Group Blog
 
All blogs
 

Lafcadio สิงโตอยากเป็นคน








บล็อกทีแล้ว ผมเล่าเรื่องทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ที่เรารู้จักในชื่อ Maslow's hierachy of human needs

ผมขมวดท้ายไว้ว่า Self Actualization หรือความต้องการขั้นสูงสุดที่มนุษย์จะพึงแสวงหาได้
ในความเห็นของผม ก็คือการค้นพบความจริงว่าด้วยตัวตนของมนุษย์ในทางพุทธ

ว่าจะเขียนต่อ ก็เกรงใจ เพราะมันยาวเหลือเกิน กลัวคุณจะเบื่อกันเสียก่อน
เลยยกมาพูดถึงในบล็อกใหม่

ท่านที่เป็นคนช่างสังเกต คงจะเห็นว่าลิงค์ในบล็อกผมมีไม่มากนัก
หนึ่งในจำนวนไม่กี่อันที่มี จะมีชื่อของนักเขียนท่านนึงชื่อ 'ปราย พันแสง

พี่ 'ปราย เป็นนักเขียน นักแปล ที่มีผลงานน่าสนใจมานาน
และหนึ่งในผลงานแปลที่เพิ่งออกมาไม่นานนี้ คือ Lafcadio สิงโตอยากเป็นคน
ต้นฉบับในภาษาอังกฤษเป็นฝีมือของ เชล ซิลเวอร์สไตน์ (Shel Silverstein)

แลฟคาดิโอ เป็นสิงโตที่มีลำดับขั้นความต้องการแบบเดียวกับที่มาสโลว์บอกไว้เป๊ะ
เริ่มจากการพอใจที่มีกระต่ายกิน ได้กินอิ่ม ได้นอนผึ่งพุงกลางแดดอุ่นๆ
แล้วพอมีนายพรานมาล่ามัน มันก็เริ่มแสวงหาความปลอดภัยในชีวิต

มันพยายามเรียนรู้การยิงปืนที่มันยึดได้จากนายพราน จนกลายเป็นสิงโตที่ยิงแม่นสุดๆ
จากผู้ถูกล่า กลายเป็นผู้ล่า จนนายพรานโดนแลฟคาดิโอยิงตายหมด แล้วกลายเป็นอาหารของสิงโตแทน

ต่อมา ก็มีคนจากคณะละครสัตว์มาชวนแลฟคาดิโอไปเป็นดาวเด่นของคณะ
แลฟคาดิโอก็เริ่มใช้ชีวิตแบบมนุษย์มากขึ้นๆ เขาเริ่มเรียนรู้จะตัดผม อาบน้ำอุ่น
เริ่มอยากมีเพื่อน มีคนรัก มีคนชอบ ทานอาหารแบบมนุษย์
แต่งตัวแบบมนุษย์ เดินสองเท้าแบบมนุษย์ เริ่มมีชื่อเสียง เริ่มรวย และรวยมากๆ

จนวันหนึ่งแลฟคาดิโอ ก็มีทุกอย่างที่มนุษย์ทั่วไปพึงจะอยากมีอยากได้
เทียบกับทฤษฎีมาสโลว์ เขาก็บรรลุถึงความต้องการขั้น Esteem

ปัญหาคือ เขาก็ยังไม่รู้สึกว่าอาหารหรู เสื้อผ้าแพงๆ ชื่อเสียงเงินทองบ้านหลังใหญ่ที่มีอยู่มันเพียงพอ
เขาเริ่มเบื่อ และอยากได้ความแปลกใหม่ในชีวิต อยากมีความสุขอื่นมากกว่านี้
เพราะความสุขทางโลกทางวัตถุ มันไม่เคยทำให้ใครอิ่มใจได้ถาวร

เชล ซิลเวอร์สไตน์ เป็นทั้งนักแต่งเพลง นักคิด และนักเขียนนิยายเยาวชนดีๆหลายๆเรื่อง

2 เรื่องที่เคยมีคนเอามาทำ FWD Mail คือเรื่อง The Giving Tree เรื่องของต้นแอ้ปเปิล
และเรื่อง The Missing Piece ที่พี่ 'ปราย เคยแปลในชื่อ ความรักของวงกลมกับสามเหลี่ยม

ในตอนท้ายของแลฟคาดิโอ เชล ทิ้งท้ายไว้ว่า แลฟคาดิโอเดินจากหายไป
ท่ามกลางความสับสนในใจว่า เขาควรจะเป็นคน หรือกลับไปเป็นสิงโต
เพราะเขาเบื่อความสุขแบบมนุษย์ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากกลับไปเป็นสิงโต

เชล ไม่ได้บอกว่า แลฟคาดิโอหายไปไหน และจะเลือกเป็นอะไร

แต่ผมบอกได้ว่า ไม่ว่าแลฟคาดิโอหรือพวกเราจะชอบหรือไม่
เราก็จะเวียนว่ายตายเกิด เบื่อๆอยากๆ สุขๆทุกข์ๆ เวียนกันไปอย่างนี้
จนกว่าเราจะ Self-Actualize ได้จริงๆ ว่า "ตัวตน" ของเราจริงๆ มันไม่เคยมี ไม่มีอยู่

