ว่าแย่แล้ว แต่ถ้าคนจะไปทะเลาะมีเรื่องกันเพราะหมา ผมก็ว่าไม่คุ้มนะ

บางบ้านยิงกันตาย ก็เพราะเรื่องหมาเห่า หมาขี้หน้าบ้าน แล้วถามว่าคุ้มไหม
ฉะนั้น ถ้าทำใจได้ ก็ทำใจ ทำใจไม่ได้ ก็ต้องย้ายบ้านครับ

สมัยผมเรียนมัธยม บ้านผมอยู่ย่านอาคารสงเคราะห์แถวทุ่งมหาเมฆ
ห้องนอนที่บ้านนั้น หน้าต่างอยู่ตรงกับคอกหมาโดเบอร์แมนของข้างบ้านพอดี

หมาตัวนั้นมันแก่มากแล้ว แล้วมันไม่ค่อยสบายครับ แล้วก็เป็นอย่างนั้นแหละ
คือเห่าทั้งวันทั้งคืน เห่าทุกสิบนาที เห่าเป็นระยะๆ ทั้งตอนเราตื่น และหลับ

ตอนแรกๆ ผมก็เซ็งครับ แต่พอตอนหลังๆ พอเริ่มยอมรับได้ว่า มันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ
ผมก็เริ่มชิน และไม่ค่อยทุกข์อีก

อยู่อย่างนั้นมาเป็นปีๆ จนมันตาย วันแรกๆที่มันตาย ผมกลับนอนไม่ค่อยหลับ เพราะไม่มีเสียงมันเห่า

ส่วนคุณ Marked Rider Kabuto ที่จริงผมตอบให้ในบล็อกคำถามนั้นแล้ว
แต่เอามาลงไว้ในนี้อีกที เผื่อท่านอื่นจะได้ประโยชน์ด้วยนะครับ

>> ผมคงแนะนำได้เฉพาะเรื่อง อยู่อย่างไรให้ทุกข์น้อย หรืออยู่ในสถานการณ์ลำบากได้โดยไม่ลำบากเกินไป

อนุมานเอาว่า คุณเคยอ่านบล็อกผม และสนใจเรื่องปฏิบัติมาบ้างแล้ว

ผมก็อยากให้คุณใช้โอกาสนี้ ในการภาวนา

คนที่ภาวนาได้ดี เห็นธรรมส่วนมาก ล้วนแต่เป็นคนมีทุกข์มากนะครับ
พวกที่ชีวิตดี สุขสบาย เขาจะชิลๆ เพลินๆ ทำไปเรื่อยๆ
น้อยคนจะเห็นไตรลักษณ์เวลามีความสุขกับโลก

แต่พวกที่ชีวิตมีโจทย์ยากๆอุปสรรคเยอะๆ แต่มีสติคอยรู้ทันจิตใจตัวเองบ่อยๆ
พวกนี้ภาวนาดีมากครับ ยืนยันได้ ก็เพราะผมก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนี้มาหลายหน

สำหรับมือใหม่ เบื้องต้นหาอะไรทำให้จิตใจสบายสักหน่อย
เช่นเดินเล่น ฟังเพลงเย็นๆ ชมนกชมไม้ ให้อาหารปลา ง่ายที่สุด ก็ไหว้พระทำบุญ

พอใจสบายขึ้น ไม่เครียด ก็เริ่มหัดฝึกรู้สึกตัว
ฝึกด้วยการคอยนึกถึง "พุทโธ" จะพร้อมลมหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ
หรือนึกถึง พุทโธ อยู่ในใจเฉยๆก็ได้ทั้งนั้นครับ

ไม่ได้สำคัญว่าบริกรรมอะไร สำคัญที่เวลาจิตมันเคลื่อนไปคิดโน่นคิดนี่ ให้คอยรู้ทัน
ถ้าเผลอไปคิดจบแล้ว จิตปรุงทุกข์ขึ้นมา ก็ไม่ต้องแก้อะไร เพียงแค่คอยรู้ทันว่ามันเป็นอย่างนั้น

ให้คอยสวดมนต์ตอนเช้า และก่อนนอน วันละห้านาที สิบนาที
สวดมนต์ไป ก็คอยดูจิตไป ดูสบายๆนะครับ อย่าเพ่งจ้องเอาเป็นเอาตาย
ชนิดหมายจะบังคับไม่ให้มันเคลื่อนไปไหนเลย ไม่ทำอย่างนั้นนะ

