ตำนานรัตนสูตร



170ตำนานรัตนสูตร

    ในอรรถกถารัตนสูตรกล่าวว่า   แต่เดิมมากรุงเวสาลี  นครหลวงแห่งแคว้นวัชชี เป็นเมืองมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาธัญญาหาร เนืองแน่นไปด้วยอาณาประชาราษฎรร่มเย็นเป็นสุข ไม่เคยประสบความยากแค้นใดๆ   อยู่มาคราวหนึ่งในสมัยพุทธกาลนั้นเอง พระนครนั้นเกิดฝนแล้งขาดแคลนอาหารถึงขนาด คนยากจนอดตายก่อนเพื่อน ซากศพถูกทิ้งเกลื่อน
พวกอมุษย์ได้กลิ่นซากศพ พากกันเข้าไปในพระนคร ซ้ำเติมทำอันตรายแก่มนุษย์ ก็ยิ่งทำให้คนตายมากขึ้น ในที่สุดเมื่อปฏิกูลมากเข้า อหิวาตกโรคก็เกิดระบาดไป ทำให้คนตายเหลือที่จะนับ นครเวสาลีได้ประสบภัย ๓ ประการพร้อมๆกัน ด้วยประการฉะนี้ คือ ทุพภิกขภัย (ข้าวยากหมากแพง) ๑ อมนุสภัย (ภัยจากอมนุษย์) ๑ โรคภัย (เกิดอหิวาตกโรค) ๑

   ชาวเมืองชวนกันเข้าไปร้องทุกข์ต่อพระราชาว่า ภัยร้ายแรง ๓ ประการนี้ ไม่เคยมีเลยในเมืองนี้นับได้ ๗ ชั่วคนแล้ว ชะรอยท่านผู้ครองรัฐจะประพฤติไม่ชอบด้วยทำนองคลองธรรมหรือไฉน จึงเกิดยุคเข็ญเช่นนี้
พระราชาพระทัยเด็ด โปรดให้ชาวเมืองประชุมกันที่ศาลากลางเมือง วิจัยความผิดของพระองค์ ก็ไม่เห็นความผิดของพระราชาสักน้อยหนึ่ง เป็นอันว่าภัยทั้งนี้มิใช่เกิดเพราะความอธรรมของผู้ครองรัฐแต่ประการใด จึงปรึกษากันต่อไปว่า ทำอย่างไรภัยร้ายแรงทั้ง ๓ นี้จึงจะสงบ
ผลการปรึกษาขั้นสุดท้ายตกลงให้เชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโปรด ด้วยเชื่อว่า พระองค์เป็นผู้ทรงพระมหากรุณาและมีมหิทธานุภาพ เมื่อพระองค์เสด็จมา ภัยจะระงับกลับเกิดความสวัสดีโดยฉับพลัน

   เวลานั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงราชคฤค์แคว้นมคธ ในรัชสมัยพระเจ้าพิมพิสาร ชาววัชชีเกรงพระเดชานุภาพของพระองค์มาก และเกรงภัยการเมืองจะซ้ำเติมเอาเป็น ๔ ภัย จึงแต่งให้เจ้าลิจฉวี ๒ องค์ เป็นราชทูตคุมเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระองค์มาก ทูลความให้ทรงทราบแล้วขอพระราชทานวโรกาส กราบทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรดชาววัชชี ก็ได้รับราชานุเคราะห์เป็นอันดี ทูตชาววัชชีได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลเล่าความทุกข์ยาก แล้ววิงวอนเชิญเสด็จไปโปรดชาวกรุงเวสาลีให้พ้นภัย

   พระบรมศาสดาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงคำนึงเห็นว่า หากพระองค์เสด็จไปกรุงเวสาลีในครั้งนี้ จะได้ประโยชน์ถึง ๒ อย่าง คือ ภัยจะสงบไปอย่างหนึ่ง ชาววัชชีได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว จะได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก นั้นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสรุปได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการแผ่พระศาสนา จึงรับนิมนต์

