|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปัญหาโครงสร้างประเทศไทย : ระบบอุปถัมภ์
กรณีหนึ่งที่เป็นที่ถกเถียงกันมากก็คือการที่รัฐบาลทักษิณได้เข้ามาแบ่ง
ผลประโยชน์บางส่วนให้แก่รากหญ้า ประเด็นนี้ผมสงสัยมาตลอดว่า
สิ่งที่รัฐบาลทักษิณทำไปนั้นมันกระทบต่อ
โครงสร้างเดิมที่อยุติธรรมบ้างหรือไม่
ผมคิดว่าไม่ สิ่งที่รัฐบาลทักษิณทำเป็นเพียงการรวบอำนาจ
จากกลุ่มอำนาจเดิมเท่านั้น แต่โครงสร้างเดิมมิได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร
นั่นคือ
1.ภาวะการพึ่งพิงระบบอุปถัมภ์
2.โครงสร้างการจัดการทรัพยากรมีลักษณะผูกขาด
ทั้งสองโครงสร้างคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยมีปัญหา
ประเด็นเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์
อ.อเนก เหล่าธรรมทัศน์ เคยตั้งข้อสังเกตุเอาไว้ว่า สภาพชนบท
ที่มีขนาดใหญ่โตนั้นมิใช่สภาวะที่เอื้อต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น
ล้วนแต่มีขนาดของสังคมชนบทที่ไม่ใหญ่โตมากนัก
พูดอีกแง่หนึ่งก็คือ ประชาธิปไตยมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ
ในสังคมที่มีลักษณะเป็นเมืองมากกว่าชนบท
กระนั้น "เมือง" ที่ว่านี้ ไม่จำเป็นต้องโตเดี่ยวแบบกรุงเทพ
แต่อาจเป็นเมืองขนาดเล็ก ๆ
ในความรู้สึกผม ระบบอุปถัมภ์เป็นปรากฏการณ์ปกติที่พบเห็นได้ทั่วไป
ในหลาย ๆ ประเทศรวมถึงในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย
อาทิ การที่รัฐบาลกำหนดนโยบายเอื้อต่อบริษัทข้ามชาติบางบริษัท
ลักษณะของระบบอุปถัมภ์เหล่านั้น
เป็นความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของตลาดเป็นสำคัญ
กล่าวคือ ทั้งสองฝ่าย มีสถานะภาพที่ใกล้เคียงกัน ไม่ได้มีสำนึกในเรื่องของ
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เด่นชัด แต่ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่าย
อยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนและความสมัครใจ
ซึ่งเป็นลักษณะของความสัมพันธ์เชิงตลาด นี่ย่อมแตกต่างเป็นอย่างมาก
กับระบบอุปถัมภ์แบบไทย ๆ ที่มีความหลากหลายซับซ้อน
ลักษณะระบบอุปถัมภ์ในประเทศไทยอิงอาศัยกับความสัมพันธ์
ที่หลากหลายกว่ามาก อาทิ
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ = ใครใหญ่กว่าใคร
ความสัมพันธ์เชิงตลาด = การแลกเปลี่ยนที่ต่างฝ่ายต่างหยิบยื่นให้
ความสัมพันธ์เชิงศีลธรรม = บุญคุณ และการตอบแทนบุญคุณ
ด้วยความหลากหลายของความสัมพันธ์ดังกล่าว
จึงนำมาซึ่งปฎิสัมพันธ์ของกลุ่มรากหญ้าที่มีต่อระบบอุปถัมภ์ในลักษณะ
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ =ความเกรงกลัว , ความเกรงใจ
ความสัมพันธ์เชิงตลาด =ความสมัครใจ
ความสัมพันธ์เชิงศีลธรรม =ความชอบธรรม
และผลบั้นปลายที่เกิดขึ้นก็คือ ความจงรักภักดี
ผมไม่แน่ใจว่าระบบอุปถัมภ์ในประเทศอื่นจะมีลักษณะเช่นนี้บ้างหรือไม่
แต่ที่ผมแน่ใจอยู่อย่างก็คือ สำหรับรากหญ้าในไทยแล้วระบบอุปถัมภ์
เป็นสิ่งจำเป็นและมีความชอบธรรมสูงยิ่ง
อีกประการหนึ่ง อำนาจเชิงอุปถัมภ์เองก็มิได้ผูกขาดอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ลักษณะเด่นของระบบอุปถัมภ์ในประเทศไทย คือ
ส่วนกลางไม่สามารถผูกขาดอำนาจเชิงอุปถัมภ์ได้เพียงผู้เดียว
ตรงจุดนี้จึงแตกต่างจากระบบอุปถัมภ์ในบางประเทศ อาทิ
อินโดนีเซียในยุคซูฮาร์โตเป็นประธานาธิบดี
ซึ่งอำนาจถูกผูกขาดอยู่ที่ครอบครัวของซูฮาร์โตเพียงกลุ่มเดียว
ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงระบบอุปถัมภ์ในประเทศไทยจึงต้องพูดถึงทั้งระบบโดยรวม
ไม่ว่า ทุนนิยมอุปถัมภ์ อำมาตยาอุปถัมภ์ อิทธิพลอุปถัมภ์ ฯ
ข้อเท็จจริงก็คือทุกรัฐบาลที่ผ่านมา
ล้วนอาศัยระบบอุปถัมภ์ทั้งสิ้น รวมทั้งรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณด้วย