สวดมนต์ไปสบายๆ จิตใจสบาย ผ่อนคลาย ก็รู้ สวดแล้วมีปีติ ขนลุกซู่ขึ้นมา ก็รู้
สวดแล้วจิตมันฟุ้งซ่าน น่ารำคาญ ก็รู้ว่าทันฟุ้งซ่าน รู้ว่ารำคาญ

สวดแล้วจิตมันนึกถึงหน้าใคร ก็รู้ว่าจิตมันคิดอยู่ คิดถึงเรื่องอะไร ก็แค่รู้
แค่รู้ว่ามันคิด แต่ไม่ต้องสนใจว่าคิดเรื่องอะไร คิดถึงใครนะ

จำหลักแม่นๆว่า เราดูเพื่อให้รู้ว่า จิตมันมีธรรมชาติคิดนึกปรุงแต่งของมันอย่างนั้นเอง
ให้เห็นว่ามันทำงานได้เอง มันบังคับไม่ได้จริง เพราะมันไม่ใช่ตัวเรานะ

ไม่ได้ดูเพื่อให้มันไม่คิด ไม่รู้สึก ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ใช่นะครับ ต้องตั้งหลักดีๆ

ฉะนั้น วิปัสสนาจึงไม่ใช่การฝึกห้าม ฝึกบังคับให้กายให้ใจเป็นอะไรทั้งนั้น
แต่คือการเรียนรู้ความจริง ตามที่มันเป็น ด้วยสติ ความรู้สึกตัว

เห็นไหม วิปัสสนานี่ง่ายนะครับ ยากตอนเริ่มใหม่ๆ เพราะยังไม่คุ้นเคยเท่านั้นเอง

พอรู้สึกตัวบ่อยๆ จะเกิดความระลึกได้เองของจิตที่จำสภาวะต่างๆได้ทีละตัวสองตัว เรียกว่า สติตัวจริง
บางทีเรียกสัมมาสติ แต่ครูบาอาจารย์บอกว่า มันก็ยังไม่ใช่สัมมาแท้ๆ ที่เกิดในมรรค 8 หรอก
แค่หยวนๆ อนุโลมเรียกเอาใจ ให้พวกเรามีกำลังใจไปก่อน

เมื่อมีสติตัวจริง จิตใจจะตั้งมั่น เกิดสมาธิช่วงสั้นๆชั่วขณะ
เห็นกายเห็นใจทำงานตามความเป็นจริง เรียกว่าเห็นกาย เห็นใจ มันแสดงไตรลักษณ์ให้ดู

ว่ามันไม่เที่ยง มันมีสิ่งบีบคั้นให้มันต้องเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว เป็นระยะๆ
และมันไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเข้าใจว่าคือ "ตัวเรา" หรอกนะ เพราะเราไม่เคยสั่งมันได้เลย

วันไหนจิตคิดดีต่อสามี ก็รู้ทันว่าคิด วันไหนคิดแย่ ก็รู้ทันไปอย่างนั้น
ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ดัดแปลง แต่รู้ทันตัวเองนะครับ ย้อนมาดูตัวเองไว้เป็นหลัก

ทำไปอย่างนี้ แล้วคุณจะมีความสุขขึ้น ไม่ว่าจะมีใครอยู่ในบ้าน หรือไม่มี
ไม่ว่าสามีจะทำตัวแย่ลง หรือพัฒนาขึ้นจากเดิม

แต่เรื่องจะตัดสินใจหย่าไม่หย่า อันนั้นคุณต้องไปว่ากันเองนะ ผมขอไม่แตะในส่วนนั้น
เพราะมันเป็นเรื่องสุขทุกข์ของชีวิตคุณเอง ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย

แต่ถ้ายังจำเป็นต้องอยู่ ก็ควรอยู่ด้วยความปรารถนาดีต่อกัน มีสติ มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา
คนอยู่บ้านเดียวกัน ถึงจะไม่ใช่ในฐานะสามีภรรยา จี๋จ๋า แต่ก็เป็นกัลยาณมิตรกันได้

ผมเชื่อว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สำหรับอีกคนหนึ่ง
เราจึงต้องเรียนรู้จะเชื่อใจ ให้อภัยในเรื่องที่เป็นอดีต และอยู่กับปัจจุบัน

ถ้าคุณภาวนาไปของคุณ แล้วอยากแบ่งปันให้เขา
ลองเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟังเวลาอยู่บ้าน เขาก็จะได้อานิสงส์ ได้ฟังไปด้วย

