|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
พลิกขั้วรัฐศาสตร์
เมื่อหลายปีก่อน วารสารธรรมศาสตร์ฉบับหนึ่ง
เคยลงบทความบรรยายเปรียบเทียบถึงสภาพ
การศึกษาสังคมศาสตร์ 2 สาขาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอเมริกา
ระหว่างสาขาสังคมวิทยา กับ สาขารัฐศาสตร์
สรุปได้ว่า สาขาสังคมวิทยากินขาด เอาแค่สภาพห้องเรียน
ของทั้งสองคณะก็แตกต่างกันจนอาจเรียกได้ว่า ฟ้ากับเหว
ส่วนจำนวนนักศึกษาในสาขาสังคมวิทยาก็มีมากกว่าเห็นได้ชัด
ความรู้สึกผมในตอนนั้นบอกว่า อืมม แปลกดีจัง
ทั้งที่คนอเมริกันสนใจการเมืองกันมาก
แต่กลับมีคนสนใจศึกษาศาสตร์สาขานี้น้อยจัง
ต่อมา ผมได้มีโอกาสเข้าฟังการสัมมนาแห่งหนึ่ง จำได้ว่า
มีนักการเมืองผู้ใหญ่บางท่านเข้าร่วมการสัมมนาด้วย
ท่านกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่าปัจจุบันนี้ นักรัฐศาสตร์ไทย
มีบทบาทในการชี้แนะสังคมค่อนข้างน้อย
เมื่อเทียบกับนักสังคมศาสตร์สาขาอื่น ๆ
อาทิ กฎหมาย สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ
ท่านอยากให้นักรัฐศาสตร์มีบทบาทต่อสังคมมากกว่านี้
อันที่จริง ผมแอบรู้สึกมานานแล้วครับ ตั้งแต่หลังยุค 14 ตุลา
รัฐศาสตร์เป็นสังคมศาสตร์ที่มีบทบาทในสังคมไม่มากนัก
เมื่อเทียบกับสังคมศาสตร์สาขาอื่น ขณะเดียวกันความหลากหลาย
ขององค์ความรู้หรือนวัตกรรมก็มีค่อนข้างน้อย
จนกระทั่งเกิดกรณีทักษิณขึ้นมา หลาย ๆ เรื่องจึงเริ่ม
มีการนำทฤษฎีทางรัฐศาสตร์มาอธิบาย
ด้วยบริบทที่เปลี่ยนไปแต่ควาหมายยังคงเดิม
ผมยังสงสัยอยู่ว่า นิยามเดิม ๆ จะยังคงใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้หรือไม่
เช่น ชาติคืออะไร แม้กระทั่งบางประเด็นที่ผมยังรู้สึกคลุมเครืออยู่
เช่น อำนาจอธิปไตยเกิดขึ้นได้อย่างไร
หรือ ทำไมสิทธิจึงมีอยู่ตามธรรมชาติ
ทั้งที่ตามธรรมชาติย่อมไม่มีใครรับรองอะไรให้
อาจารย์ของผมเคยกล่าวว่า ในโลกนี้ มีศาสตร์อยู่ 3 สาขา
ที่นำมาซึ่งความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
1.รัฐศาสตร์
2.เศรษฐศาสตร์
3.ปรัชญา
(สงสัยอาจารย์ท่านจัดพุทธศาสน์เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาด้วย )
ตอนนั้น ผมไม่ได้สนใจไต่ถามท่านว่า ความยิ่งใหญ่ที่ว่านั้น คืออะไร
และใช้อะไรเป็นตัวชี้วัด แต่ตอนนี้ผมเดาเอาว่า
ความยิ่งใหญ่ที่อาจารย์กล่าวถึงนั้น
คงหมายถึง ผลกระทบที่มีต่อ สังคม และโลก
ก็อาจจะจริงครับ เพราะถ้าพิจารณาจากผลกระทบที่มีต่อโลกแล้ว
ศาสตร์ทั้งสามสาขานี้ มีส่วนผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโลกมาตลอด
และถ้าจะกล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ในหลายกรณี วิทยาศาสตร์
ก็อาจเป็นเพียงเครื่องมือที่รับใช้แนวคิดของศาสตร์ทั้งสามสาขานี้
แต่วันนี้ แนวคิดทางรัฐศาสตร์ดูเหมือนหยุดนิ่ง ในขณะที่เศรษฐศาสตร์
