The Show Must Go On "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...การแสดงต้องดำเนินต่อไป"




ช่วงอายุ 16 ปีผมเล่นดนตรีอาชีพอยู่ที่บาร์ดิสโก้แห่งหนึ่ง แต่ละวันผมจะขี่มอเตอร์ไซด์จากบ้านไปที่ร้าน (นักดนตรีจะเรียกผับหรือบาร์ตัวเองเล่นว่าเป็น "ร้าน') โดยมือข้างขวาจะบังคับรถส่วนมือซ้ายจับกีตาร์เบสซึ่งเป็นวิธีที่ประมาทมาก ทุกวันผมจะทำแบบนี้ทั้งเวลาเดินทางไปและเดินทางกลับโดยไม่ได้คิดอะไร

แล้ววันนึงก็เกิดเรื่องครับผมขับรถจากหมู่บ้านที่อยู่ตรงข้ามกับตึกซอฟต์แวร์ปาร์คขับมาได้ไม่ไกล
ก็เจอรถยนต์ขับปาดรถมอเตอร์ไซต์ผมล้มกีตาร์เบสไปทางรถมอเตอร์ไซต์ไปทางหนึ่งคนไปทางหนึ่ง

ผมมีสติลุกขึ้นมาได้ผมมองหากีตาร์เบสเป็นอย่างแรก (กลับมาย้อนคิดดู คงเป็นเพราะมันเป็นเครื่องมือหากินเราถึงห่วงมันมาก) แล้วก็เดินไปจับรถมอเตอร์ไซต์มาตั้ง หลังจากนั้นจึงค่อยสำรวจตัวเองว่าบาดเจ็บอะไรบ้างซึ่งถลอกปอกเปิกไปหมดละครับสมัยนั้นนักดนตรีจะแต่งตัวหล่อแบบใส่กางเกงลินินแล้วก็เสื้อแขนยาวเน้นสีขาวเป็นหลักวันนั้นผมมอมแมมไปเลยครับ

ผมลองสตาร์ทรถตามปกติเวลารถมอเตอร์ไซค์ล้มน้ำมันมันจะท่วมคาร์บูเรเตอร์หลายคนที่ใช้มอเตอร์ไซค์จะรู้ดี ต้องดึงโชคเพื่อระบายน้ำมันออกจะทำให้ Start ได้

หลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้ผมก็ขับต่อไป ด้วยท่าเดิม  (มือขวาบิดคันเร่ง มือซ้ายจับกีตาร์)
มาถึงร้านที่เล่นดนตรีจนได้

อย่างที่หลายคนรู้กันนะครับเวลาเราเจออุบัติเหตุแล้วเกิดแผลกับร่างกายแรกแรกๆ เราจะชายังไม่รู้สึกเจ็บอะไร

เมื่อไปถึงที่ร้าน ผมก็ขึ้นไปตั้งเครื่องและก็เล่นเปียโนรอเพื่อน ที่ทยอยกันมาทีละคนจนครบ เราเล่นเป็นวงสตริงมีการหกคน (กลอง,กีตาร์เบส,ร้องนำคีย์บอร์ดสองคน) ทุกคนมาเห็นผมก็ถามว่า
"เฮ้ยมึงไปทำอะไรมา" "รถล้ม" (ผมตอบ) ช่วงนั้นก็เริ่มรู้สึกเจ็บแล้วแต่พอมากันครบก็ต้องเริ่มเล่นเลย

ร้านที่ผมเล่นเป็นแนวบาร์ดิสโก้ซึ่งเป็นยุคก่อนที่จะมีผับมากมายอย่างตอนนี้ ดนตรีจะเล่นอยู่บนเวทีที่มีแค่ไฟสลัวสลัวและไฟตรงสแตนโน๊ตเท่านั้น

หน้าเวทีจะมีฟลอร์ให้แขกที่มาเที่ยวออกมาเต้นรำ กับรีเซฟชั่นที่เป็นเด็กสาวๆ หน้าตาสวย
(บ้างไม่สวยบ้างแต่พอกลางคืนแล้วแต่งหน้าเราอยู่ในที่สลัวสลัวมาดูสวยทุกแหละครับ.5555)
เด็กรีเซฟชั่น จะมีรายได้จากการ ที่แขกสั่งเครื่องดื่มหรือที่เรียกว่าดริ้งมาให้แล้วก็ใช้เวลานั่งคุยกับแขกยิ่งสั่งมากก็ยิ่งมีรายได้มาก

เพราะเริ่มเล่นวันนั้นผมยืนไม่ได้เลยมันปวดไปหมด ปกติตัวผมแม้จะเล่นเบสแต่จะเป็นคนคอยเดินบอกเพื่อนว่าเพลงต่อไปเราจะเล่นอะไร เหมือนเป็นคนจัดการ script เวที  ในขณะที่เล่นน่ะผมก็เริ่มมองแขนตัวเองทั้งสองข้างในไฟสลัวๆ ผมเริ่มเห็นแผลถลอกปอกเปิดไปหมด

ความปวดมันเริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยเรื่อยเพราะผมยังไม่ได้ทายาไรเลยผมก็อยู่บนเวที 2 ชั่วโมงเล่นตั้งแต่เพลงช้า จนถึงช่วงเล่นเพลงเร็ว รู้สึกว่าเกิอบ 2 ชั่วโมงในการเล่นครั้งนี้มันนานมากเหลือเกินการเป็นแผลแล้วนั่งในแอร์ มันจะเริ่มตึงๆ เจ็บขึ้นเรื่อยๆ. 

ผมเล่นดนตรีเพราะความชอบทุกครั้งที่เล่นก็มีความสนุกแต่ครั้งนี้มันไม่สนุกเลยอยากจะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ ต้องนั่งทนเล่นไปเรื่อยๆ ช่วงเพลงช้าเพก็นั่งเฉยๆได้ แต่ตอนเล่นเพลงเร็วปกติผมจะต้องเล่นไปแล้วโยกตัว หรือ เต้นตามเพลงที่เล่นแสดงความสนุกสนานให้กับแขกที่มาเต้นหน้าเวทีรู้สึกสนุกไปกับเราแต่วันนี้มันรู้สึกแย่จริงๆอยากจะเลิกอย่างเดียวแต่ก็เลิกไม่ได้

หลังจากนั้นผมก็กลับบ้านไปด้วยความเจ็บปวด
และจำเหตุการณ์นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ได้รับบทเรียนว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าแย่แค่ไหนด้วยสปริต...การแสดงก็ต้องทำต่อไป "The Show must go on...."

หมายเหตุ

บางคนอาจถามว่า "อ้าวแล้วทำไมไม่ซื้อซองใส่กีตาร์ละ" ตอนนั้นผมคิดว่ายังไม่จำเป็น เงินซื้อกีตาร์หมดแล้ว กระเป๋าคงต้องรอไปก่อน ....
(วิธีคิดตอนนั้นคงจะคล้ายกับยุคนี้ที่บางคนซื้อ iPhone หรือโทรศัพท์ยี่ห้อแพงๆแล้วยังไม่ได้ใส่เคสแล้วมันเพราะเงินหมดหรือยังเลือกเคสไม่ได้นั่นแหละครับ)





Create Date : 12 สิงหาคม 2559
Last Update : 12 สิงหาคม 2559 20:35:54 น.
Counter : 1277 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2372514
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สิงหาคม 2559

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog