Group Blog
 
All blogs
 

ตอบปัญหา: หมอเครียด


(ภาพจากบล็อกคุณแป๋ว sevendaffodils ครับ ขอบคุณค้าบ)




ในเว็บแสงดาวฯ ที่ผมไปช่วยทีมงานเขาตอบปัญหา มีกระทู้นึงน่าสนใจ
ผมไปตอบไว้และเอามาฝากเผื่อว่าจะมีประโยชน์ เพราะเห็นคนสมัยนี้เครียดกันมาก

คนถามเป็นหมอฟัน ที่ไปเรียนต่อเฉพาะทาง แต่เจอปัญหาความเครียดรุมเร้า

คำถามโดยละเอียดมีดังนี้ ยาวหน่อยนะครับ

ตอนนี้กำลังมาเรียนต่อเฉพาะทางด้านmaxillofacial surgery ด้วยความที่ตัวเองเรียนจบทันตแพทย์มา 4 ปีแล้วรึเปล่าไม่รู้ พอกลับมาเรียนอีกเลยปรับตัวกับการเรียนหนักไม่ได้ แต่ก่อนมาก็ตั้งใจมา คือ อยากรักษาคนไข้ให้ได้มากกว่านี้

ก่อนมาเรียนมีเพื่อนเคยเตือนว่ามันหนักมากนะ เลยไม่ค่อยมีคนเรียนต่อสาขานี้กัน เพราะเรียนหนัก เงินน้อย แต่เรามีอยากรักษาคนไข้ที่มากกว่าในช่องปาก แต่อาจเป็นเพราะพื้นฐานทางการแพทย์ไม่ดี (ตอนเรียนทันตะ ก็ไม่ใช่คนเรียนเก่ง) พอมาเรียนเลยไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือก็อ่านไม่เข้าใจ จำไม่ได้ อ่านได้ช้า วกไปวนมา จับจุดไม่ถูก

และแต่ละวันต้องมา round ward ประมาณ 6.30 กว่าจะเรียนจนเย็น ก็ round ต่ออีก บางทีดึกถึง 3 ทุ่ม กลับถึงห้องพักก็ไม่มีแรงอ่านแล้ว และบางทีมีต้องทำงานในห้อง lab อีก เคยทำอยู่ถึงตีสอง ร่างกายเริ่มแย่ ไม่รู้จะปรับตัวยังไง

ความเครียดของตัวเองจริงๆก็น่ามาจากการเรียนไม่เข้าใจ หรือการอ่านหนังสือไม่ได้ กังวล กลัวมากๆว่าอาจารย์จะว่า มีงาน present เรื่อยๆ กลัวว่าทำได้ไม่ดี กลัวมากๆ เพราะอาจารย์จะว่าในห้อง present เลย

ตอนนี้เครียดจนไม่สบาย ปวดหัวและไข้ขึ้น พยายามหาทางกำจัดความเครียดออกไป แต่ไม่รู้ทำไง เพราะเหมือนเสียเวลากับการอ่านหนังสือ กลับบ้านบ้างเสาร์อาทิตย์ แต่อยู่บ้านก็ไม่มีสมาธิจะอ่าน(แต่สบายใจกว่าอยู่หอพักของโรงพยาบาล) อาจเขียนไม่รู้เรื่องนะคะ เพราะกำลังเครียดจริงๆ


ส่วนคำตอบ ก็ยาวอีกตามระเบียบ ทนอ่านหน่อยนะครับ

"เคยได้ยินสำนวนที่บอกว่า Do the best and take all the rest ไหมครับ

คือทำให้สุดความสามารถของเรา ได้แค่ไหน เอาแค่นั้น
ศาสนาพุทธเรา สอนให้คนขยันและพากเพียร แต่ต้องมีสติด้วย

มีสติ แปลว่า ให้คอยรู้ทันส่วนเกินของความคิด
คือเวลาอ่านหนังสือมันต้องอ่านไปคิดไป อันนั้นไม่เป็นไร

แต่ถ้าอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ แล้วเก็บมาคิดฟุ้งซ่าน
กังวลเรื่องอนาคต คิดลบกับตัวเอง อันนั้นไม่มีประโยชน์

ถ้าบางอย่างมันเกินความสามารถ มันไม่ใช่ความถนัดของเรา
มันเกินวิสัยที่บากบั่นพากเพียรไปได้ ได้ผลออกมาอย่างไร ก็อย่าคิดมาก

ถือเสียว่า เป็นการเรียนรู้ชีวิตอย่างหนึ่ง
คนเราไม่ได้ฉลาดไปทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ได้โง่ไปทุกเรื่อง

ถ้าจะโง่บางเรื่อง แต่ฉลาดในการมีสติรักษาจิตจะเป็นไรไป

ปริญญาเป็นใบเบิกทางไปสู่ความสำเร็จทางโลก
แต่สติ และสมถะ กับวิปัสสนา เป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จทางธรรม

อีกอย่าง การมีความสุขในชีวิต ไม่ได้ขึ้นกับปริญญานะครับ
คนไม่จบปอสี่ ก็มีความสุขได้ ถ้ายอมรับเงื่อนไขในชีวิตได้

ผมไม่ได้บอกว่า ให้เลิกเรียนนะ อันนั้นแล้วแต่หมอ
ผมเพียงแต่บอกหมอว่า ไม่ต้องเครียด หมอทำใจให้สบาย

บอกตัวเองว่า ฉันจะเรียนให้มีความสุข
ฉันจะตั้งใจเรียน พากเพียรกับมัน เพราะฉันอยากรู้ ฉันอยากช่วยคน