ยังไม่มีรัฐบาลไหนที่คิดทำลายโครงสร้างระบบอุปถัมภ์อย่างจริงจัง
นอกจากความพยายามในการใช้ประโยชน์จากระบบอุปถัมภ์ผ่าน
กระบวนการบางอย่างแต่รัฐบาลทักษิณมีความพิเศษกว่า
สิ่งที่รัฐบาลทักษิณได้เพิ่มเข้าไปก็คือ นโยบายบางอย่าง
เช่น กองทุนหมู่บ้าน ฯ แต่ปัญหาก็คือ กระบวนการดังกล่าวมานั้น
มันมีส่วนในการลดอิทธิพลหรือเสริมความเข้มแข็งของระบบอุปถัมภ์กันแน่
บทความของอาจารย์นิธิ ในหนังสือพิมพ์มติชนรายสัปดาห์
กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า นับตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยเป็นต้นมา
นักการเมืองส่วนกลางได้ประสานเครือข่ายกับเจ้าพ่อในท้องถิ่น
ร่วมมือกันผลักดันให้เจ้าพ่อเข้าไปบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
แล้วนักการเมืองส่วนกลางก็ใช้อำนาจต่อรองของตนในพรรคหรือในรัฐบาล
ผลก็คือ การเมืองระดับชาติกับการเมืองระดับท้องถิ่น
มีความเชื่อมโยงกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของระบบอุปถัมภ์
การทำลายระบบอุปถัมภ์
ประเด็นนี้คือสิ่งสำคัญที่จะมีส่วนทำให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นมาได้อย่างแท้จริง
แต่ระบบอุปถัมภ์ไม่ใช่ก้อนอะไรสักอย่างที่จะเข้าไปทุบมันให้แตกละเอียด
ระบบอุปถัมภ์เกิดมาจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนหลากหลาย
การทำลายระบบอุปถัมภ์ที่แท้จริงจึงหมายถึง
1.การทำลายความชอบธรรมของระบบอุปถัมภ์และ
2.ลดสภาวะที่เอื้อต่อการเกิดระบบอุปถัมภ์
วิธีทำลายระบบอุปถัมภ์ที่ผมเห็นว่าน่าจะได้ผลอย่างยิ่งก็คือ
1.เศรษฐกิจพอเพียง (การพึ่่งตนเองในระดับปัจเจก)
2.สหกรณ์ (การพึ่งตนเองในระดับชุมชน)
สำหรับผมขอให้นิยามแก่เศรษฐกิจพอเพียงว่า คือ
" กระบวนการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
โดยเน้นการพึ่งพาตนเองและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด "
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยลดอิทธิพล
และความชอบธรรมของระบบอุปถัมภ์ ในขณะเดียวกัน ระบบเศรษฐกิจพอเพียง
จะช่วยสนับสนุนระบบสหกรณ์ให้เข้มแข็งขึ้นข้อสังเกตุอย่างหนึ่งก็คือ
ทั้งสองระบบไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแสวงหากำไร
แต่กำไรเป็นเพียงผลพลอยได้ที่จะเกิดขึ้นเอง
เมื่อรากฐานของระบบเข้มแข็งเพียงพอ
ในส่วนของสหกรณ์นั้น นี่คือเครื่องมือที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง
ที่สามารถลดอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์
รวมทั้งสร้างเกราะป้องกันตนเองจากกลุ่มทุน
ดังนั้น ในประเทศที่สหกรณ์มีความเข้มแข็ง
ย่อมส่งผลให้อำนาจต่อรองของเกษตรกรสูงขึ้นตามไปด้วย
แต่น่าแปลก นโยบายของรัฐบาลทักษิณที่ผ่านมากลับไม่มีนโยบาย
ที่สนับสนุนกิจการสหกรณ์อย่างเป็นรูปธรรม
ตราบใดที่โครงสร้างเกษตรกรรมยังคง
พึ่งพาเคมีเกษตรและพึ่งพิงตลาดมากเกินไป
ผมก็ยังมองไม่เห็นว่ารากหญ้าจะพ้นจากปัญหาหนี้สิน
ปัญหาสุขภาพและปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลทักษิณทำมานั้น ผมเห็นว่า
มันไม่ได้กระทบต่อโครงสร้างระบบอุปถัมภ์มากนัก
Create Date : 09 เมษายน 2552 |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2555 22:10:59 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2902 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Mermaid AI วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:9:22:03 น. |
|
|
|
โดย: นก IP: 110.49.186.141 วันที่: 14 สิงหาคม 2552 เวลา:23:39:47 น. |
|
|
|
โดย: concepct IP: 125.27.215.171 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:9:26:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|