   พระเจ้าพิมพิสารทราบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์ ก็โปรดให้รีบแต่งทางเสด็จพระพุทธดำเนิน ระยะทางจากกรุงราชคฤค์ถึงแม่น้ำคงคาอันเป็นพรมแดนแห่งแคว้นทั้งสองนั้น ๕ โยชน์ รับสั่งให้ปราบพื้นถมดินทำทางให้เรียบ ให้ปลูกที่ประทับแรมทุกโยชน์ เตรียมให้เสด็จพระพุทธดำเนินแต่วันละโยชน์แล้วทูลเชิญเสด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากรุงราชคฤห์พร้อมด้วยภิกษุเป็นพุทธบริวาร ๕๐๐ รูป การส่งเสด็จคราวนั้น ทำอย่างเอิกเกริกมโหฬาร   จัดคนกั้นร่มถวายภิกษุทุกรูป  จัดอาหารเลี้ยงพระเลี้ยงคนทุกที่พักแรม เสด็จถึงแม่น้ำคงคาเป็นเวลา ๕ วันพอดี

   เรือที่จะใช้เป็นเรือส่งเสด็จข้ามฝากนั้น พระเจ้าพิมพิสารโปรดให้แต่งเป็นเรือขนาน (คือเรือ ๒ ลำ ตรึงติดกัน) ทำมณฑปเป็นที่ลาดพุทธอาสน์ และจัดที่ให้พระภิกษุทั้งปวงนั่งเป็นระเบียบ ตัวเรือนั้นก็ตกแต่งงดงามยิ่งนัก

   ข้างฝ่ายกรุงเวสาลีนั้น มีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ เตรียมการรับเสด็จเป็นการใหญ่ แต่งทางตั้งแต่แม่น้ำคงคาจนถึงกรุงเวสาลี ซึ่งเป็นระยะทาง ๓ โยชน์ อย่างเดียวกับที่ฝ่ายกรุงราชคฤค์ทำ แต่เพิ่มความมโหฬารขึ้นเป็น ๒ เท่า คอยรับเสด็จอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาในแดนของตน

   เมื่อเรือส่งเสด็จใกล้ฝั่งวัชชีเข้าไป บัดดลก็มีเมฆฝนตั้งขึ้นมืดมาทั้ง ๔ ทิศ ฟ้าแลบแปลบปลาบ พอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่างพระบาทแรกเหยียบดินที่ฝั่งแม่คงคาแดนวัชชี ฝนโบกขรพรรษก็ตกพรูลงมา   ฝนชนิดนี้ท่านกล่าวว่า ใครอยากให้เปียกก็เปียก ใครไม่อยากให้เปียกก็ไม่เปียก และที่เรียกว่า “โบกขรพรรษ” นั้น ก็อธิบายว่า ฝนเหมือนน้ำตกในใบบัว  ฝนตกมากและนาน   น้ำไหลนองพัดพาสิ่งโสโครกต่างๆลงแม่น้ำลำคลองไปสิ้น พื้นดินซึ่งแห้งผากแลโสโครก ก็ชุ่มเย็นและสะอาดทั่วไปในแคว้นวัชชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณกรุงเวสาลีอันเป็นแดนภัย การนำเสด็จจากฝั่งแม่คงคาถึงกรุงเวสาลี เป็นเวลา ๓ วันพอดี

   ครั้นพระผู้มีพระภาคถึงเวสาลี พระอินทร์พร้อมด้วยเทพบริวารเป็นอันมากก็มา ณ ที่นั้น เทวดาซึ่งเป็นใหญ่กว่ามากันมาก พวกอมนุษย์ก็ต้องถอยร่นหลบหลีกหนีไปเป็นอันมาก

   พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยืนที่ประตูพระนครเวสาลี รับสั่งให้พระอานนท์เรียนรัตนสูตร แล้วให้เข้าไปทำปริตรในภายในกำแพงสามชั้นแห่งกรุงเวสาลี  พร้อมด้วยเจ้าชายลิจฉวีทั้งหลายติดตามห้อมล้อมไปด้วย
พระอานนท์เรียนจำรัตนสูตรซึ่งพระผู้มีพระภาคประทับยืน  ตรัสบอกที่ประตูเมืองนั้นเองได้แล้ว ก็ขอพระพุทธานุญาตใช้บาตรของพระองค์ใส่น้ำเดินสวดรัตนสูตร พลางซัดน้ำในบาตรไปจนทั่วพระนคร