เหมือนที่นีโอ เห็นความจริง ในเรื่อง Matrix หลังจากกินยาเม็ดเข้าไป
ว่าชีวิตที่เขาเคยคิดว่ามันเป็น "ของจริง" มาตลอดเวลา
แท้จริง มันเป็นแค่ภาพลวงตา ที่เราถูกหลอกให้เชื่อ คิดว่าใช่ ว่าเป็น

ยาเม็ดแบบที่มอร์เฟียร์ซ ยิ่นให้นีโอเลือกกิน มันมีอยู่จริง
ถึงจะไม่สำเร็จรูปขนาดบรรจุใส่เม็ดได้ แต่ก็ให้ผลอย่างเดียวกัน

มันเป็นยาที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า สติปัฏฐาน 4
การเจริญสติ ปัฏฐาน 4 เราเรียกอีกชื่อว่า วิปัสสนา นั่นแหละครับ

************************************************

คืนนี้ ผมจะไปจัดรายการชื่อ GM Style คู่กับคุณภาสกร ประมูลวงศ์ แทนคุณนันทขว้าง สิรสุนทร
ที่คลื่น 90.5 ตอน 3 ทุ่ม แค่ชั่วโมงเดียว ใครสะดวกฟัง ก็เรียนเชิญได้นะครับ

วันนี้เลือกเพลงน่ารัก เกี่ยวกับสิงโตมาให้เข้าบรรยากาศ
เพลงชื่อ The lion Sleep Tonight ของ โรเบิร์ต จอห์น
เพลงนี้เขาดัดแปลงมาจากเพลงพื้นบ้านของแอฟริกาอีกที

สุขสันต์วันเสาร์นะครับ




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 8:34:06 น.
Counter : 1239 Pageviews.  

100 ปี มาสโลว์ กับ Self Actualization แบบพุทธ









(เพลง มาย เฟเวอริธ ธิงส์ เพลงดั้งเดิมมาจากหนังเรื่อง the sound of music แต่ร้องใหม่โดย โอลิเวีย ออง ครับ)


รอบนี้ทิ้งช่วงไปหลายวัน ทั้งที่มีวันหยุดต่อเนื่อง
เพราะผมแทบจะไม่ได้หยุดเลย วันแรงงานยังต้องทำงานเลย --"

ต้องขออภัยสำหรับท่านที่รออ่านนะครับ

มองในแง่นึง ก็สะท้อนว่า อะไรๆมันก็ไม่แน่ไม่นอน
ทุกๆอย่าง มันไม่ได้เป็นไปแบบที่เราคิดเอาว่า มัน "น่าจะเป็น" หรอก

ผมไปอ่านเจอจากหนังสือพิมพ์ Biz Week มีนักเขียนท่านนึงเขียนถึงอับราฮัม มาสโลว์

บอกว่า เมื่อเดือนที่แล้วเป็นเดือนครบรอบ 100 ปี ของวันเกิดมาสโลว์ เพราะแกเกิดวันที่ 1 เมษายน 1908

ถ้ามีใครเกิดคำถามในใจว่า คุณมาสโลว์ เป็นใครอ่ะ คุณแอสตั้น
แปลว่าคุณไม่ได้เรียนการตลาด หรือรัฐศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์

เผลอๆ อีกหลายคณะ ก็ต้องมีสอนทฤษฎีว่าด้วย ลำดับขั้นของความต้องการมนุษย์
ภาษาอังกฤษเขาเรียก Hierachy of Human Needs โดยมักจะแสดงเป็นรูปปิรามิดอย่างที่แสดงอยู่ข้างบน

ทฤษฎีของมาสโลว์อันนี้ ออกเผยแพร่ในปี 1943 ใช้กันมาหลายสิบปี
และก็ยังเป็นบรรทัดฐานในการศึกษาทำความเข้าใจพฤติกรรม ความต้องการของมนุษย์ มาจนถึงปัจจุบัน

ความต้องการในลำดับขั้นพื้นๆ สามารถเข้าใจได้จากการฟังแค่ครั้งสองครั้ง
อย่างอันล่างสุด ว่าง่ายๆ คือเรื่องของปัจจัยสี่ ได้กิน ได้นอน ขับถ่ายและสืบพันธุ์

อันสูงขึ้นมา ก็ว่าด้วยความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน ของครอบครัว สุขภาพดี มีงานทำ มีเงินใช้

ตามมาด้วยความสมหวังในความรัก ทั้งจากญาติมิตร ครอบครัว และคนรัก

สูงขึ้นอีก Esteem คือการบรรลุซึ่งความสำเร็จในชีวิต ทั้งชื่อเสียง หน้าที่การงาน การยอมรับนับถือจากสังคม

แต่ว่ากันว่า ไอ้ Self Actualization นี่เข้าถึง เข้าใจยากที่สุด
และมีคนน้อยมากจะไปได้ถึงขั้นนั้น ซึ่งจริงครับ