ไม่ใช่ "ต้อง" ผ่าน เพราะถ้าไม่ผ่านชีวิตฉันจะล้มเหลว
อย่าบังคับ ขู่เข็ญจิตใจตัวเองขนาดนั้น

ในหลักที่ว่าด้วยการทำการงานให้สำเร็จ คืออิทธิบาท สี่ คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
มันเริ่มด้วย ฉันทะ ความยินดีในการจะทำก่อน

ถ้าหมอเริ่มด้วยการกดดันตัวเอง มันก็เครียดฟรีเปล่าๆเท่านั้น
จิตที่เครียด กดดัน มันไม่มีฉันทะหรอกหมอ

เมื่อไม่มีฉันทะ แรงจูงใจจะพากเพียรก็น้อย
จิตตะ คือจิตที่จดจ่ออยู่กับงานที่ทำ คือมีสมาธิกับงาน

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเคยบอกว่า สมถะ เริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ
วิปัสสนา เริ่มเมื่อหมดความคิด

สมถะ หมายถึงการมีสมาธินั่นแหละ

หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเคยแนะว่า ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ
แปลไทยเป็นไทยว่า คนเราจะมีสมาธิกับอะไร ก็ต่อเมื่อทำสิ่งนั้นแล้วมีความสุข

ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าไอ้แม็กๆเชียลๆ ของหมอนี่
หมอจะมีความสุขกะมันได้ยังไง

หมอเคยดูหนังเกี่ยวกับนักกีฬามั้ย
หลายๆเรื่อง ชอบพูดเรื่องความกดดันของนักกีฬา ว่าแพ้ไม่ได้
ยิ่งกดดัน ก็ยิ่งเครียด ยิ่งเครียด ก็ยิ่งเล่นพลาด ยิ่งพลาด ก็เครียดยิ่งกว่าเดิม

แล้วก็มีโค้ชคนนึง เขาสอนลูกทีมฟุตบอลว่า
ให้ลืมเรื่องถ้วยแชมป์ เรื่องตำแหน่ง เรื่องชื่อเสียง เรื่องรางวัลไปซะ

ให้ทำใจย้อนไปนึกถึง วันที่เราหัดเล่นฟุตบอลใหม่ๆ
ว่าเราเล่นเพื่ออะไร เล่นเพราะอยากสนุกกับมันใช่มั้ย

เล่นเพราะเราชอบเตะฟุตบอล เราชอบบรรยากาศของมัน
เราแค่รู้สึกว่าได้เตะบอลแล้วมันสนุกว่ะ

ก็ให้กลับไปทำใจเป็นแบบตอนเด็กๆตอนนั้นแหละ แล้วลงไปเล่น

แพ้ก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะเราก็ได้สนุกกับมัน
ชีวิตสั้นจะตายนะหมอ อย่าหายใจทิ้งๆ ขว้างๆ ไปกับความทุกข์เลย

แล้วหาเวลานั่งสมาธิบ้าง วันละสิบนาที ก็ยังดี ช่วยได้นะ
แล้วระหว่างวัน คอยสังเกตจิตใจตัวเองไว้ ว่ามันว่อกแว่ก ก็รู้ทัน
มันปรุงความเครียด ก็รู้ทัน มันปรุงสุข ปรุงทุกข์ก็รู้ทัน

ถ้าเรียนจบ ถือว่าเป็นกำไร
เรียนไม่ไหว ก็ถือว่าทดลองลงทุนแล้วขาดทุน แต่ได้ประสบการณ์

ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอกหมอ
พวกคนที่ประสบความสำเร็จระดับยิ่งใหญ่ของโลก เขาล้มเหลวกันมากมายกว่าจะสำเร็จ

หมอว่า เอดิสัน ทดลองทำหลอดไฟล้มเหลวกี่หลอด กว่าจะสำเร็จ?
หมอว่า พี่น้องตระกูลไรท์ กว่าจะบินได้ เขาตกมาแล้วกี่หน?
หมอรู้ไหม ว่าไอน์สไตน์ ตอนเรียนหนังสือ เขาเรียนไม่รู้เรื่องเลยนะ
ครูยังบอกว่า สงสัยหมอนี่จะปัญญาทึบ

แล้วถ้าหมอจะเรียนไอ้ แมกซิลโลเฟเชียล เซอเจอรี ไม่สำเร็จสักอัน จะเป็นไรไป

อย่าลืมที่ผมแนะนำเรื่องวิปัสสนา นะหมอ"

หวังว่าคืนนี้จะนอนหลับสบายกันทุกคนนะครับ




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2551 17:37:35 น.
Counter : 2750 Pageviews.  

อันเนื่องมาจากปุ่ม "ESC"


(ภาพจากบล็อกคุณแป๋ว seven daffodils เจ้าเก่าเจ้าเดิม.. ขอบคุณครับ ^^ )




อันสืบเนื่องจากคำทักทายของเพื่อนแปลกหน้าเพราะไม่เคยเห็น
แต่คุ้นเคยในบล็อกกันดี ในฐานะผู้ประสงค์จะออกนามว่า "Q Nuh"
แต่ผมประสงค์จะเรียกเธอว่า "คุณ Q"

เธอเขียนไว้ว่า...

""Esc" ปุ่มบน ซ้ายสุด กดโดนเป็นหายเรียบ แต่หลายคนคงอยากให้ชีวิตเรามีปุ่มนี้บ้างเนอะ กดปุ๊บหาย... กดปุ๊บหาย..."

