| ความคลุมเครือของสิ่งที่เรียกว่าชาติ  
 ผมเชื่อว่าคุณประโยชน์ของบางสิ่งบางอย่าง
 
 เกิดจากการยอมรับในสิ่งที่มันเป็นอยู่
 
 และใช้ประโยชน์จากมันตามสภาพที่มันเป็น
 
 ..................................................................
 
 ถ้าช้อนไม่คดงอ เราคงไม่สามารถใช้ตักอาหารได้
 
 การจะไปดัดแปลงช้อนให้เป็นเส้นตรง
 
 ย่อมเป็นการลดประโยชน์ในการใช้ตักอาหารของมัน
 
 ..................................................................
 
 คนทั่วไปมักเห็นว่า ความว่างหาประโยชน์อะไรไม่ได้
 
 เพราะมันไม่มีอะไรที่จะจับต้องสัมผัสได้
 
 แต่ลัทธิเต๋ากล่าวว่า เพราะมีความว่าง
 
 จึงสามารถบรรจุสิ่งต่าง ๆ ลงไปได้
 
 ยิ่งว่างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งบรรจุสิ่งต่าง ๆ ลงไปได้มากเท่านั้น
 
 ..................................................................
 
 และแม้กระทั่ง "ความคลุมเครือ" ของบางสิ่งบางอย่าง
 
 หากเรายอมรับในสิ่งที่มันเป็นอยู่
 
 เข้าใจถึงสภาพตามความเป็นจริงของมัน
 
 การแสวงหาประโยชน์จากความคลุมเครือของสิ่งนั้น
 
 ก็ไม่ใช่เรื่องพ้นวิสัย
 
 ..................................................................
 
 หนึ่งใน "ความคลุมเครือ" ที่ยังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น
 
 ในทุกวันนี้...นั่นก็คือ คำถามว่า "ชาติ" คืออะไร
 
 
 อ.นิธิ กล่าวว่า ชาติ คือสำนึกของประชาชน
 
 ที่มีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ
 
 (มองในแง่สังคมวิทยา)
 
 
 อ.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า ชาติ คือ ผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชน
 
 (มองในแง่เศรษฐศาสตร์)
 
 
 อ.เสกสรร กล่าวว่า ชาติ คือ ชุมชน x ชุมชน
 
 (มองในแง่รัฐศาสตร์)
 
 
 Professor Benedict Anderson กล่าวว่า
 
 ชาติ คือชุมชนจินตกรรม
 
 ก่อนหน้านี้มีผู้แปลไว้ว่า "ชุมชนในจินตนาการ"
 
 ซึ่งผมชอบคำแปลแบบเก่ามากกว่า
 
 ฯลฯ
 
 ..................................................................
 
 ไม่ว่าจะมองในแง่ไหนก็ตาม ผมยอมรับได้ทั้งนั้น
 
 ผมเห็นด้วยกับ อ.นิธิ ว่าเราไม่ควรผูกขาด
 
 ความเป็นชาติเอาไว้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
 
 ความเป็นชาติ ควรเป็นพื้นที่เปิดกว้างให้กับทุกคนในสังคม
 
 มองในทางกลับกัน เพราะ "ชาติ" เป็นสิ่งที่คลุมเครือ
 
 จึงทำให้มันมีความหลากหลาย
 
 และรองรับสภาพสังคมในหลาย ๆ รูปแบบได้
 
 ความคลุมเครือของ "ชาติ" จึงเป็นตัวละลายอัตลักษณ์
 
 และทำให้สังคมหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน (เอกภาพ)
 
 ซึ่งลำพังปัจจัยด้านเชื้อชาติ ประวัติศาสตร์ หรือศาสนา
 
 ไม่สามารถทำได้เหมือนในอดีต
 
 เพราะสังคมปัจจุบันมันมีความหลากหลายมากกว่านั้น
 
 ..................................................................
 
 ถ้าจะให้ผมสรุปความก็คือ
 
 การไม่สามารถจำกัดความหมายของบางสิ่งบางอย่างนั้น
 
 มิได้เป็นการลดคุณค่าของสิ่งนั้นแต่อย่างใด
 
 ปัญหาก็คือ...มีคนกลุ่มหนึ่งเริ่มปฏิเสธ
 
 ไม่ยอมรับสิ่งที่เรียกว่า "ชาติ" ด้วยเหตุผลที่ว่า
 
 มันหาความหมายที่แท้จริงไม่ได้
 
 และที่สุดก็เชื่อว่า มันไม่มีอยู่จริง ?
 
 หรือมันไม่ควรมีอยู่ ?
 
 ทั้ง ๆ ที่ คำถามว่า "ชาติ" คืออะไร
 
 เป็นคนละประเด็นกับคำถามว่า "ควรมีชาติหรือไม่"
 
 ผมรู้สึกว่า บางครั้งการมุ่งแต่จะเอาความหมายมาผูกกับคุณค่า
 
 มันก็ทำให้เราหลงลืมคุณค่าที่แท้จริงของบางสิ่งไป
 
 โดยเฉพาะคุณค่าสูงสุดของชาติ ที่ทำให้มนุษย์
 
 ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อประโยชน์สุขของสังคม
 
 โดยไม่มีสิ่งที่เป็นมูลค่าเข้ามาเกี่ยวข้อง
 
 ..................................................................
 
