Bloggang.com : ART19 : บิดเบือน โดย เขื่อนขันธ์ จาก เดลินิวส์

บิดเบือน โดย เขื่อนขันธ์ จาก เดลินิวส์

ไม่แปลกใจกับอาการทุรนทุรายของ “นายนพดล ปัทมะ”

อดีต รมว.การต่างประเทศ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช

เพราะใครที่โดนโจมตีว่า เกี่ยวข้องกับกระบวนการ ’ขายชาติ“

หรือยอมเปิดทางให้เพื่อนบ้านเข้ามายึดครองผืนแผ่นดินไทย

แล้วแก้ข้อกล่าวหาไม่ได้ ก็แทบจะหมดอนาคตทางการเมือง

ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

มีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องนายนพดลในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ

หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

จากกรณีไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย. 2551

สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ 2550

ผมจึงเห็นว่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง กับอดีตบุคคลซึ่งเคยทำหน้าที่

ตำแหน่ง รมว. การต่างประเทศ จะได้ใช้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ความจริง

แม้ที่ผ่านมา นายนพดล ซึ่งปัจจุบันผันกายไปรับตำแหน่ง

ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

จะออกมายืนยันว่า บันทึกฉบับดังกล่าวช่วยรักษาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร

แต่ดูเหมือนเสียงเห็นด้วยจะแผ่วเบาเหลือเกิน เนื่องจากการเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร

เป็นมรดกโลก กัมพูชา ต้องเสนอแผนบริการจัดการพื้นที่รอบ ๆ ไปด้วย

จะมีแต่นักวิชาการที่ยอมรับเงิน 7 กว่าล้านบาท เพื่อแลกกับการขายชาติ

กับสื่อในเครือข่ายของนายใหญ่ที่ออกมาโยนข้อกล่าวหาใส่องค์กรอิสระที่วินิจฉัยว่า

การจัดทำข้อตกลงดังกล่าวขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า บิดเบือนข้อเท็จจริง

นายนพดลไม่ได้ทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 157

ขณะที่ความเห็นของคนส่วนใหญ่ในประเทศล้วนตั้งข้อสังเกตว่า

บันทึกข้อตกลงเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 51 จะนำไปสู่ความเสียหายอย่างร้ายแรง

แม้กระทั่งข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ อย่าง “นายวีรชัย พลาศรัย”

สมัยดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เคยมีบันทึกช่วยจำคัดค้านเรื่องนี้

แต่นายนพดลไม่ยอมรับฟัง ซึ่งในที่สุดนายวีรชัยถูกย้าย

ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง

แม้จะปรากฏข้อมูลภายหลังว่า การย้ายนายวีรชัย เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจบางคน

ต้องการเอกสารคดีซีทีเอ็กซ์ ที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ช่วยแปลให้ คตส.

(คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ซึ่งนายวีรชัยไม่ขัดข้อง

แต่เห็นว่าควรต้องมีเอกสารแจ้งขอเป็นลายลักษณ์อักษร

เนื่องจากเป็นเอกสารลับที่จะใช้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

แต่ที่แน่ ๆ ในระหว่างที่นายวีรชัยขึ้นเบิกความต่อศาลโลก เพื่อไต่สวนคดีปราสาทพระวิหาร

ทีมกฎหมายไทย ไม่ได้นำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ โดยกล่าวกับสื่อภายหลังว่า

เราไม่ได้นำมาอ้างว่า แต่กัมพูชานำมาอ้าง แผนที่แนบไม่มีเส้นในมติ ครม. 2505 อยู่

เราก็ตอบไปว่า ทีทนายคนนั้นพูดอย่างนี้ ขอให้ไปดูทรัพย์สินที่ขึ้นล้ำเข้ามาในมติ ครม. ของเรา

ก่อนหน้านั้น รัฐบาลภายใต้การนำของ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์”

ได้คัดค้านการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว

เพราะได้พ่วงเอาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยเข้าไปด้วย

โดย “นายมนัสพาสน์ ชูโต” เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐ คัดค้านไว้ในระหว่างการประชุม

คณะกรรมการมรดกโลก ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์

จนกัมพูชาไม่สามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้

ขณะที่คำฟ้องของ ป.ป.ช. ตอนหนึ่งต่อการทำบันทึกข้อตกลงเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 51 ว่า

’เป็นการแสดงเจตนายืนยันชัดแจ้งถึงการยอมรับ ในแผนที่กำหนดแนวเขตที่จัดทำโดยกัมพูชา

แต่ฝ่ายเดียว แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาจึงมีลักษณะเป็นหนังสือสัญญา

ที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย ประเด็นการกระทำของนายนพดล

จึงขัดต่อมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ...“

ครับ...ความจริงพูดกี่ครั้งก็ยังเป็น ความจริง.

..........................

เขื่อนขันธ์

อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คอลัมน์ คมคิดคนเขียน

ฉบับวันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556

Create Date : 02 พฤษภาคม 2556

Last Update : 15 มิถุนายน 2556 14:38:37 น.

0 comments

Counter : 1199 Pageviews.