เกริ่นนิดนึงว่า คุณ Q นี่เป็นเพื่อนคนนึงในโลกบล็อกแกงค์ ที่ผมชอบบล็อกของเธอมาก
ผมอ่านบล็อกหรือคุย MSN กะคุณคนนี้ทีไร เป็นได้มี "เรื่อง" สะกิด สะเก็ด ออกมาน่าเขียนบ่อยๆ

แต่ผมเป็นคนขี้ลืม บางทีตั้งใจว่า เอออออ.. เรื่องนี้น่าเขียนแฮะ
พอกลับถึงบ้าน...เปิดคอม... ลืม..

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ในบางมุมความขี้ลืมมีประโยชน์มากนะครับ
ผมจัดมันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างหนึ่ง คล้ายๆกับปุ่ม Esc นี่แหละ

ทีแรกผมนึกถึงหนังเรื่อง an eternal sunshine of the spotless mind ที่ จิม แครีย์แสดง
พูดชื่อนี้ไปหลายท่านร้องอ๋ออออ เพราะเป็นหนังในดวงใจใครหลายคน

หนังพูดถึงเหตุการณ์สมมติในอนาคต
ซึ่งมีเทคโนโลยีที่สามารถลบความทรงจำของคนแบบจำเพาะเจาะจงได้

จิม แครีย์ รับบทเป็นผู้ชายที่อกหักรักคุด แล้วพยายามจะลบความทรงจำ
เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับคนรักของเขา เพราะเชื่อว่า ทำแล้วจะได้หมดทุกข์หมดโศก

กลับมาอ่านคอมเมนท์คุณ Q อีกที ผมก็นึกถึงมุมใหม่ได้อีก
ผมนึกไปถึง ภาวะบางอย่างที่เราเจออยู่เฉพาะหน้า แต่อยากหายตัวได้

ว่าแต่ ไอ้ปุ่ม ESC นี่มันย่อมาจากอะไร ผมยังไม่แน่ใจเลย
เดาเอาว่ามันย่อจาก ESCAPE ที่แปลว่าหนีรอด รอดพ้น

การที่คนเราอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัด แล้วมีปุ่ม Escape ได้นี่ไม่เลวนะครับ
เพิ่งมีคนมาปรึกษาเรื่องที่เธอกำลังต้องรับมือกับความป่วนของว่าที่อดีตสามี
ฟังแล้วก็นึกออก ว่าภาวะนั้นมันน่าหงุดหงิดขนาดไหน

ผมเดาว่า เธอคงอยากมีปุ่ม Esc ของเธอแล้วกดจึ๊งงงงง เรื่องนี้หายสูญไปเลย

อย่าว่าแต่คนที่มีปัญหาเลยนะครับ
คนที่ไม่ค่อยมีปัญหา แต่มีปัญญา เขาก็อยากมีปุ่ม Escape นี่เหมือนกัน

สองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน มีเจ้าชายพระองค์หนึ่ง ที่มีชีวิตแสนสุข แสนสบาย
ท่านประทับในปราสาทสี่ฤดู มีนางกำนัลห้อมล้อม มีภรรยาแสนสวยแสนดี
ไม่มีอะไรที่ท่านอยากได้แล้วไม่ได้

แต่ท่านเป็นคนฉลาด ท่านสังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือไพร่ฟ้า
ทุกชีวิตมีเส้นทาง มีจุดหมายเดียวกัน
คือล้วนเดินไปบนทางสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่หนีไม่ได้
และความมั่งคั่ง ความเป็นราชนิกูล ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ท่านจึงทรงออกผนวช และทรงตรัสรู้ได้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน
อันนี้ฟังดูยากๆ แปลว่าอะไรไม่รู้ แต่ไม่เป็นไรครับ ไม่สำคัญมาก

เพราะสิ่งที่สำคัญกว่า และท่านออกสอนบอกกล่าวเผยแพร่ ให้ลูกศิษย์ได้รู้คือ
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ มีปุ่ม Esc ซ่อนอยู่ เพียงแต่ต้องค้นหามันให้เจอ และเรียนรู้วิธีใช้มัน

พูดเป็นภาษายุคคอมพิวเตอร์
เราไม่มีปุ่ม Esc เพื่อลบการมีชีวิต ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
แต่เรามีปุ่ม Esc เพื่อพ้นจากทุกข์ของการมีชีวิต ความแก่ ความเจ็บ ความตาย

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเกิดมาแล้ว การมีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นของธรรมดา
แต่การพ้นจากทุกข์เพราะแก่ เพราะเจ็บป่วย และตาย ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

พระพุทธเจ้าเรียกปุ่ม Esc ของท่านว่า "การเจริญสติ"
ท่านเรียกกระบวนการนี้ว่า "สติปัฏฐาน 4" หรือที่คุ้นเคยมากกว่านั้นว่า "วิปัสสนา"

ทุกครั้งที่เรารู้สึกตัว เห็นความเคลื่อนไหว ของกายใจครั้งหนึ่ง
ก็คล้ายกดปุ่มนี้หนึ่งครั้ง ทุกข์จะดับหายไปครั้งหนึ่ง

ที่หาย ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะมันมีสติ รู้ทันการทำงานของจิตใจ
ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า คนเราไม่ได้ทุกข์เพราะอะไรหรอก

เราทุกข์เพราะความคิดน่ะ

อย่างน้องที่มีปัญหาเรื่องจะหย่า คุยๆกันอยู่ เขาก็พูดเองว่า ช่วงนี้ดีขึ้นมาก

ไม่ใช่เพราะปัญหามันหมดหรอก แต่เพราะงานมันยุ่ง
พองานยุ่งแล้วใจไปจดจ่ออยู่กับงาน ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ ทุกข์ก็ไม่เกิด

การรู้สึกตัว เห็นการเคลื่อนไป "คิด" ของจิตใจ ก็ให้ผลอย่างเดียวกัน
คือทำให้เกิดสติ ความรู้สึกตัว ขึ้นมาแทนที่ความคิดที่กำลังจะฟุ้งไป

ที่คนเรามีทุกข์ ไม่ใช่เพราะมีปัญหา
แต่มีปัญหาแล้วทุกข์ เพราะไม่มีสติ ไปหลงคิดฟุ้งอยู่ในปัญหา

รายละเอียดเรื่องวิธีการวิปัสสนา ผมคงไม่ลงลึก
แต่อยากแนะนำให้คุณไปศึกษาต่อด้วยการโหลดไฟล์เสียงมาฟังกันที่

//www.wimutti.net/pramote/

นี่คือทางสายเดียว ที่จะนำไปสู่ปุ่ม Esc สำหรับทุกคนนะครับ

เฉลยไว้ล่วงหน้าว่า ปุ่ม Esc ของพระพุทธเจ้า ดีกว่าปุ่มที่อยู่บนคอมอีก
เพราะวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเรา Esc ไปจนหมดเรื่อง หมดธุระ หมดงานที่ต้องทำ

การกดปุ่ม Esc ครั้งสุดท้าย เครื่องคอมพิวเตอร์ก็จะหายไปด้วย

ใครที่มีทุกข์ มีปัญหาสารพัดกับคอมพิวเตอร์
ว่ามันช้า ว่ามันรวน มันแฮงค์ มันเสื่อม มันโทรม มีไวรัส

เปลี่ยนเครื่องใหม่ไป ระยะหนึ่ง ปัญหา ก็ยังมี หนีไม่พ้น
แต่เมื่อไม่มีคอมของเรา ก็ไม่มีอะไรจะรวน ไม่มีอะไรจะแฮงก์ ไม่มีอะไรให้ไวรัสกวน

ใครหาปุ่ม Esc ของท่านเจอแล้ว บอกกันด้วยนะครับ

ปล. เพลงประกอบวันนี้ มาจากหนังเรื่อง Darjeehling Limited เพลงแคลร์ เดอ ลูน เป็นเพลงคลาสสิก ประพันธ์โดย โคล้ด เดอ บุชชี่ครับ




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 24 กันยายน 2551 14:26:19 น.
Counter : 1393 Pageviews.  

เสียใจ สุขใจ ง่ายนิดเดียว



(ภาพโดยความอนุเคราะห์ของคุณแป๋ว //www.bloggang.com/mainblog.php?id=sevendaffodils ขอบคุณนะครับ)



(เพลงชื่อ สายลมใต้ปีกฉัน ฉบับบอสซาโนวาร้องโดย จีน ฟราย ซิดเวลล์ จากเพลงดั้งเดิม ของ เบทท์ มิดเลอร์ครับ)



ที่จริงวันนี้ผมเขียนบล็อกไปแล้วบล็อกหนึ่ง แต่มันเป็นอดีตไปแล้วครับ

นั่งเขียนมาชั่วโมงกว่า เสร็จแล้วล่ะ กำลังจะใส่เพลง
นิ้วไปเคาะโดนแป้นอะไรเข้าสักอย่าง

มันหายวับไปหมด ต่อหน้าต่อตา

จิตเซ็งขึ้นมาวูบหนึ่ง ก็ทำได้แค่รู้ทันว่าเซ็ง

คนเราต้องอยู่กับเรื่องความสูญเสียเล็กๆน้อยๆแบบนี้ อย่างมีสติบ่อยๆให้เป็นนิสัย
เพราะความสูญเสีย เรื่องเสียใจใหญ่ๆ มันจะเดินมาเคาะหัวเราเมื่อไหร่ไม่รู้

ศัพท์อาจารย์ผม ท่านเรียกว่า ต้องหมั่นคอยซ้อมไว้
ไม่ใช่ถึงเวลาขึ้นชกจริง แล้วไม่เคยซ้อม อ่อนซ้อม
แล้วมักจะบ่นว่า ทำไมรู้ทันแล้วทุกข์ไม่หาย

ผมสังเกตว่า มนุษย์เรานี่ ส่วนมากทุกข์เพราะสามเรื่อง
คือเกลียดอดีต ไม่พอใจปัจจุบัน และกังวลเรื่องอนาคต

ถามว่าจะเลิกเกลียดอดีต เลิกกังวลเรื่องอนาคตได้ไง อันนี้ง่ายมาก
คือหัดอยู่กับปัจจุบันสิครับ

คือไม่ต้องไปใส่ใจว่า อดีตจะเป็นยังไง สอบได้สอบตก
เคยผิดเคยพลาด เคยดีเคยชั่ว เคยมัวเมาอย่างไร ช่างมัน
วันนี้ถือศีล 5 ไว้

แล้วเอาสติ มาอยู่กับปัจจุบัน กายมันยืน เดิน นั่ง หรือนอน รู้มันไป
ใจมัน รู้สึกนึกคิด ปรุงแต่ง อย่างไร รู้มันเข้าไปซื่อๆ ตรงๆ อย่างที่เป็น

อย่าไปอยากให้มันเป็นอะไร
เพราะไม่เคยมีอะไรเป็นไป เพราะเราอยาก
อย่าไปไม่อยากให้มันเป็นอะไร
เพราะไม่เคยมีอะไร ไม่เป็น เพราะเราไม่อยาก

ถ้ามันจะเป็น จะไม่เป็น ก็เพราะมีเหตุมีปัจจัยของมัน
ถ้ามันจะหยุด จะเลิก จะหมด จะดับ
ก็เพราะมันหมดเหตุ หมดปัจจัยของมัน

ถามว่า.. แล้วพอใจกับปัจจุบันล่ะ ทำยังไง?