 ในหนังสือเรื่อง พฤติกรรมพยากรณ์
 
 ที่เขียนโดย Dan Ariely กล่าวเอาไว้ว่า
 
 เราอาศัยอยู่ในโลกสองใบที่แตกต่างกันในเวลาเดียวกัน
 
 ใบหนึ่งบรรทัดฐานทางสังคม (social norms)
 
 และอีกใบหนึ่งบรรทัดฐานทางตลาด (market norms)
 
 บรรทัดฐานทางสังคมจะทั้งอบอุ่นและคลุมเครือ
 
 ไม่จำเป็นต้องมีการตอบแทนในทันทีทันใด
 
 กล่าวคือ คุณอาจช่วยเพื่อนบ้านย้ายโซฟา
 
 แต่นั่นไมได้หมายความว่าเขาจะต้องมาที่บ้าน
 
 เพื่อช่วยคุณย้ายโซฟาเดี๋ยวนั้น
 
 ต่างกับบรรทัดฐานทางตลาดที่ไม่มีทั้งความอบอุ่น
 
 และความคลุมเครืออยู่เลย
 
 และการแลกเปลี่ยนต้องเป็นไปอย่างชัดแจ้ง
 
 ไม่ว่าจะเป็นค่าแรง ค่าเช่า ดอกเบี้ย ฯ
 
 ความสัมพันธ์ทางตลาดไม่จำเป็นต้องเลวร้าย
 
 หรือเอารัดเอาเปรียบเสมอไป มันเพียงแต่บ่งบอกถึง
 
 การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ทัดเทียมกัน
 
 และการตอบแทนในทันทีทันใด
 
 แต่ Ariely กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
 
 เงินเดือนเพียงอย่างเดียวไม่อาจจุงใจให้คนยอมเสี่ยงชีวิตได้
 
 ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ พนักงานดับเพลิง หรือทหาร
 
 อาชีพเหล่านี้ล้วนไม่ยอมตายเพื่อแลกกับ
 
 ค่าจ้างรายสัปดาห์ของพวกเขาแน่ ๆ
 
 แต่เป็นบรรทัดฐานทางสังคมที่จุงใจพวกเขาให้ยอมเอา
 
 ชีวิตและสวัสดิภาพของตัวเองเข้ามาเสี่ยง
 
 
 ครับ...สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ
 
 สำนึกในความเป็นชาติ..มันมีอะไรบางอย่าง
 
 ที่อยู่ในฟากของบรรทัดฐานทางสังคม
 
 และหากสำนึกแบบนี้ต้องหายไปจากสังคมไทย
 
 นั่นหมายความว่า เราอาจต้องสูญเสีย
 
 คนจำนวนหนึ่งที่เต็มใจเสี่ยงเพื่อสังคมไทยไปก็ได้
 
 ..................................................................
 
 ในความคิดของนักศึกษาคนหนึ่งที่พยายาม
 
 รณรงค์ให้สังคมไทยไม่ถูกบังคับให้ต้องเคารพธงชาติ
 
 มองอีกแง่หนึ่งบมันคือการลดบทบาทของสัญลักษณ์
 
 ที่สะท้อนถึงความเป็นชาติ (หรือผูกขาดความเป็นชาติ)
 
 ส่วนตัวแล้ว ผมไม่แน่ใจว่า
 
 เป็นการแก้ประเด็นได้ตรงจุดหรือเปล่า
 
 เพราะปัญหาของประเทศนี้อาจไม่ได้อยู่ที่
 
 ควรมีสำนึกแห่งความเป็นชาติหรือไม่ ?
 
 แต่ประเด็นมันน่าจะอยู่ที่การแชร์
 
 อำนาจในการกำหนดนิยามของคำว่า "ชาติ" มากกว่า
 
 ตราบใดที่สำนึกเรื่องชาติยังคงอยู่
 
 ย่อมต้องมีความเปลี่ยนแปลง
 
 ไปตามสภาพการณ์ของสังคม
 
 ดังนั้น สิ่งที่น้องนักศึกษาคนนั้นควรทำ
 
 จึงไม่ใช่การลดสำนึกเกี่ยวกับความเป็นชาติ
 
 แต่มันคือการเพิ่มพื้นที่ความเป็นชาติ
 
 ให้กับภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม เปิดโอกาสให้สังคม
 
 มีส่วนในการกำหนดนิยามของความเป็นชาติ
 
 ยกตัวอย่างเช่น อำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้
 
 ย่อมไม่ถือเป็นอำนาจในนามของชาติ
 
 ..................................................................
 
 สำนึกเรื่องชาติยังเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับประเทศนี้อยู่
 
 เพราะมันคือเบ้าหลอมที่ดีที่สุด
 
 ในการทำให้สังคมมีแกนกลางที่หลอมเป็นเนื้อเดียวกัน
 
 ในท่ามกลางความหลากหลายขององค์ประกอบต่าง ๆ
 
 เป็นเหมือนแกนกลางของล้อเกวียน
 
 ที่ขับเคลื่อนให้ซี่ล้อต่างๆ มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
 
 เพียงแต่กระบวนการสร้างแกนกลางที่ว่านั้น
 
 จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกส่วนได้มีส่วนร่วม
 
 แกนกลางที่ว่านั้นจึงไม่มีใครมีสิทธิ์ยึดกุมผูกขาด
 
 มันจึงต้องมีช่องพร้อมที่จะให้
 
 ไม้แกนสอดเข้ามาได้ตลอดเวลา
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
				    
                      | Create Date :  10  กันยายน  2559 |  | 0 comments  |   
                      | Last Update : 10 กันยายน 2559 0:11:40 น. |  
                            | Counter : 4255 Pageviews. |  |  
					 |  |  |