เพราะสมัยเรียนผมก็นึกไม่ออกว่ามันจะเป็นความต้องการขั้นสูงสุดของมนุษย์ได้ไง

แต่พอได้มาเรียนวิปัสสนา ถ้าผมตีความแบบพุทธ ผมก็มั่นใจว่า
วิปัสสนานี่แหละ คือคำตอบของ Self Actualization จริงๆ

แล้วสังเกตไหม มีคนใส่ใจจะเรียนรู้จักตัวเองน้อยมาก
เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรชาวพุทธ

คำว่า Self แปลว่า ตัวตน
Myself คือตัวฉัน yourself คือตัวเธอ

Actualization มาจากคำว่า Actual อ่านว่า "แอคช่วล"
แปลว่า ที่ถูกต้อง ที่เป็นของจริง ของแท้

Actualize เป็นกิริยา แปลว่า ทำให้เห็นตามจริง ทำให้ถูกตรงกับความจริง
ส่วน Actualization ก็เป็นคำนาม ของแอคช่วลไลซ์ อีกที
ก็น่าจะแปลได้ความว่า การทำให้เห็นความจริง ถูกต้องตรงกับที่เป็น

จำได้ไหมครับ ในบล็อกก่อนๆ ผมเคยเล่าว่า วิปัสสนา คือการศึกษาความจริงว่าด้วย "ตัวเรา"

สิ่งที่มาสโลว์ค้นพบ และเราศึกษากันในระดับปริญญา จึงไม่ใช่ของใหม่
เพราะพระพุทธเจ้า ก็สอนให้ลูกศิษย์ ค้นหาความจริงเกี่ยวกับ "ตัวตน" มาสองพันกว่าปีแล้ว

ถ้าจะถามว่า ทำไมมาสโลว์ ถึงจัดลำดับของการค้นหาความจริงของ "ตัวตน" ไว้เป็นลำดับขั้นสูงสุด

อันนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าทฤษฎีนี้ มาสโลว์ ไม่ได้คิดขึ้นเอง จากความว่างเปล่า
แต่เขาศึกษาการใช้ชีวิตของบรรดาคนระดับหัวกะทิมากมายหลายคน อาทิ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่เคยพูดว่า มนุษย์เป็นแค่อนูหนึ่งในธุลีของจักรวาล
เจน แอดดัมส์ สตรีอเมริกันคนแรก ที่ได้รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ
เอลลานอร์ รูสเวลท์ อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ที่โดดเด่นที่สุดของสหรัฐ ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดเรื่องสิทธิสตรี
เฟดดริก ดักกลาส หนึ่งในผู้นำทางความคิดของคนผิวสีในอเมริกา

มาสโลว์ คงสังเกตเห็นได้ว่า การประสบความสำเร็จด้านชื่อเสียง เงินทอง
ไม่ใช่ขีดสุดที่มนุษย์ทำได้ แต่ตรงข้าม มีคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่มากนัก
ที่สามารถใช้ศักยภาพความเป็นมนุษย์ ไปได้ไกลกว่านั้น

เพียงแต่มาสโลว์ อธิบายไม่ได้ว่า มันคืออะไรจริงๆ และ Actual ของตัวตนคืออะไร
มาสโลว์บอกไว้แต่เพียงว่า มันเป็นเรื่องของความดีงาม เป็นสิ่งสร้างสรรค์
เป็นการแก้ไขปัญหา โดยปราศจากอคติ (เป็นกลาง lack of prejudice)
และยอมรับความเป็นจริง (Acceptance of facts)

ในขณะที่พระพุทธเจ้าเฉลยไว้แล้ว ว่า ปัญญาขั้นสูงสุด คือปัญญาจากวิปัสสนานั้น
จะทำให้เราพบความจริงในที่สุดว่า "ตัวเรา" ไม่ใช่ของจริง มันไม่มีหรอก
อัตตาตัวตน เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง คิดเอาเอง จากความไม่รู้ความจริง

อันนี้ท่านไม่ได้พูดให้เชื่อ แต่ท่านท้าพวก "คนฉลาด" ของทุกยุคสมัย
ให้มาลองพิสูจน์ว่าจริงเท็จประการใด ด้วยตัวเอง

วิปัสสนา เราทำด้วยการรับรู้ ความเป็นไปของกาย ใจ ด้วยความเป็นกลาง ตามที่มันเป็นจริง
พูดง่ายๆ คือต้องรู้จักตัวตนแบบ lack of prejudice และ accept the facts นะ

เห็นความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งที่มาสโลว์พูด กับพระพุทธเจ้าสอนไหมครับ
คนนึงเพิ่งจะพูดเมื่อไม่กี่สิบปีที่แล้ว อีกท่านพูดมาสองพันกว่าปี

คนไทยอยู่ใกล้พุทธศาสนาตั้งแต่เกิด จนรู้สึกว่าเป็นของเชย ของเก่า
แต่เราก็ตื่นเต้นกับทฤษฎีของฝรั่งอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่ฝรั่งก็ไม่ได้รู้อะไรใหม่เลย

สิ่งที่ต่างกันอีกอย่างคือ ความรู้ของฝรั่ง เรียนไปเพื่อให้ค้นพบตัวตนที่ดีที่สุด

แต่ของพระพุทธเจ้า ล้ำไปกว่านั้นอีกขั้น
คือเรียนไปเพื่อทำลายความเข้าใจผิดว่า มีตัวตน
เพื่อให้เห็นแจ้งว่า "ตัวตน" นั้น ไม่มี และเข้าถึงการพ้นทุกข์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

วัตถุประสงค์ต่างกัน วิธีเรียนเลยต่างกันด้วยประการฉะนี้
คือเรียนแบบฝรั่งให้คิดเอา อ่านมาก ฟังมาก คิดมาก ฉลาดมาก

แต่ของพุทธ ใช้วิธี "รู้ของจริง" รู้สภาวะจริง ธรรมชาติจริง ไม่คิด คิดไม่ได้
คิดแล้วจะปรุงแต่ง คิดแล้วมันมีอคติ คิดแล้วไม่เห็นของจริง

เรียกภาษาชาวบ้านว่า ยิ่งคิดยิ่งไม่รู้ ไม่ได้ห้ามคิดนะ ให้รู้ทันว่าหลงไปคิด แล้วจะรู้

แต่คนส่วนมากที่ผมเจอ จะเริ่ม "พยายาม" เรียนรู้จักตัวเอง ด้วยการคิด
วิธีแก้ลำ ก็คือ คิดเมื่อไหร่ ก็ให้รู้ทันว่าคิด แล้วก็ตั้งต้นจากตรงนั้น

อีกพวกคือ พอหัดรู้สึกตัว แล้วก็สงสัยว่า อันนั้นคือ "รู้" อันไหน คือ "คิด"
วิธีภาวนาสำหรับกลุ่มนี้คือ สงสัยเมื่อไหร่ ให้รู้ลงปัจจุบันไปว่า กำลังสงสัย

กำลังสงสัย ก็คือกำลังคิดนั่นเองครับ

ว่าแต่.. วันนี้ คุณ self actualization แล้วหรือยังครับ




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2551 10:02:40 น.
Counter : 6449 Pageviews.  

อันเนื่องมาจาก "ความสุข"






(เพลง no woman no cry ของ บ๊อบ มาร์เลย์)


ถ้าวันหนึ่ง มีคนเดินมาบอกคุณว่า
ที่คนเรามีทุกข์กันอยู่ทุกวันนี่ สาเหตุก็เริ่มมาจาก "ความสุข"
คุณอาจจะนึกว่าไอ้นี่ท่าจะบ้า

แต่นับวัน ผมก็เริ่มเห็นจริงแบบนั้น
ผมเห็นคนจำนวนมากตะเกียกตะกายเพื่อความสุข
แล้วก็ทุกข์อยู่ในความตะเกียกตะกายนั้น

อย่างตาแอสตั้น อยู่ดีไม่ว่าดี อยากมีบ้าน
ก็ไปเป็นหนี้ เพราะอยากมีบ้าน คิดว่ามีแล้วจะมีความสุข

นี่ยังไม่ทันโอน ยังไม่ได้อยู่เลย
ก็ต้องทุกข์เพราะกังวลเรื่องปลวกแล้ว

สมน้ำหน้าตาแอสตั้นมันนะครับ

อันนี้พูดขำๆ เพราะคนเรายังมีภาระหน้าที่ทางโลก
ก็ต้องทำไป ทำแบบพอเพียง ทำด้วยเหตุผลอันสมควร

อย่างเวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดเรื่อง กายเป็นของสกปรกเน่าเหม็น
กายเป็นภาระ ที่เราต้องคอยดูแล

ท่านไม่ได้บอกว่า ให้เลิกอาบน้ำหวีผมแปรงฟันนะ
แต่ท่านให้คอยสังเกต ว่ามันเป็นของดี หรือของเน่า
เป็นของคงทน หรือของเสื่อม เป็นของบังคับได้ หรือไม่ได้

เรียกว่า มีสติ มีปัญญา เห็นความจริงจะได้คลายกำหนัด
กำหนัด คือความพอใจยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส

แล้วก็อีกนั่นแหละ คลาย ไม่ได้แปลว่าห้ามไม่ให้มี
แปลว่า มีก็ให้รู้ทัน มันจะได้ไม่มาร้อยรัดมามัดเรา

แล้วถ้าสมควรจะต้องทำอะไร ก็ทำไปตามเหตุตามสมควร
เช่นมีหน้าที่การงานจะต้องดูแลเสื้อผ้าหน้าผม ก็ทำไป
ไม่ได้ทำเพราะอยากทำ อยากสวย
แต่ก็ไม่ควรทำให้ชาวบ้านนึกว่าผีตองเหลืองอาละวาด

----------------------------------------------------------------
คนส่วนมาก เวลามีปัญหาชีวิต มักจะหาทางแก้ทุกข์ด้วยวิธีต่างๆ
ก็เพราะเหตุผลเดียว คือชอบความสุข เกลียดความทุกข์

แล้วก็มักจะพบว่า ทุกข์ ไม่อาจแก้ได้ด้วยความเกลียด
ทุกข์ บรรเทาได้ด้วยสติ ปัญญา ความเข้าใจทุกข์

เราจะเข้าใจทุกข์ได้ ด้วยการหัดรู้ทุกข์
รู้ทุกข์ คือการยอมรับความจริง ไม่ใช่ดิ้นรนหนี

คนที่เคยมีทุกข์มหึมาแล้วหาทางแก้ไม่เจอ เอ๋อไปสามวัน
จะพบว่ายิ่งดิ้น ทุกข์ก็เหมือนยิ่งพันตัว ยิ่งมั่วหนักกว่าเก่า

แต่ถ้าเพียงแต่ยอมรับว่า เออวะ.. ช่างมัน
ทุกข์จะหายไปแล้วเกินครึ่งค่อนของปริมาณ

อันนี้ท้าทายไว้ สำหรับคนใจถึงมากถึงปานกลาง
ลองดูนะครับ

--------------------------------------------------------------------
เคยมีหนังสือ ที่เขาเขียนเรื่องหลุมพรางของความสำเร็จ
ผมไม่ได้อ่านหรอก แต่ตอนเดินผ่านไปเห็นชื่อหนังสือ ก็แว้บขึ้นมาว่า
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของความสำเร็จ ก็คือความสำเร็จนั่นแหละ

เพราะยิ่งสำเร็จมาก ก็ยิ่งเชื่อมั่น ยิ่งมีอัตตา ว่าความสำเร็จเป็นของตาย
แล้ววันไหนที่ความสำเร็จแสดงอนิจจังให้ดู ว่ามันเป็นของไม่เที่ยงนะ
เราก็ตายเพราะความสำเร็จนั่นแหละ

เหมือนกับหลุมพรางของความสุข ยังไงยังงั้น
ความน่ากลัวที่สุดของความสุข ก็คือตัวความสุขเอง

ยิ่งคนที่เกิดมา ไม่มีภูมิต้านทานความทุกข์เลย พวกนี้อันตราย
ยิ่งมีสุขมาก ก็ยิ่งเชื่อมั่น ยิ่งมีอัตตา ว่าความสุขเป็นของตาย

แล้ววันไหนที่ความสุขแสดงอนิจจังให้ดู ว่ามันเป็นของไม่เที่ยงนะ
พวกนี้ก็ตายเพราะความสุข เพราะรับไม่ได้ที่มันกลายสภาพไปเป็นทุกข์

ไม่ได้พูดให้เกลียดความสุขนะ
เกลียดสุขก็ไม่ฉลาด เกลียดทุกข์ก็ไม่ฉลาด ยึดมั่นในความเฉยๆ ก็ไม่ฉลาด

แต่อยากให้คุณรู้เท่าทัน ทั้งสุข และทุกข์ กระทั่งความไม่สุข ไม่ทุกข์
ว่าทุกอย่างมันเป็นแค่ของชั่วคราวนะ

รู้อย่างเป็นกลางกับมัน ไม่ต้องดัดแปลงเสริมแต่ง
แล้วคุณจะค่อยๆ พบกับความสุขอีกชนิด ที่ไม่ได้เป็นของคู่กับทุกข์

เป็นสุขที่ไม่ได้มาเพราะความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น
เป็นสุขที่เกิดขึ้นเอง เพราะความเป็นกลางต่อสุขกับทุกข์

เราไม่ได้ปฏิเสธความสุข และไม่ได้กลัวทุกข์
เหมือนคนที่เข้าใจว่า หนามแหลมของกุหลาบ
จะมีอันตราย ก็ต่อเมื่อเราไปหยิบมันขึ้นมาแล้วไม่ระวัง

ถ้าดูเฉยๆ ดมเฉยๆ หนามก็ไม่อาจทิ่มตำเราได้

การมีหนาม จึงเป็นเรื่องธรรมชาติ
การเข้าใจธรรมชาติของหนาม หรือทุกข์ ก็คล้ายๆกันนะครับ

ไปแล้วครับ ..จะไปห้องสมุดบ้านอารีย์
เสาร์ไหนว่าง ผมจะไปสนทนาเรื่องการรู้กาย รู้ใจที่นั่นตอนบ่ายๆ
ท่านใดว่าง ก็ไปได้ครับ คุณต้นอ้อ ก็เคยไปมาแล้ว

สุขสันต์วันเสาร์นะครับ




 

Create Date : 26 เมษายน 2551    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2551 14:21:01 น.
Counter : 1496 Pageviews.  

รักแบบไหนให้คุณ



ภาพประกอบจากบล็อกของคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ



(ขอใช้เพลงเดิมอีกรอบ เพราะชอบเป็นส่วนตัว อิอิ)

ผมไปตอบกระทู้นึงในเว็บ star4life มา แล้วเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์
เลยเอามาฝากครับ

เขาถามว่าว่า

ตอนนี้รู้สึกแย่มากๆ ครับ ก่อนหน้านี้เลิกกับแฟนได้ 4 เดือน (คบกันมาได้ 5ปี) แล้วในช่วงนั้นเค้าไปมีอะไรกับคนอื่น แต่ตอนนี้เค้ากับโทรมาหาเรา เราก็แอบดีใจ และเล่าความจริงให้ฟังทุกอย่าง ผมก็บอกไปว่ากลับมาคบกันอีกมั๊ย แต่เค้าบอกว่าเค้ารู้สึกผิด และเป็นคนไม่ดีไปแล้ว เค้าไม่อยากให้ผมรอ แต่เค้าก็บอกว่ายังรักผมอยู่ แต่ก็ยังตัดใจจากคนนั้นไม่ได้ ผมควรทำอย่างไรดีครับ ถ้าเค้าโทรมาหา หรือผมควรโทรไปหาเค้าไหมครับ หรือควรยังติดต่อเค้าอยู่ไหมครับ


แบบสั้นๆ

ถามว่า ควรทำอย่างไรดี
ตอบว่า ทำในสิ่งที่ควร อย่าทำในสิ่งที่ไม่ควร

กระทู้นี้ของคุณ ทำให้ผมนึกถึงชื่อหนังที่อื้อฉาวเรื่องนึง
"กลกามแห่งความรัก"

แต่ความรักของคนทั่วไป มันมีสองแบบใหญ่ๆ
รักเพื่อความเมตตา กรุณา มุฑิตา กับรักเพื่อความใคร่

อันแรกเป็นไปเพื่อให้ อันหลังเป็นไปเพื่อจะเอา

ถ้ารักแบบอันแรก เวลาเขาไปมีคนอื่น เราก็จะเข้าใจ
และอวยชัยให้พร ให้เขามีความสุข

รักแบบอันแรก จะสมบูรณ์ด้วย อุเบกขา นะครับ
ไม่มีตัวนี้ ทำไม่ได้หรอก

รักแบบที่สอง คือรักแบบที่แฟนคนปัจจุบัน ของแฟนเก่าคุณทำ
คือใครจะเป็นแฟนใคร กูไม่สน กูพอใจก็จะเอา

คนพวกนี้ จะมีเหตุผลและข้ออ้างสารพัด
เช่น ผู้หญิงคนนี้ ไม่เหมาะกับผู้ชายคนนั้นหรอก
หรือ ผมให้ความสุขคุณได้มากกว่า ผมดีกว่าไอ้หมอนั่น

ทั้งที่ ถ้ามันดีจริง มันไม่คิดผิดศีลข้อสาม ตั้งแต่แรกแล้ว

แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับกัน
คุณกำลังก้าวขาข้างหนึ่ง ไปเป็นผู้ชายแบบหลัง
เพราะข้ออ้างว่า เพราะผู้ชายคนนั้นมันไม่ดี ฉันสิดีกว่า

แล้วคุณจะดีกว่าเขาตรงไหน ถามตัวเองดูดีๆนะ
เวลาคิดอะไรเข้าข้างตัวเอง มีสติไว้ครับ

ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะวางใจ วางตัวไว้เป็นเพื่อน
ไม่ยุ่ง ไม่ยุแยง ไม่แทงข้างหลัง ไม่โทรไปหา

แต่ก็จะยินดีให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ เวลาที่เขาโทรมา

ให้ทุกอย่าง มันเป็นไปอย่างที่ควรเป็น สำหรับเขาสองคน
อย่าไปทำตัวเป็นมือที่สาม ม้ามที่สี่ เซี่ยงจี๊ที่ห้า

เวรกรรม มันจะไม่จบไม่สิ้น
มันจะหมุนเวียนไปมา เหมือนวงจรอุบาทว์

เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ เรื่องกรรมเวรไหมล่ะครับ
ถ้าเชื่อ.. ก็เชื่อผมนะ

ถ้าไม่เชื่อ.. ก็กรรมของคุณแล้วล่ะ

^
^
ข้างบนนั่นคือคำตอบของผมครับ

ผมว่าคนส่วนมากรู้ว่า อะไรควรไม่ควร
แต่ถึงเวลาจริงๆ จะตัดใจทำในสิ่งที่ควรได้แค่ไหน

ถึงมีคำพูดว่า ไอ้ที่ถูกต้องมักจะไม่ถูกใจ
ไอ้ที่ถูกใจ ก็มักจะไม่ถูกต้อง

ส่วนมากที่บ่นกันว่า พูดง่ายแต่ทำจริงมันยาก
เพราะคุ้นเคยแต่การแสวงหาไขว่คว้า มาเป็นเจ้าของ
ไม่คุ้นเคยการสละสิ่งซึ่งเรายึดมั่นว่าคือของๆเรา