ผมเพิ่งไปตอบคำถามใครบางคนมา
เขามีเรื่องอะไรคาใจในอดีต ผมไม่ทราบ
ทราบแต่ว่าเคยทำใจไปได้ระยะนึง แต่มันหวนกลับมาหลอกอีก

ผมบอกว่า ต้นตอของปัญหาประการหนึ่ง
อยู่ที่เขาไม่เปิดใจ ไม่ยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ
ที่ไม่ยอมรับ เพราะยังอยากให้มันเป็นไปในอีกแบบ

ตัวอย่าง สมมติไฟไหม้บ้านเมื่อสี่ปีก่อน
จะอยากไม่อยากให้มันไหม้ ก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะยังไงมันก็ไหม้ไปแล้ว

พูดง่ายๆ ถ้ายอมรับได้ว่ามันไหม้ไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว
เข้าใจได้อย่างนั้นก็สบายไป ไม่มีทุกข์เพิ่มขึ้นมาซ้ำซ้อน

คนเราถ้าอยู่กับปัจจุบันได้ ปัญหาในอดีตมันหนักหนาแค่ไหน ก็ไม่เกินความสามารถหรอกนะครับ

แต่ถ้ายังนึกย้อนไปว่าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
ปัญหาก็ไม่จบ ก็ยังกลับมา คาราคาซังรังควานกันได้เหมือนเดิมไม่สิ้นสุด

คนที่อยู่กับปัจจุบันได้เก่งๆ ทำได้ง่ายนิดเดียว
วิธีหนึ่งคือการหัดตามรู้จิต โดยโฟกัสไปที่การรู้ทันการ "คิด"

รู้ความคิด ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิด
คือรู้ว่าจิตมันกำลังหลงไปคิด รู้ที่กระบวนการคิด ไม่สนใจเรื่องที่คิด

วิปัสสนา เรารู้ความคิด เพื่อให้ได้ต้นทางของการปฏิบัติ
ปฏิบัติอะไรคุณแอสตั้น ก็ปฏิบัติการพิสูจน์ความจริงว่า...

จิตนี้เป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา
จิตนี้เป็นทุกขัง ไม่ว่าความรู้สึก นึกคิด สภาวะไหน มันก็คงทนในสภาวะเดิมไม่ได้
จิตนี้เป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะมันมีทุกขัง นั่นแหละ

ถ้าพิสูจน์ความจริงตรงนี้ได้บ่อยๆ ปัญญาจะเกิดขึ้นในใจคุณเอง
มีปัญญาจากการภาวนาแบบนี้ ดีและวิเศษกว่าการคิดเอามากนัก

เพราะปัญญาตัวนี้ จะทำให้คุณเห็นว่า
แม้แต่จิต ที่คุณคิดว่ามันคือตัวตนของเรา
แท้ที่จริง มันก็ไม่ใช่ เพราะเราไม่เคยสั่ง บังคับอะไรมันได้จริงๆเลย

แล้วอะไรที่ไม่ใช่ของเรา มันจะเป็นยังไง เราก็มักจะไม่ทุกข์ สังเกตสิครับ

เพราะปัญญาตัวนี้ จะทำให้เราเห็นว่า โลกนี้มันเป็นไปตามเหตุและปัจจัย
ไม่ได้เป็นไปด้วยความอยาก หรือไม่อยากของเรา

ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ ยินดี หรือไม่ยินดี
ถ้าเหตุยังอยู่ มันก็อยู่ ถ้าเหตุมันดับ มันก็ดับ

เพราะปัญญาตัวนี้ จะทำให้คุณเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว
สิ่งๆนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

คนเราทำได้อย่างเดียว คือทำเหตุและปัจจัย ให้ดีที่สุด
อย่างการเจริญสติ รู้กาย รู้ใจนี่แหละ คือเหตุที่เราทำได้

และต้องทำในปัจจุบันเสียด้วยนะ
คือเวลารู้สึกตัว รู้สึกในอดีตก็ไม่ได้ ในอนาคตก็ไม่ได้

อย่ารบกับใจตัวเอง ด้วยการอยู่ดีๆ ก็พยายามไปฝืน ไปบังคับ
ให้มันคิดดี เป็นสุข ตลอดเวลา เราทำไม่ได้หรอก

เอาแค่ จิตคิดดีหรือคิดร้าย ก็ให้รู้ทันว่า "คิด"
เสียใจ หรือสุขใจ ก็รู้อย่างที่มันเป็น

ไม่ต้องพยายามฝืนเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ที่ไม่มีความรู้สึก
แต่เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตมีจิตใจ ที่มีสติ รู้ทันความคิด ความรู้สึก อารมณ์

แล้วทุกอย่างในชีวิตจะเข้าใจง่ายกว่าเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ
ชีวิตเราจะเป็นสุขมากขึ้น ทุกข์น้อยลงๆเรื่อยๆ นะครับ

แล้วก็จบตรงนี้แบบดื้อๆ ..ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม

ปล. ฟังเพลงแล้วสบายใจ รู้ว่าสบายใจ
ก่อนมาอ่านบล็อก ตอนอ่าน หลังอ่าน จิตใจเปลี่ยนไปอย่างไร ก็รู้ทันนะครับ




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 9:14:27 น.
Counter : 950 Pageviews.  