  พอพระเถรเจ้าสวดขึ้นบท ยงฺกิญฺจิ วิตฺตํ พวกอมนุษย์หัวดื้อที่ไม่ยอมหนีไปแต่แรก (เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึง และเทวดาพวกพระอินทร์มา) แอบอยู่ตามที่ต่างๆ ก็ทนอยู่ไม่ไหวอีกต่อไป ชิงกันหนีออกทางประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู แน่นอัดยัดเยียด บางพวกทนรอออกทางประตูไม่ไหว ช่วยกันพังกำแพงหนีกระเจิงไปหมดสิ้น พอพวกอมนุษย์ออกไป โรคในตัวมนุษย์ก็หาย ผู้ที่หายโรคลุกได้ ก็ออกมาบูชาพระเถรเจ้าด้วยเครื่องบูชาต่างๆ

   ในการรับเสด็จในเมืองเขาจัดแต่งศาลากลางเมืองเป็นที่ประทับ เมื่อเชิญเสด็จพระพุทธองค์ไปประทับแล้ว ภิกษุสงฆ์ คณะลิจฉวี ราษฎรก็เข้าไปเฝ้าที่นั่น แม้สักกเทวราชก็พาเทวดาทั้งปวงมาเฝ้าที่นั่นด้วย

  ฝ่ายพระอานนท์เถรเจ้าเที่ยวทำการรักษาทั่วกรุงเวสาลีแล้ว ก็มาเฝ้าที่นั่น มีชาวพระนครเวสาลีติดตามมาเฝ้าด้วยเป็นอันมากรวมเข้าด้วยกัน ทุกพวกทุกเหล่าเป็นมหาสมาคม
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรัตนสูตรซ้ำอีกในมหาสมาคมนั้น เมื่อจบเทศนาลง ทุกสิ่งทุกอย่างดีหมด สรรพอุปัทวันตรายภัยพิบัติสงบหาย ความสวัสดีสุขใจสุขกายเกิดปกแผ่ทั่วไป พุทธเวไนยได้ศรัทธาปสาทะและเกิดความรู้ธรรมเป็นอันมาก ฯลฯ แต่นั้น ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล พืชพรรณธัญญาหารกลับอุดมเหมือนดังเดิม

ภัยร้ายแรง ๓ ประการในกรุงเวสาลี ถึงซึ่งความรำงับดับหายไปโดยเร็ว ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธปริตรคือรัตนสูตร ดังพรรณนามาฉะนี้


   หมายเหตุ   การสวดรัตนสูตรนี้ โดยทั่วไปมักสวดแบบย่อขึ้น ยงฺกิญฺจิ วิตฺตํ ไปถึงบท เย สุปฺปยุตฺตา แล้ว ก็ตัดข้ามไปสวดบท ขีณํ ปุราณํ เพียงนี้เท่านั้น ส่วนยานีอีก ๓ บทข้างท้ายนั้น เรียกว่า ยานีน้อย มักตัดออกไปเลยไม่สวด

   รัตนสูตรเป็นบททำน้ำมนต์  พระที่เป็นหัวหน้าจะเริ่มหยดเทียนลงในที่น้ำมนต์ ตั้งแต่ เย สุปฺปยุตฺตา หรือ ขีณํ ปุราณํ เป็นอย่างช้า   พอถึง นิพฺพนฺติ ธีรา ยถายมฺปทีโป   ก็ดับเทียน โดยจุ่มลงไปในน้ำมนต์   เป็นอันเสร็จการทำน้ำมนต์เพียงเท่านี้
ที่ดับเทียนเมื่อสวดถึงตรงนี้ก็โดยเคล็ดแห่งคำบาลีนั้น ซึ่งมีความว่า กิเลสและความทุกข์ของพระอริยเจ้าดับ เหมือนประทีปดวงนี้ดับไปฉะนั้น   ส่วนเหตุผลที่ว่า   ทำไมใช้บทนี้เป็นบททำน้ำมนต์ ตำนานบ่งชัดอยู่แล้ว



Create Date : 14 กรกฎาคม 2565
Last Update : 14 กรกฎาคม 2565 7:46:29 น.
Counter : 337 Pageviews.

0 comments
ธรรมะวันนี้ ๒๘ ม.ค. ๒๕๖๘ **mp5**
(28 ม.ค. 2568 05:54:54 น.)
จิตผู้รับทราบความหมาย นาฬิกาสีชมพู
(27 ม.ค. 2568 10:25:47 น.)
รวมธรรม25 นาฬิกาสีชมพู
(25 ม.ค. 2568 12:40:37 น.)
รวมธรรม20 นาฬิกาสีชมพู
(18 ม.ค. 2568 19:27:14 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด