|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
แกะรอยน้ำท่วม 54 บันทึกไว้ก่อนเลือน จาก ไทยรัฐ
อภิมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น ยังเป็นวาทะถกเถียงเอาดีใส่ตัว
เอาชั่วให้คนอื่นไม่จบสิ้น หาผู้หาญกล้ายืดอกแสดงความรับผิดชอบไม่ได้
เหมือนปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้มีทั้งโทษธรรมชาติ
ปีนี้มีพายุพัดเข้ามาก รวมทั้งคิดไกลมองเป็นเกม การเมือง
ฝ่ายตรงข้ามใช้ จับมือกับพระพิรุณ ปล่อยฝนตกหนัก
แล้วแอบกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนไว้ไม่ยอมปล่อยระบาย
วางยารอท่ารัฐบาลใหม่จะได้สำลักน้ำท่วมเสียความนิยมทางการเมือง
ข้อครหาสาดโคลนกันไปมาเป็นเรื่องจริง หรือจินตนาการ
เพื่อโบ้ยผิดให้พ้นตัวสังคมข้อมูลข่าวสารสารพัดสื่อยุคนี้
เป็นเรื่องยากที่คนไทยจะรู้ได้เท่าทัน นอกจากจะต้องย้อนรอย
ไปดูความเป็นมาของมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น
ในยุคเปลี่ยนผ่านระหว่างรัฐบาลเก่ากับรัฐบาลใหม่ มหาอุทกภัย 2554...ประเทศไทยเจอพายุซัดเข้ามาถึง 5 ลูกเต็มๆ
เกินปัญญาจะรับไหว จริงเท็จแค่ไหนบันทึกข้อมูลจากวิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรี ในข้อหัว ฤดูพายุไต้ฝุ่นแปซิฟิก พ.ศ.2554
มีพายุเกิดขึ้นทั้งหมด 34 ลูก...แต่มีพายุที่พัดเข้ามาแถวบ้านเราแค่ 5 ลูก
ลูกแรกเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน พายุ ไหหม่า
ตามด้วย นกเตน ตอนปลายเดือนกรกฎาคมเว้นระยะ
พักไปเกือบ 2 เดือน มาในช่วง 23 ก.ย.-5 ต.ค.
มีพายุก่อตัวไล่ตามกันมาติดๆ ถึง 3 ลูก นั่นคือ เนสาด
ตามติดด้วย ไห่ถาง และ ปิดท้ายด้วย นาลแกแต่พายุ 5 ลูกที่ว่านั้น...
ไม่ได้พัดเข้าไทยแบบเต็มๆ ทั้ง 5 ลูกแต่อย่างใด
ไหหม่า พายุลูกแรก พัดจากฟิลิปปินส์มุ่งหน้าทางตะวันตกเหนือ
ขึ้นเกาะไหหลำแล้วโฉบลงมาเข้าเวียดนาม อ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชัน
ถึงจะเข้าลาว...26 มิ.ย. มาถึงไทยสลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ
ยิ่ง เนสาดไห่ถางนาลแก แม้จะเป็นพายุ 3 ลูก
ที่ก่อตัวขึ้นมาในเวลาใกล้เคียงกัน แต่อิทธิพลความรุนแรงต่อไทย
สู้ไหหม่าไม่ได้เพราะ เนสาด ออกจากฟิลิปปินส์
มุ่งหน้าไปทางเหนือของเกาะไหหลำแล้วเข้าจีนไปเลย
ส่วน ไห่ถาง ก่อตัวในทะเลทางใต้ของฮ่องกง พัดหมุนวนอยู่
ในทะเลใกล้เวียดนามตอนเหนือ หมุนวนอยู่อย่างนั้น 4 วัน (24-27 ก.ย.)
แล้วสลายตัวขึ้นฝั่งเวียดนามกลายเป็นดีเปรสชัน
พอเคลื่อนเข้าลาวกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ
ก่อนจะเข้าไทยนาลแก มิต่างกัน แรกๆ ตั้งท่ามาแรง
เป็นซุปเปอร์ไต้ฝุ่นถล่มฟิลิปปินส์แรงได้วันเดียว
ลดระดับฮวบฮาบลงมาเป็นพายุโซนร้อนธรรมดา
เกรดต่ำกว่าไต้ฝุ่น จากนั้นโฉบไปขึ้นเกาะไหหลำ แล้วดาวน์เกรดลงมา
เหลือสถานะแค่ดีเปรสชัน จากนั้นวกลงใต้ขึ้นฝั่งเวียดนามที่เมืองดองฮอย
สลายตัวกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ
ก่อนจะเข้าลาวและไทยอีกเช่นกันในบรรดาพายุ 5 ลูก
ที่กล่าวอ้าง มีแค่ นกเตน เจ้าเดียวเท่านั้นที่พอ
จะพูดได้ว่าเป็นพายุที่พัดเข้าประเทศไทย...เพราะตอนพัดเข้าเวียดนาม
ก่อนจะเข้าลาวยังมีสถานะเป็นพายุโซนร้อน
ออกจากลาวจะเข้าไทยได้ลดระดับ เป็นดีเปรสชัน...