เรื่องเล่าหน้าฝน



(ภาพจากเพื่อนที่ถ่ายรูปถูกใจผมเสมอ บล็อกคุณแป๋วไปเยี่ยมชมได้ที่นี่ครับ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=sevendaffodils )



(เพลงเรนดรอป คีพ ฟอลลิ่ง ออนมายเฮด ฉบับคันทรี่)

คุณผู้อ่านชินกับฝนตกหรือยังครับ

ช่วงนี้ไปไหนก็ควรยืดอกพกร่มไว้ ไม่เสียหลาย
บางวันเห็นแดดเปรี้ยงๆอยู่หลัดๆ ถัดมาไม่นานฟ้ามืดซะงั้น

ในบรรดาฤดูกาลทั้งหลาย ผมได้อาศัยฤดูฝนนี่แหละ
บอกแง่คิดดีๆให้น้องๆ เพื่อนๆ กันมานักต่อนัก

อย่างวันก่อน คุยกะน้องคนนึง เรื่องที่เพื่อนของเธอเป็นทุกข์
ทุกข์เพราะไปแอบชอบผู้ชายคนหนึ่ง ที่เข้ามาวนเวียนในชีวิต

แล้วด้วยความสนิท ผู้ชายก็ทำให้เธอมีความหวัง
หวังแล้วก็ได้แค่หวัง เพราะผู้ชายไม่ได้คิดอะไรมากกว่าเพื่อน
แต่ยังโทรมาเจ๊าะแจ๊ะอยู่เรื่อยๆ เหมือนเป็นแฟน

พอจะตัดใจ จะทำใจ ก็ไม่ได้สักที เพราะรู้สึกดีที่เขาทำอย่างนั้น
แล้วก็เลยวนอยู่ในกองทุกข์แบบนี้

น้องที่ผมสนทนาด้วย เธอก็รับบทที่ปรึกษา แต่ก็หาทางออกไม่ได้

ผมถามว่าแล้วทำไมไม่บอกผู้ชายไป ว่าคิดกับเขายังไง
รู้สึกยังไง ทุกข์ยังไง ที่เป็นอยู่
ที่ปรึกษาบอกว่า ผู้หญิงน่ะพี่ ใครจะไปกล้าพูด

ผมก็แนะไปว่า.. มองในแง่ดี นี่มันเป็นสถานการณ์ที่เลือกได้
มองในแง่ร้าย .. นี่มันเป็นสถานการณ์ที่เลือกได้ง่าย แต่ทำใจยาก

ผมบอกว่า.. บางครั้งบางที เรื่องบางเรื่องมันไม่มี "ตรงกลาง"
มันเป็นจังหวะที่ต้องฟันธงว่า จะ "ซ้าย" หรือ "ขวา"
เลือกให้ได้ แล้วเดินหน้าอย่าหันหลัง

ถ้ายังอยากเจอ อยากคุย ก็ทำใจให้ได้ว่า มันจะทุกข์หน่อย
ทรมานพอสังเขป ก็เสพทุกข์ผสมสุขให้พอใจ

แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหว ไม่ได้แล้ว เกินใจจะอดทน ควรบอกก็ต้องบอก
เว้นแต่ว่าชื่อ ป๊อบ แคลอรี่บลาบลา จะได้ร้องว่า "อยากรู้แต่ไม่อยากถาม"

วิธีตัดสินใจ ผมแนะนำว่า ให้ถามตัวเองดีๆว่าเราต้องการอะไร
จะรักษาหน้าเพราะความเป็นผู้หญิง หรือจะเลือกความสบายใจ

ผมยกตัวอย่างว่า เหมือนเวลาฝนตก
ถ้าชอบออกไปเล่นน้ำฝน ก็อย่าบ่นว่าตัวเปียก

เพราะถ้าไม่อยากเปียก ก็อย่าไปเล่น
ไม่ใช่ฝนตกทีไร ออกไปวิ่งเล่นทุกที แล้วก็คร่ำครวญ
ว่าทำยังไงดี ทำยังไงดี ให้เล่นน้ำฝนได้โดยตัวไม่เปียก

บอกให้ใส่เสื้อฝน ก็ไม่เอา บอกว่าอึดอัดลำบาก
แบบนี้มันกลายเป็นพายเรือในอ่าง ตรงนี้ก็ไม่ชอบ
ตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนู้นก็ไม่เอา แล้วก็วนกลับมาที่เดิม

เพราะมันต้องเลือกครับ ว่าจะยอมเปียก หรือไม่เปียก
ถ้าเลือกไม่อยากเปียกก็อย่าออกไปเล่นน้ำฝน

เลือกง่าย แต่ทำใจยาก เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะจิตใจ มันไม่ใช่ตัวเราไง คนที่บงการใจเราจริงๆ
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คือตัณหา

ตัณหา เป็นเจ้านายเรามานานแล้ว นานจนเราไม่เคยรู้ตัว
คิดว่าทุกวันนี้เราเป็นตัวของตัวเอง

เหมือนเราเป็นรถยนต์คันนึง ที่มีตัณหา พาไปโน่นไปนี่
บังคับให้วิ่งให้หยุด ให้ช้าเร็ว ให้เลี้ยวซ้ายป่ายขวา