กลับมีการนำเสนอองค์ความรู้ใหม่อยู่เสมอ แต่บางทีก็ต้องยอมรับว่า
วงการเศรษฐศาสตร์มีปัจจัยกระตุ้นอยู่มาก
ผมยังคิดอยู่ว่า ถ้าวันหนึ่งมีการมอบรางวัลโนเบลสาขารัฐศาสตร์บ้าง
บางทีนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางรัฐศาสตร์อาจจะกำเนิดขึ้น
และแพร่หลายมากกว่านี้ก็ได้
ครับ รัฐศาสตร์ นับเป็นศาสตร์เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่ง มีมาเป็นพันปีแล้ว
หัวใจของรัฐศาสตร์ ก็คือ การศึกษาในเรื่องของ การจัดการอำนาจ
และ การจัดการผลประโยชน์ สรุปก็คือ
1.ใครใหญ่กว่าใคร และใหญ่ได้ด้วยเงื่อนไขอะไร
2.ใครควรได้อะไร ด้วยเงื่อนไขอะไร
จะว่าไปมันก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการจัดระเบียบ
ทางสังคมแขนงหนึ่งนั่นเอง
และเครื่องมือที่ใช้จัดระเบียบทางสังคม ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า
"ระบบการเมือง" นักรัฐศาสตร์ทางฝั่งตะวันตก
จะให้ความสำคัญกับระบบการเมืองอย่างมาก
ตั้งแต่ยุคของอริสโตเติลมาแล้ว แต่ปัญหาในปัจจุบันก็คือ
ระบบการเมืองที่มีอยู่เริ่มไม่สามารถตอบสนอง
กับสภาวะอันหลากหลายในสังคมได้
นักวิชาการแถบตะวันตกบางท่านถึงขนาดมองว่าโลกในยุคปัจจุบันนั้น
เสียงข้างมากแทบจะไม่สามารถตัดสินชี้ขาด
เรื่องบางเรื่องได้เพราะความต้องการอันหลากหลายสลับซับซ้อน
ด้วยเหตุนี้ โลกในอนาคตจะกลายเป็นโลกแห่งชนกลุ่มน้อย
ที่ไม่มีชนกลุ่มใหญ่ในสังคมที่แท้จริง
เป็นโลกที่ผู้คนมีความต้องการที่แตกต่างกัน
ในแต่ละเรื่อง ลำพังเสียงข้างมากจะไม่เพียงพอ
ต่อการตัดสินปัญหาใดปัญหาหนึ่งอีกต่อไป
(จาก หนังสือ คลื่นลูกที่สาม)
นี่คือความเห็นของนักวิชาการฝ่ายตะวันตก
ที่เล็งเห็นถึงสภาวะของโลกที่กำลังเปลี่ยนไป
ข้ามมาทางฝั่งตะวันออกบ้าง ข้อสังเกตุที่ผมเห็นจากทางฝั่งตะวันออกก็คือ
นักคิดทางฝั่งนี้แต่เดิมไม่ให้ความสนใจนักว่า ระบบการเมืองใดดีกว่ากัน
แต่สิ่งที่นักคิดฝั่งนี้ให้ความสำคัญก็คือ "วิธีการใช้อำนาจ" ของผู้ปกครอง
พูดง่าย ๆ ไม่ว่าระบบการเมืองจะเป็นระบบใด
แต่ถ้าผู้ปกครองใช้อำนาจไม่ถูกต้อง
ที่สุดก็ต้องพังกันหมด วิธีการใช้อำนาจทางฝั่งตะวันออก
จึงมีความหลากหลายและในหลายสำนักทางฝั่งตะวันออก
มีการยกหลักการบางอย่างที่อยู่เหนือเสียงข้างมาก
ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะสำนักไหน มันก็มาสุดอยู่ที่คำว่า
อำนาจ กับผลประโยชน์ เหมือนกัน
แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามีคำ ๆ หนึ่งที่สามารถอธิบาย
ลักษณะของคำว่าอำนาจได้ดีที่สุด
นั่นก็คือ คำว่า อิทัปปัจจยตา หรือ กฎแห่งเหตุปัจจัย
กฎนี้ได้อธิบายถึงสิ่งสำคัญซึ่งเป็นสัจธรรมเด็ดขาด
ที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ นั่นคือ
สภาวะทั้งหลายไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง
แต่ต้องอิงอาศัยกับปัจจัยอื่นสภาวะนั้นจึงปรากฎขึ้นมาได้
แม้แต่สภาวะอำนาจก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
ผมคิดว่า แนวคิดนี้ คือสิ่งที่จะพลิกโฉมแนวคิดทางรัฐศาสตร์ให้ตอบสนอง
ต่อความเป็นไปของสภาวะอันหลากหลายในสังคมได้
เมื่อกล่าวถึงอำนาจ บรรดานักวิชาการหรือนักการเมืองมักรู้สึกว่า
มันเป็นก้อนอะไรสักอย่างที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองมานานแล้ว
ดังมีทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ที่สนับสนุนแนวคิดนี้หลายทฤษฎี เช่น
ทฤษฎีสัญญาประชาคม ที่เชื่อในทำนองว่ามนุษย์มีสิทธิมาตั้งแต่แรก
(สำหรับผม สิทธิถือเป็นอำนาจประเภทหนึ่ง
เพราะสามารถบังคับได้เช่นเดียวกับอำนาจ)
แต่ในความเป็นจริงนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาลอย ๆ
เช่น ไม้ยืนต้นสูงตระหง่าน กว่าจะเติบโตขึ้นมาได้
ก็ต้องอาศัย ปุ๋ย น้ำ ดิน แสงแดด เมล็ดพันธุ์ ฯ
มันไม่ได้เกิดขึ้นมาทั้งสภาพอย่างนั้น
เหมือนกับอำนาจ ที่ต้องมีเหตุแห่งการเกิด
จะพูดให้ชัดก็คือ "ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับอำนาจ"
ไม่ว่าผู้ปกครองหรือประชาชน
ถ้าหากการศึกษารัฐศาสตร์ เกิดการพลิกขั้วบนฐานคติที่ว่า
"มีปัจจัยบางอย่างซึ่งเป็นที่มาแห่งอำนาจ"
มุมมองทางรัฐศาสตร์จะเปิดกว้างขึ้นทันที
และอำนาจอาจจะกลายเป็นเพียงสาขาหนึ่งของการศึกษารัฐศาสตร์
ซึ่งมิใช่เป็นแกนกลางอีกต่อไป มีประโยคหนึ่งที่ผมได้ยินมานานแล้วก็คือ
"การกระจายอำนาจ" หากใช้แนวคิดเดิมมาอธิบาย
เราจะรู้สึกว่ามันเป็นการกระจายก้อนอะไรสักอย่างไปให้ชนกลุ่มอื่น
แต่ถ้าแนวคิดทางรัฐศาสตร์เกิดการพลิกขั้วขึ้นมาจริง
นั่นหมายความว่า การกระจายอำนาจอาจจะมีความหมายครอบคลุมไปถึง
การกระจายเหตุปัจจัยแห่งอำนาจด้วย
ซึ่งมันจะสร้างจิตสำนึกที่มีต่ออำนาจอีกแบบขึ้น
โดยเฉพาะจิตสำนึกที่ว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของอำนาจโดยเด็ดขาด
ข้อดีของสำนึกแบบนี้่ก็คือ มันสามารถป้องกันเผด็จการได้ทุกรูปแบบ
ไม่ว่าเผด็จการทหาร (ปืน)
เผด็จการทุนนิยม (เงิน)
กระทั่งเผด็จการโดยม็อบ (คน)
คำถามก็คือ สังคมกล้ายอมรับมั้ยว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง
ไม่ว่าผู้ปกครอง รวมไปถึง ประชาชน ด้วย
แต่อำนาจเป็นเพียงสภาวะชั่วคราวที่เกิดจากการ
อิงอาศัยซึ่งกันและกันเท่านั้น
การศึกษาทีี่่ลงลึกถึงสภาพหรือลักษณะการอิงอาศัยกันนี่ล่ะครับ
น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างทางเลือกที่สามให้แก่สังคมไทย
Create Date : 10 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 14 เมษายน 2556 15:39:52 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1133 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|