ซีดีไปขอได้ที่ห้องสมุดบ้านอารี หรือที่สวนสันติธรรม
ดูรายละเอียดทั้งสองที่ หรือโหลดมาฟังในคอมก็ได้ ที่ //www.wimutti.net นะครับ

อย่างน้อย วันนึงต่อให้ไม่รักกันมากพอจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้ว ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของลูก เหมือนเดิม

โชคดีนะครับ



Create Date : 26 เมษายน 2552
Last Update : 26 เมษายน 2552 11:11:44 น. 20 comments
Counter : 963 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะ สำหรับเรื่องของวันนี้ ที่คุณ aston27 แนะนำ ก็ตรงกับคติที่ว่า 'ช่างมันเถอะ' พยายามอยู่ค่ะ มีอะไรวุ่นวายนัก ก็จะบอกกับตัวเองว่า ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ

ขอบคุณอีกทีค่ะ แต่ถ้าต้องย้ายบ้านเมื่อไหร่แล้วจะบอกอีกที ฮ่าๆ ๆ (แต่ก็คือความเสี่ยง เพราะย้ายไป อาจจะเจอหนักกว่าเดิม)


โดย: Mermaid AI วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:11:24:30 น.  

 
ขอถามคุณ aston27 เพิ่มเติมตรงนี้ซะเลยว่า...

เรื่องสามี ภรรยา ไม่ได้อย่างใจ เราแผ่เมตตาให้เขาบ่อยๆ และแถมสวดมนต์บทเมตตกรณียสูตร เหมือนที่หลวงพ่อจรัญสอนจะใช้ได้ผลมั๊ยคะ แต่ต้องอดทนสวดเป็นเดือนๆเลย (จากที่อ่านหนังสืออ่ะค่ะ)



โดย: Mermaid AI วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:11:45:30 น.  

 
การภาวนาช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ขอบคุณที่มีเรื่องดีๆ แบบนี้ให้อ่านค่ะ


โดย: เด็กกรุงเก่า IP: 125.24.183.12 วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:12:22:19 น.  

 
เห็นด้วยครับว่า ควรอยู่ด้วยความปรารถนาดีต่อกัน มีสติ มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา

ลองคิดว่าเราจะเป็นผู้ให้ เราก็มีความสุขแล้ว


โดย: VAAy วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:12:41:01 น.  

 
เมื่อคุณ Aston มีเน็ตให้ใช้แล้วพวกเราก็ได้อานิสงส์ ได้อ่านบล๊อกใหม่ๆ ไวจริงๆ ขอบคุณหลายๆ ค่ะ

เฮ้อออ ขอถอนหายใจสักเฮือกก่อนตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือต่อไป จะสอบอยู่รอมร่อ งานก็ต้องทำ บ่นไปยังไงก็ขอบคุณในวันที่ยังมีโอกาสให้ปากขยับ สลับกับบ่นไปเรื่อยๆ ค่ะ



โดย: daisyntulip IP: 75.43.214.79 วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:13:34:09 น.  

 
พี่เอ๊ดขึ้นบล็อกใหม่ทันใจจริงๆ ^^
ประมาณว่าต้องใช้เซ้นส์ดักจับสัญญาณว่ามีบล็อกใหม่แล้วนะ ฮี่ๆๆ

"ทุกข์เป็นครูที่ดีมากนะครับ มันสอนอะไรเราได้ดี ได้เก่งกว่าความสุขด้วยซ้ำไป"
เห็นด้วยนะคะ จุดเปลี่ยนชีวิตของตัวเองเริ่มต้นที่ทุกข์ค่ะ เพียงแต่เป็นเรื่องการสูญเสียคนที่รักในครอบครัว มุมมองต่อชีวิตพลิกไปเลย ขนาดตอนนั้นยังไม่ได้ประกาศตัวเองเป็นชาวพุทธด้วยซ้ำ


ขอให้คุณ Marked Rider Kabuto โชคดีเช่นกันนะคะ

สุขสันต์วันฝนตกหนักในฤดูร้อนค่ะ :)


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.35.41 วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:15:01:08 น.  