พอบางครั้งบางที ไม่อยากไปหรอก แต่เหมือนมีอีกใจนึงดึงให้ไป
อันนั้นแหละ คอยสังเกตไว้นะครับ

ทุกอย่างที่เรา "อยาก" มันจะมีตัณหา คอยบังคับกำกับดูแลเสมอ
บางที บางวัน ตัณหา พาไปที่สวยๆดีๆ เราก็ชอบใจ
บางวัน ตัณหา พาไปที่โทรมๆ ทุรกันดาร เราก็ทุกข์ใจ

ครูบาอาจารย์ ที่ท่านคอยบอกทางให้มาวิปัสสนา มีสติรู้กายรู้ใจ
ก็เพราะจะได้รู้ทันตัณหา ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า เป็น "นายช่างผู้สร้างเรือน"

แล้ววันนึง จะเห็นความจริงว่า ตัวเรา ไม่เคยมี
วันไหนเห็นว่า ตัวเราไม่มี มีแต่ความเข้าใจผิด "คิด" ว่ามีตัวเรา

วันนั้นความทุกข์จะหล่นหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
หล่นกันเห็นๆ เลยนะครับ เพราะไม่มีตัวเรา ก็ไม่มี "ของเรา"

สุข ก็ไม่ใช่ของเรา ทุกข์ก็ไม่ใช่ของเรา
ที่เหลืออยู่จะเป็นสุขอีกแบบ คือสุขจากความไม่มี ไม่เป็นอะไร
ถึงจะยังไม่ได้อรหันตมรรค สุขจากสติแท้ๆ ก็เหลือเฟือแล้ว

พูดเรื่องฝนอยู่ดีๆ วนมาที่การเจริญสติจนได้ งั้นไปทำงานก่อนนะครับ

แฮ่...




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2551    
Last Update : 22 มิถุนายน 2551 13:40:06 น.
Counter : 1113 Pageviews.  

Kung Fu Panda: There is no accident




ถ้ามีคนบอกก่อนผมจะเข้าไปดูหนังการ์ตูนที่ดูติงต๊องๆเรื่องนี้ว่า
มันจะกลายเป็นหนึ่งในหนังดีที่สุดในรอบปีที่ผมดู ผมคงไม่ค่อยเชื่อ

พอๆกับที่ ตอนที่ผมบอกคุณว่า ผมจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ในมุมของธรรมะ
คุณก็คงไม่ค่อยเชื่อด้วยเหมือนกัน

แต่เชื่อเถอะครับ ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นจากเรื่องที่ดูเหมือนบังเอิญ และเหลือเชื่อ

แบบเดียวกับที่อูเกวย์ อาจารย์เต่าเฒ่าในเรื่องพูดถึง 3 ครั้งว่า
"There is no accident" โลกนี้ไม่มีความบังเอิญครับ

นี่เป็นหนังที่ตลกชนิดขำกลิ้งแต่ไม่มีพิษมีภัย เหมือนหนังตลกไทยหลายเรื่อง
ขณะเดียวกันก็แฝงความคิดดีๆไว้ได้อย่างน่าชื่นชม

นับจากบรรทัดนี้ อาจจะมีข้อความที่เปิดเผยเฉลยความในของหนังด้วยนะครับ บอกไว้ก่อน

กังฟูแพนด้า เป็นเรื่องของ "โป" แพนด้าอ้วนๆ พุงป่อง กินเก่งแถมขี้เกียจตัวหนึ่ง
ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นจอมยุทธผู้มีวิชากังฟูสะท้านสะเทือนยุทธภพ

แต่ในชีวิตจริง "โป" เป็นเพียงลูกชายของพ่อห่านเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวรสเลิศ
ผู้ครอบครองสูตรลับความอร่อยของน้ำซุปที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนไว้
โดยหวังว่าวันหนึ่ง โปจะรับช่วงสืบทอดกิจการของร้านต่อไป

แต่แล้ววันหนึ่ง โปเกิดจับพลัดจับผลูกลายมาเป็นผู้ได้รับตำแหน่ง จอมยุทธมังกร (The Dragon Warrior)
ชนิดค้านสายตานักวิจารณ์ทุกสถาบัน เพราะมันทั้งอ้วน เซ่อ ความสามารถด้านกังฟูก็อยู่ในระดับ "ศูนย์"

แถมกลายเป็นหนึ่งเดียวที่มีโอกาสได้อ่านคัมภีร์
เคล็ดลับวิชาสุดยอดพลังไร้ขีดจำกัด (The Limitless Power)

หนังโยงเรื่องของสุดยอดเคล็ดวิชา เข้ากับสูตรลับน้ำซุปแสนอร่อยได้อย่างน่าสนใจครับ

ถ้าจะเทียบการเรียนกังฟูในเรื่อง เป็นเหมือนการทำวิปัสสนา
ไอ้ Limitless Power ก็น่าจะเปรียบได้กับการพ้นทุกข์ เข้าถึงนิพพาน

ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรียบจิตที่เข้าถึงนิพพานว่า
มัน "กว้างครอบโลกครอบจักรวาล" ไร้ขอบไร้เขต
และมันไม่มีเคล็ดลับอะไรจะเป็นสูตรสำเร็จของการเข้าถึงนิพพาน
นอกจากการ "เห็นตัวเอง"

เหมือนที่ทุกคนที่กางแผ่นผ้าที่ใครๆคิดว่ามีสุดยอดเคล็ดวิชาอยู่
ก็จะไม่เห็นอะไรนอกจากเงาสะท้อนของ "ตัวเอง" นั่นแหละ