แต่ก็แค่วันเดียวมาถึง จ.น่าน สลายกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ
ถึงจะแค่ดีเปรสชัน...แต่พอจะคุยกับคนไม่รู้เรื่องอุตุนิยมวิทยาได้ว่า
ประเทศไทยมีพายุพัดเข้ามาเหมือนกัน น้ำจึงได้ท่วมเป็นมหาอุทกภัย
ในขณะที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์เจอพายุตัวแม่ของจริงไปเต็มๆ...
แต่ไฉนถึงไม่เป็นข่าววิกฤติระดับโลก
น้ำท่วมมาราธอนยาวนาน 34 เดือน เหมือนไทยเรา
ส่วนปมประเด็นพระพิรุณรับจ็อบนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม
วางยาเก็บกักน้ำไว้ในเขื่อน ในช่วงรอยต่อรัฐบาลเก่ารัฐบาลใหม่...
เท็จจริงเป็นเช่นไรต้องแกะรอยปริมาณน้ำในเขื่อน
ที่ประชาชนธรรมดาสามารถหาสืบค้นได้ในเว็บไซต์ ...
ได้ทั้งของกรมชลประทาน, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย,
สถาบันสาร สนเทศทรัพยากรน้ำและเกษตร (องค์การมหาชน)
ไม่ต้องดูทุกเขื่อนทั่วไทย...ดูกันแค่เขื่อนภูมิพล กับเขื่อนสิริกิติ์ ก็พอ
เพราะเป็นที่ถูกกล่าวหามากที่สุดเริ่มต้นจ้องมอง...
ดูปริมาณน้ำวันประกาศยุบสภาฯ
5 พ.ค.54 วันนั้น ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล มีอยู่ 45% ของความจุอ่าง
ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ มีอยู่ 50%...
ผ่านไปเดือนครึ่ง ก่อนไหหม่าจะพัดมา
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีอยู่ 55% เขื่อนสิริกิติ์ 54%
หลังไหหม่าสลายตัวไป 7 วัน และก่อนเลือกตั้ง 1 วัน...
2 ก.ค.54 น้ำในเขื่อนภูมิพล เพิ่มมาเป็น 58% ของความจุอ่าง
เขื่อนสิริกิติ์ มีน้ำเพิ่มเป็น 64% ยังเก็บน้ำได้อีกเยอะ
ห้วงเวลาถัดมา คนไทยรู้กันแล้วว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
29 ก.ค.54 ก่อนดีเปรสชันนกเตนจะถึงไทย...
น้ำในเขื่อนภูมิพล มีอยู่ 63% เขื่อนสิริกิติ์ 77%
5 ส.ค. สภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี...
เป็นวันที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีบันทึกไว้ว่า
เป็นวันสิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
และเป็นเริ่มต้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
8 ส.ค. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ดีเปรสชันนกเตนสลายตัวไป
8 วันแล้ว...ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล เพิ่มมาอยู่ที่ 69%
เขื่อนสิริกิติ์ 85%ปริมาณน้ำขนาดนี้ มากเกินไปหรือไม่...
ยังไม่อันตราย เพราะขีดความสามารถการรับน้ำของเขื่อนนั้น
รับได้ 100% และต่อให้เกิน 100% ระดับน้ำเพิ่มขึ้นมาจ่อสันเขื่อน
ก็ยังรับได้แต่ในทางปฏิบัติ ถ้าไม่มีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่ม
จะเก็บกักกันแค่ 100% เพราะถ้าปล่อยให้เกิน 100%
แรงดันน้ำจะกดทับประตูจนไม่สามารถเปิดประตู Spillway ได้นั่นเอง
25 ส.ค. รัฐบาลชุดใหม่เสร็จสิ้นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อย
คณะรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศได้เต็มสูบ...
ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล มีอยู่ 75% เขื่อนสิริกิติ์ 93%
และเป็นวันแรกที่เขื่อนสิริกิติ์เริ่มระบายน้ำผ่าน Spillway
วันละ 7.35 ล้านคิว นอกเหนือจากระบายน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าที่ระบายอยู่แล้ว
วันละประมาณ 50-60 ล้านคิว มาตั้งแต่ 4 ส.ค.54
ส่วนเขื่อนภูมิพลปริมาณน้ำอยู่ที่ 75% การระบายน้ำล้นยังไม่ได้ทำ
มีแต่ระบายน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าวันละ 20-30 ล้านคิวอยู่แล้ว
สถานการณ์ขณะนั้นน้ำท่วมยังคงอยู่แถวสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร...
คงจำกันได้ 28 ส.ค. 54 ชื่อ บางระกำโมเดล มาโผล่เอา
ตอนนายกรัฐมนตรี หญิงคนแรกของไทยไปเยี่ยมเยียน
แจกถุงยังชีพแถวนั้นทัพน้ำยังมาไม่ถึงนครสวรรค์สักเท่าไร
ให้บังเอิญเวลานั้นหลังจากนกเตนสลายตัว
ไม่มีพายุไหนพัดเข้ามาอีกเลย...รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
พายุเว้นวรรคให้ลืมน้ำท่วมไปได้ถึง 2 เดือน
วุฒิภาวะตระหนักภัยมือน้ำท่วมเลยจืดจาง ปล่อยให้มหาดไทย
สิงห์คลองหลอดขยันใช้งบฉุกเฉินซื้อถุงยังชีพแจก
รับหน้าสื่อแก้ปัญหา...ส่วนรัฐบาลหันไปให้ความสำคัญ
เรื่องอื่นที่ใหญ่กว่าแทน
27 ส.ค. ลดราคาน้ำมัน,
6 ก.ย. ย้ายเลขาธิการ สมช.เพื่อจะได้โยก ผบ.ตร.
มานั่งแทนแล้วดันญาติมาเป็นใหญ่ใน สตช.,
13 ก.ย. รถยนต์คันแรก,
20 ก.ย. บ้านหลังแรก
และแล้ววันเวลาหลงระเริงประชานิยมต้องหยุด เมื่อ 3 พายุก่อตัว
อาละวาดในช่วงเวลาไล่ๆกัน
เนสาด (23-30 ก.ย.),
ไห่ถาง (24-27 ก.ย.),
นาลแก (26 ก.ย.-5 ต.ค.)
พร้อมๆกับน้ำท่าเริ่มรุกเข้านครสวรรค์-อุทัยธานี-ชัยนาท-อ่างทอง-
สิงห์บุรี-ลพบุรี-อยุธยา5 ต.ค.54 เริ่มมีการระบายน้ำ
ออกจากเขื่อนภูมิพลทางประตูน้ำล้นวันละ 40 ล้านคิว
เพิ่มเติมจากที่ระบายเพื่อผลิตไฟฟ้าอยู่แล้ว 60 ล้านคิว
เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนเพิ่มขึ้นมาเป็น 98% ของความจุเต็มอ่าง
ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณน้ำอยู่ที่ 99% แต่ไม่ระบายน้ำล้น
ระบายแค่เพื่อผลิตไฟฟ้าวันละ 60 ล้านคิว6 ต.ค.
น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนคร, 7 ต.ค.
เทศบาลอโยธยาใจกลางเมืองอยุธยาจมบาดาล...
และผู้นำเพิ่งตั้งหลักได้ ตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
(ศปภ.) ขึ้นที่สนามบินดอนเมือง
8 ต.ค.น้ำทะลักแนวกั้นนิคมอุตสาหกรรม
โรจนะ และอีกหลายนิคมอุตสาห กรรมจมน้ำตามมา
เพราะเอาอยู่...จนกลายเป็นตำนานให้เล่าขานไปอีกนาน
พระพิรุณรับจ็อบ หรือคนมีจ็อบแต่ทำไม่เป็น...
ทั้งที่มีอำนาจเต็มตัวและมีเวลาให้รับมือถึง 2 เดือน
เมื่อมีปัญญาคิดทำได้เท่านี้...สมควรแล้วที่ต้องโทษผีสางเทวดา
อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 "//www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/218830"
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2554 |
Last Update : 15 มิถุนายน 2556 15:08:40 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1048 Pageviews. |
|
|
|
โดย: thebe01 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2554 เวลา:19:27:27 น. |
|
|
|
|
|
|
|
.
.
.
.
.
.