เขาถึงว่า จาคะ หรือทาน
เป็นเครื่องช่วยขัดเกลาจิตให้เบาจากความยึดมั่น

ครูบาอาจาร์ยผมท่านเคยเล่าว่า พระพุทธเจ้าท่านแจกแจงไว้ว่า
ความดี คนดีทำง่าย คนชั่วทำยาก
ความชั่ว คนชั่วทำง่าย คนดีทำยาก

ขณะที่เรามักจะเหมากันว่า ความดีทำยาก ความชั่วทำง่าย
ทั้งๆที่ มันเป็นเรื่องของความเคยชิน ของแต่ละคน

ไปถามนักจักรยานผาดโผน เขาก็ว่าจักรยานขี่ง่าย
ถามคนไม่เคยขี่ เขาก็ว่ายาก

ไปถามมือปืน เขาก็ว่ายิงคนตายเป็นเรื่องง่าย
ถามคนไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย
จะฆ่ายุงตัวนึง ยังยากเลย

ฉะนั้น.. ถ้าอยากรักให้เป็น รักแบบเมตตา กรุณา
ก็ต้องฝึกมีมุฑิตา อุเบกขา ตั้งแต่วันนี้

เห็นใครได้ดี มีสุข ก็ยินดีกับเขา
ประเภทเห็นคนสวยกว่าแล้วอิจฉา รถใหญ่กว่าแล้วอิจฉา
แฟนหล่อกว่า รวยกว่า ดีกว่า แล้วอิจฉา
อันนั้น ถือว่าสอบตกซ้ำซาก

บางคนอาจจะนึกสงสัยว่า คุณแอสตั้นแนะนำคนอื่น แล้วตัวเองทำได้ป่าว
ตอบว่า.. เรื่องนี้รับรองว่าทำได้จริง ทำแล้ว

ตอนแฟนเก่าผม มีแฟนใหม่ ผมก็ยินดีด้วย
ไม่ได้โกรธ ไม่ได้แค้นอะไร คิดแต่ว่า ถ้าคนใหม่ดีกับเขา ดูแลเขาดีก็ดีแล้ว

นี่หลังสุดก็มาบ่นว่าแฟนมีโครงการจะไปเรียนต่ออเมริกา
กลัวว่าจะต้องเลิกกัน

ผมก็ยังเตือนว่าให้อยู่กับปัจจุบัน
การคิดกังวลเรื่องอนาคต มันคิดดีก็ได้ คิดร้ายก็ได้

คนเราถ้ามันจะต้องแยกจากกัน ก็เพราะมีเหตุ
เรื่องทุกเรื่องในโลกนี้ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุของมันทั้งนั้น
ไม่ใช่เพราะเราอยากหรือไม่อยาก ชอบหรือไม่ชอบ

ที่แน่ๆ ถึงไม่ไปเมืองนอก ถึงไม่นอกใจ
ยังไงๆ ก็ต้องแยกจากกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
จะอีกสี่ห้าสิบปี หรือร้อยปีก็ตามแต่

ย้อนกลับไปนึกถึงตอนเลิกกับแฟนเก่ามา
ก็เพราะมุฑิตา อุเบกขานี่แหละ
ที่ทำให้ผมไม่ทุกข์มาก

พระท่านว่า สุข ทุกข์ ก็เกิดที่ใจ ดับที่ใจ
ไม่ใช่เกิดที่ใครที่ไหน

จริงของท่านนะครับ




 

Create Date : 17 เมษายน 2551    
Last Update : 26 เมษายน 2551 12:19:10 น.
Counter : 992 Pageviews.  

นิทานวันสงกรานต์



ภาพจาก FWD Mail ไม่ทราบชื่อผู้ถ่าย




(เพลง now and forever ฉบับแสดงสด โดย แคโรล คิง ครับ)

บ้านผมอยู่ใกล้ๆถนนสีลม แหล่งเล่นน้ำสงกรานต์ใหญ่ที่สุด อีกแหล่งของกรุงเทพ
แต่ผมไม่เคยออกไปเล่นสงกรานต์ในกรุงเทพมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะที่ไหน

ส่วนหนึ่งผมว่าคนสมัยนี้เล่นสงกรานต์ไม่น่ารัก
อย่างพวกเล่นแป้ง สมัยผมเด็กๆ เขาผสมน้ำอบนะ แล้วจะแตะๆที่แก้ม
แต่สมัยนี้ พี่แกลูบกันทั้งหน้าทั้งตา ถ้าเป็นสาวๆ ก็โดนจับมาถึงอกถึงเอว

อีกพวกที่ไม่น่ารัก คือพวกชอบฉีดน้ำ สาดน้ำเข้าหน้าเข้าตา
ไม่รู้จะซาดิสต์อะไรกันนักหนา

อีกเหตุคือผมเล่นสงกรานต์เชียงใหม่มาตั้งแต่จำความได้
เล่นมาสิบกว่าปี เล่นปีละหลายๆวัน เช้าจรดเย็น เล่นจนเฉยๆไปแล้ว