หนังยังฉลาดในการสร้างตัวละครหลักๆ เป็นสัตว์ต่างชนิดกัน
โดยอ้างอิงจากชื่อวิชาหมัดมวยของจีนที่เรารู้จักกัน
คือ เสือ งู ตั๊กแตน ลิง และกระเรียน

และมีจิ้งจอกเป็นอาจารย์ มีพระเอกเป็นแพนด้า
คล้ายๆกับที่พระพุทธเจ้าเคยบอกว่า คนเรามีจริตต่างกัน
ย่อมถนัดและเหมาะกับการฝึกกรรมฐานต่างแบบ ต่างวิธีกัน

แต่หลักการต้องอันเดียวกันนะครับ
คือต้องเกี่ยวเนื่องกับกายใจของตัวเอง
ต้องรู้ลงปัจจุบัน รู้อย่างเป็นกลางไม่แทรกแซง
และรู้ตามความเป็นจริง ไม่บังคับให้เกิด ไม่ปรุงแต่ง

เมื่อมีความแตกต่างโดยจริตธรรมชาติ
แพนด้าอย่างโป ย่อมไม่เหมาะจะฝึกกังฟูวิธีเดียวกับสัตว์ชนิดอื่น

ฉากที่พูดหลักธรรมอย่างชัดเจน คือฉากที่อาจารย์เต่าอูเกวย์
พูดกับโปว่า คนเรามักจะเป็นทุกข์ เพราะเสียใจไม่พอใจกับอดีต และกังวลเรื่องอนาคต
แล้วเตือนให้อยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน (Present)

ก็คือหลักเดียวกับที่ผมเคยเขียนถึงในหลายบล็อกว่า
หลักการเจริญวิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าสอน ก็คือ
การตามรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริงในปัจจุบัน

ถ้าเข้าใจและทำจนคุ้นเคย เราจะเคยชินกับการอยู่กับปัจจุบัน
จะไม่พิร่ำพิไรกับเรื่องที่ผ่านไปในอดีต ไม่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

อีกฉากคือตอนที่อูเกวย์ พูดกับชีฟู๋ ว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ

อันนี้ก็ตรงกับความเข้าใจเรื่องกรรมในทางพุทธ
ว่าทุกอย่างเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเหตุอะไรสักอย่างหนึ่ง

อาจจะเดินไปตกท่อ หม้อหล่นใส่เท้า เจอสาวสวยที่ป้ายรถเมล์
เจอไอ้เข้บนรถบัส ได้เดินตลาดนัดกับพัชราภา
หรือแม้แต่หลงมาอ่านบล็อกของอีตาแอสตั้นเข้าให้

อาจารย์เต่ายังสอนให้ชีฟู๋ ละวางความยึดมั่นในมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด
คือมีรูปแบบสำเร็จรูปของ "นักรบมังกร" ที่แท้จริง
ว่าต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่อ้วน ไม่ทึ่มแบบโป

วิปัสสนา ไม่ได้สำคัญที่เปลือกนอก
ไม่สำคัญว่าเครื่องแบบสีอะไร ผมสีอะไร รวยหรือจน จบป.สี่ หรือปริญญาเอก
เนื้อในของวิปัสสนา มีแค่การคอยรู้ความจริงของกายและใจ

อูเกวย์บอกว่า สรรพสิ่งในโลก มันเป็นไปอย่างที่มันมีเหตุควรเป็น
ไม่ใช่เพราะเราชอบหรือไม่ชอบ เพราะเราอยากหรือไม่อยาก

อย่างต้นท้อ จะออกดอกออกผล ก็เพราะถึงเวลาอันควร
ไม่ใช่เพราะเราชอบหรือไม่ชอบ อยากหรือไม่อยาก

นักเรียนวิปัสสนาก็เหมือนกัน อย่าไปเร่งรัดตัวเองว่า เมื่อไหร่จะบรรลุ
เมื่อไหร่จะได้โสดาบัน เมื่อไหร่มันถึงเวลาอันควร มันก็มาเองนะครับ

ทำได้แค่เหตุของมันให้ดี มีชีวิตแบบไม่ประมาท หมั่นทำทาน ศีล
หัดเรียนรู้ตัวเองด้วยการรู้สึกตัวไว้บ่อยๆ

ที่แน่ๆ อย่าเกลียดสิ่งที่ตัวเองเป็น แบบเดียวกับแพนด้าโป
แต่ให้ยอมรับว่าเราแตกต่าง แล้วอยู่กับปัจจุบัน อย่าวิ่งหนี

อาจจะเคยเดินทางผิด คิดชั่วมาขนาดไหน
อาจจะไม่เด่นไม่ดัง ไม่ใช่ดาวเหมือนใครหลายคน
แต่ถ้าตั้งใจจะทำดี จะเริ่มเรียนรู้ตัวเอง ก็ทำได้ทุกคน

อูเกวย์ยังบอกอีกว่า ถ้าปลูกต้นท้อ ก็หวังได้ว่าจะได้ลูกท้อ ไม่ใช่มะม่วง หรืออย่างอื่น
อันนี้อยากบอกว่า ทำวิปัสสนา ก็ได้สติปัญญา ทำแต่สมาธิสมถะ ก็ได้สมาธิ

ว่าซื่อๆ ทำอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น
เพราะโลกนี้ "ไม่มีเรื่องบังเอิญ" หรอกครับ




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2551    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2551 23:57:19 น.
Counter : 3825 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.