 
มาทำงานวันอาทิตย์ค่ะ
ลองเข้ามาดู
มีมาใหม่ด้วย

โดนเข้าอีกแล้ว---
ขอบคุณมากค่ะ
มีสติกลับมานิดนึง..(กำลังดูมันอยู่)

กำลังทุกข์..โอกาสดี--อย่างที่บอกจริงๆค่ะ
เพราะรู้สึกตัวเองนิ่งๆ เย็นๆ มาได้ 7-8 เดือน
อะไรมากระทบก้อเฉยๆ ชิวๆ
พอมีทุกข์แรงๆ เหมือนโดนทุบหัว
เลยรู้สึกตัวอีกครั้ง

จะพยายามสู้ต่อไปค่ะ
ไม่อยากเจอทุกข์อีกแล้วค่ะ




โดย: พิม IP: 124.121.176.235 วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:15:49:36 น.  

 
มาตามอ่านและจำไปใช้...เหมือนเคยค่ะ
ขอบคุณค่ะ


โดย: anchesa วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:19:47:21 น.  

 
เป็นโอกาสที่ดีมากในการภาวนาค่ะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: เป่าจิน IP: 61.47.19.72 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:9:50:47 น.  

 
วันนี้เป็นอีกวันที่เข้ามาดูบล็อกนี้ตามนิสัยเดิมๆ แต่ก่อน เข้ามาเกือบทุกวัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจจะไม่เจอกับ entries ใหม่ๆ แต่ก็ยังวนเข้าวนออกอยู่นั่นแหละ

แต่สองวันหลังนี้ เข้ามาทีก็ได้อ่าน entry ใหม่ๆ ทีหนึ่ง มีความสุข (รู้ว่ามีความสุข) ครับ


โดย: him_aeng IP: 118.173.240.199 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:10:31:14 น.  

 
อ้อ อีกตัว ตอนนี้บล็อกนี้มี RSS Feed แล้ว เย้!! คราวนี้จะได้คอยตรวจ entry ใหม่ๆ ได้ง่ายมากๆ

ขอบคุณครับ


โดย: him_aeng IP: 118.173.240.199 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:10:33:15 น.  

 
คุณ aston เมื่อไหร่จะมีหนังสือรวมเล่ม ออกมาอีกคะ เเจ้งข่าวแฟนานุแฟน ด้วยนะคะ


โดย: แฟนคลับ IP: 222.123.3.227 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:12:24:22 น.  

 
มาได้ตรงเวลา...ทุกข์จริงๆคะ

ขอบคุณนะคะ


โดย: มุทิตา IP: 58.10.192.153 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:15:01:19 น.  

 
ไม่รู้ว่าเจ้าของบล็อกจำได้รึป่าวที่ตอนนั้นจุ๋มเขียนบล็อกไว้เกี่ยวกับวันหยุดเวเคชั่นยาวจะไปทำอะไรดี

ตอนนั้นคือใจจะไปทำวิปัสสนาแน่ๆอยู่แล้ว แต่รอดูแรงเม้นท์เพื่อนบล็อกๆว่าเค้ามีความเห็นว่ายังงัย

สรุปว่าคนส่วนมากจะไม่ค่อยแนะให้ไปวิปัสสนาเท่าไหร่ มีอยู่คนสองคนที่แนะนำ หนึ่งในนั้นคือเม้นท์ของคุณaston

ตอนนี้จุ๋มกลับมาจากวิปัสสนาแล้วค่ะ ได้อะไรดีๆกลับมามากมาย และอยากเขียนถึงประสบการณ์ตรงนี้ แต่ยังไม่มีเวลา เพราะติดงานยุ่งช่วงนี้

แต่ยังงัยวันนี้แวะมาโดยบังเอิญเลยนึกขึ้นได้ ขอกล่าวขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ..


บล็อกนี้มีแต่บทความจรรโลงจิตใจทั้งนั้นเลย น่าสนใจมากค่ะ แล้วจะแวะเข้ามาเก็บตามอ่านเรื่อยๆนะคะ


โดย: MeJayya วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:20:44:09 น.  

 
ดีใจ ก็รู้ว่าดีใจค่ะ
ได้อ่าน blog ของพี่มาหลายวันติดๆกัน ดีใจมากมาย
ทุกข์เป็นครูที่ดีจริงๆค่ะ
ไม่มีเขา เราก็ไม่มีวันนี้
เป็นกำลังใจให้คุณๆที่ถามคำถามมานะคะ
เชื่อมั่นไว้อย่างหนึ่งว่า แล้วมันก็จะผ่านไป


โดย: My Life as a Doc (อย่างไรก็ดี ) วันที่: 28 เมษายน 2552 เวลา:0:46:20 น.  