เห็นในทีวีเขาออกข่าวเรื่องจำนวนคนตาย คนบาดเจ็บเยอะขึ้นทุกปี
เพราะดื่มสุราแล้วขับรถ จนเกิดอุบัติเหตุ

จะว่าไปก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย คุณว่าไหม
ที่คนเราเอาชีวิตทั้งชีวิตไปโยนทิ้ง
เพราะความเพลินๆเมาๆ จากเหล้าขวดเดียว

เมื่อก่อนเคยรู้สึกแปลกใจ ที่ยิ่งรณรงค์เยอะ คนก็ยังเมายังขับและตายมากขึ้นทุกปี
แต่หลังจากมีคติเตือนใจว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ผมก็เข้าใจและไม่คิดมากอีก

อันนี้ไม่ได้ว่าอะไรคนที่ยังไปเล่นอยู่นะครับ
ยังอยากเล่นอยู่ก็มีสติไว้ก็แล้วกัน
อยากสาดน้ำ ก็รู้ว่าอยาก สาดไปแล้วไม่โดน เสียดายรู้ว่าเสียดาย
โดนเขาสาดกลับมา ขำก็รู้ว่าขำ โมโหรู้ว่าโมโห

วันก่อนฟังซีดีที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเทศน์ ท่านเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง
จำได้ว่าเคยได้ FWD mail เรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่อ่านแล้วก็ผ่านๆไป

เป็นเรื่องของเศรษฐีคนหนึ่งไปพักผ่อนตกปลา เจอกับชาวประมงคนหนึ่ง
นั่งตกปลาอยู่บนโขดหินริมทะเล เลยไปนั่งตกข้างๆแล้วชวนคุย

เศรษฐีเกิดถูกคอ เลยอยากช่วย ด้วยการสอนชาวประมง
ให้รู้จักเทคนิคการตกปลาคราวละหลายคันเบ็ด เพื่อจะได้ปลาวันละมากขึ้น
เมื่อได้ปลามากขึ้น ก็แบ่งปลาไปขายได้เงินมากขึ้น

เมื่อได้เงินมากขึ้น ก็ให้จ้างคนมาช่วยตกปลาจะได้เพิ่มเบ็ด
เพิ่มคน เพิ่มเบ็ดได้ปลามากขึ้น ก็จะได้เงินมากขึ้น
เก็บเงินมากขึ้นก็ไปซื้อเรือ มีเรือหนึ่งลำ แล้วกู้เงินมาตั้งบริษัท
จะได้เพิ่มเรือเป็นสอง สาม สี่ ห้า ไปเรื่อยๆ

มีเรือมากๆแล้วก็ทำห้องเย็นของตัวเอง ทำโรงงานแปรรูป
เป็นลำดับไปเรื่อยๆ จนมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์

ชาวประมงนั่งฟังด้วยความสนใจ คิดตาม แล้วขมวดคิ้วถามว่า
"แล้ววันนึง ถ้าผมมีบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วมันดียังไง"

เศรษฐียิ้มอย่างภูมิใจแล้วบอกว่า
"ก็จะได้เลิกทำงานแล้วมาพักผ่อนตกปลาแบบผมนี่ไง"

ชาวประมงทำท่างงๆ แล้วตอบว่า
"อ้าว.. แล้วผมจะลำบากไปทำไมล่ะ ผมก็มีความสุขแบบนั้นอยู่แล้วไง"

คนเราออกไปเล่นสงกรานต์ เพราะอยากสนุก อยากมีความสุข
เหมือนคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน ไปดื่มเหล้าเมายา ก็เพราะอยากมีความสุข

เมื่อก่อน มักมีคนถามผมว่ามีชีวิตได้ไง ทำไมไม่เที่ยว ทำไมไม่กินเหล้า
ผมมักจะตอบกลางๆว่า.. อ๋อ.. ผมชอบอยู่บ้านน่ะ :)

แต่ฟังนิทานเรื่องนี้ เลยนึกขึ้นได้ว่า คำตอบจริงๆของผมคือ
"อ้าว.. แล้วผมจะลำบากไปทำไมล่ะ ผมก็มีความสุขแบบนั้นอยู่แล้วไง"

อ่านถึงตรงนี้ ไม่ทราบจะมีใครย้อนผมไหม.. ว่า..
แล้วคุณแอสตั้น เที่ยวมาแนะนำให้คนศึกษาธรรมะหัดดูกายดูใจ
จะได้มีชีวิตที่ทุกข์น้อยลงๆ และพ้นทุกข์ในที่สุดทำไมล่ะ
ในเมื่อ "ผมก็มีความสุขแบบของผมอยู่แล้วไง"

ถ้ามีแบบนั้นจริงๆ ก็ตามสบายนะครับ
ผมบอกแล้ว ว่าผมมีคติว่า...

"สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม"

สวัสดีปีใหม่ไทยนะครับ ทุกท่าน




 

Create Date : 15 เมษายน 2551    
Last Update : 17 เมษายน 2551 16:47:26 น.
Counter : 3720 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.