 
มาcommentเพื่อให้รู้ว่ายังติดตามอยู่เสมอ


โดย: 1 IP: 202.12.118.61 วันที่: 28 เมษายน 2552 เวลา:8:37:07 น.  

 
หวัดดีค่ะคุณ aston รู้จักคุณ aston จากหนังสือธนาคารความสุขโดยคำแนะนำของเพื่อนค่ะ ช่วงนั้นมีความทุกข์มากค่ะ ก้อคงไม่พ้นเรื่องของความรัก ทุกวันนี้ก้ยังเป็นอยู่ คงเป็นเพราะเรายังมีความยึดมั่นถือมั่นค่ะ เลิกลากับแฟนไปค่ะ แต่ยังต้องเจอกัน เพราะทำงานที่เดียวกันค่ะ ทุกวันนี้ก็พยายามตามดูจิตของตัวเองอย่างที่คุณ aston เขียนไว้ใน blog แต่รู้สึกว่าสองสามวันหลังนี้ทำไม่ได้เลยค่ะ มันฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม เพราะทราบว่าแฟนเก่าเค้าจะแต่งงานสิ้นปีนี้ ครั้งแรกที่รู้สติแตกเลยค่ะ อยากลาออกมากๆๆ กลัวมากค่ะ แต่ก็ไม่กล้าตัดสินใจลาออก มานั่งคิดดูทำไมเราต้องหนี ต้องยอมรับความจริงให้ได้ พยายามให้กำลังตัวเองอย่างที่สุด ต้องทำให้ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะที่เขียน blog ดีๆๆ อย่างนี้


โดย: manus IP: 124.121.21.74 วันที่: 28 เมษายน 2552 เวลา:17:43:44 น.  

 
อาจจะไม่ถึงกับดีใจ
แต่อาจจะแค่รู้สึกอุ่นใจว่า
สามารถมองเห็นทุกข์ที่แบกมา
เพราะมันหนัก...ตอนนี้ก็เริ่มหาวิธีวางมัน
สลดใจหน่อยที่แต่ก่อนมันไม่เห็น

แต่ว่าดีใจและอุ่นใจที่ได้อ่านครับ


โดย: สุริยา IP: 124.120.146.233 วันที่: 28 เมษายน 2552 เวลา:21:14:33 น.  

 
อ่านตรงข้อความที่บอกว่า คนที่มีความสุข ชิลๆ มักมองไม่ค่อยเห็นไตรลักษณ์ รู้สึกตรงใจตัวเองค่ะ คงเพราะยังไม่เคยเจอทุกข์มากๆมังคะ ตอนนี้ เวลาเจอปัญหาเล็กๆน้อยๆ พอคิดมากๆเข้า ก็มีสติรู้ว่าเผลอคิด เลยทุกข์แค่สั้นๆค่ะ แต่ยังมองไตรลักษณ์ได้ไม่ชัด เข้าทำนองว่าเห็นไตรลักษณ์จากการคิด มากกว่ารู้ค่ะ

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ที่คอยเตือนให้มีสติทุกครั้งที่เข้ามาอ่านค่ะ เขียนต่อไปเรื่อยๆนะคะ


โดย: สายเผลอ IP: 58.8.227.142 วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:04:56 น.  

 
เรียนจบโทแล้วตกงานค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ทำงานในสิ่งที่รัก และมีความสุขกับงานมาก คิดว่าเป็นงานที่ลงตัวกับตัวเองมากที่สุดแล้ว อาจเพราะทำมานานหลายปีด้วย แต่ช่วงหลังๆ เกิดความรู้สึกเดี๋ยวดี เดี๋ยวเบื่อกับบรรยากาศในที่ทำงาน (ไม่เกี่ยวกับตัวงานนะคะ) อีกทั้งต้องรีบทำตัวจบเพราะอยู่ในเทอมสุดท้าย เลยตัดสินใจลาออกมา ตอนนี้เลยเครียดหนักกว่าตอนทำตัวจบ เพราะเรียนจบมาหลายเดือน ยังหางานไม่ได้เลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะได้งานที่ถูกใจเท่างานเดิมไหม การเริ่มต้นงานใหม่ตอนอายุขึ้นเลข 3 เป็นเรื่องยากจริงๆ นะคะ

ป.ล หวังใจว่าคุณ aston 27 จะมีคำแนะนำดีๆ เผื่อจะทำให้มีกำลังใจในการหางานต่อไป

ขอบคุณมากค่ะ


โดย: แพม IP: 118.174.70.108 วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:23:54:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.