เรื่องเล่าจากคนทำป้ายสุสานจีน (ตอนต่อ) ข้อมูลเพิ่มเติมครับ คือ ตามปกติการฝังศพของธรรมเนียมชาวจีน มาจากหลักการเบญจธาตุ ดิน น้ำ ลมไฟ ทอง ที่ธาตุทั้งห้าต้องเกื้อกูลกัน ในขณะเดียวกันก็จะทำลายล้างซึ่งกันและกัน เพื่อปรับสมดุลย์ให้กับธรรมชาติ ดังนั้นการที่ศพที่ไม่เน่าเปื่อยหลังจากการฝังศพแล้ว ตามธรรมเนียมชาวจีนโดยส่วนมากแล้ว จะถือว่าเป็นการผิดธรรมชาติและไม่เป็นมงคลอย่างหนึ่ง ยกเว้นแต่ศพของพระอรหันต์จีนหรือนักบุญชาวจีน อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้ได้รับการยกเว้น มีศพแม่ชีชาวจีนไม่เน่าเปื่อยที่สุสานวัดถาวรวราราม-หาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้ย้ายไปบรรจุที่ฌาปนสถานที่อื่นแล้ว ดังนั้นจากการที่มีสารคดีหลายเรื่องที่ มีการขุดค้นพบศพกษัตริย์หรือราชินีของคนจีน จะสวมหยกขาวหรือหยกเขียวต่าง ๆ สภาพศพก็มักจะเสื่อมสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ ไม่ใช่ไม่เน่าเปื่อยแบบการทำมัมมี่ของทางอียิปต์หรือทางอินคา บางตำนานหรือความเชื่อบางแห่งจะถือว่า การที่ศพของบรรพบุรุษไม่เน่าเปื่อย แสดงว่ายังมีกังวล หรือยังห่วงใย หรือยังต้องติดตามดูแลลูกหลานญาติพี่น้องอยู่ ส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้า/ความเป็นอยู่ของครอบครัวลูกหลาน ในด้านที่จะมีปัญหาตลอดเวลาทั้งด้านทรัพย์สินเงินทองหรือสุขภาพร่างกาย ดังนั้นถ้าช่วงย้ายศพเมื่อครบยี่สิบปีแล้ว(ธรรมเนียมบางแห่งให้ย้ายได้) หรือรับรู้ว่าศพบรรพบุรุษที่ไม่เน่าเปื่อยแล้ว ลูกหลานชาวจีนจะถือว่าไม่เป็นมงคล/ผิดธรรมชาติอย่างหนึ่ง จึงต้องทำให้เสื่อมสภาพโดยเร็วคือ ให้กลายเป็นธาตุดิน ธรรมเนียมดังกล่าวนี้อาจจะขัดแย้งกับความเชื่อของชาวไทย ที่ถือว่าศพที่ไม่เน่าเปื่อยเป็นของขลังหรือเป็นกุมารทอง เป็นต้น ในยุคก่่อนการเวลาีมีพิธีล้างป่าช้าคนจีน ถ้าพบศพไม่เน่าเปื่อยก็จะมีการทำให้เสื่อมสภาพ โดยการขูดเนื้อเครื่องในออกให้หมดเหลือแต่กระดูก หรือนำเข้าไปเผารวมให้สิ้นสภาพเดิมไปเลย แทนการที่จะเก็บรักษาไว้บูชาเหมือนบางแห่งในปัจจุบัน ส่วนที่ภาคใต้ก็มีพระสงฆ์หลายรูปที่มรณภาพ แล้วสภาพศพไม่เน่าเปื่อยแข็งเป็นหินไปเลย แต่จะมีพิธีเปลี่ยนสบงจีวรแล้วแต่จะกำหนดไปครั้งคราวไป เช่น หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์ ที่จันดี อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่จังหวัดชุมพร หลวงพ่อเขียว วัดหรงบน ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น ในส่วนนี้ถือว่าเป็นข้อยกเว้นกรณีพิเศษทั้งธรรมเนียมไทยและจีน ส่วนการทำบุญให้คนตายของชาวไทยปักษ์ใต้(ภาคใต้) สมัยก่อนจะมีสามวันหลัก คือ สงกรานต์ บุญเดือนสิบ วันครบรอบวันตาย หรือแล้วแต่ลูกหลานตกลงกัน จะเลือกวันปฏิทินสากล หรือวันทางจันทรคติ หรือบางแห่งถือเป็นธรรมเนียมว่าจะนัดหมายวันเพ็ญเดือนไหน มาทำบุญร่วมกันให้ญาติพี่น้องทุกรายที่ถึงแก่กรรมในวันนั้นรวมหมดเลย เช่น ชาวระโนด มีวันสหญาติ เป็นวันรวมญาติพี่น้องมาร่วมทำพิธีกัน ดังนั้น คนปักษ์ใต้แม้ว่าอยู่ที่ภาคเหนือ ภาคอิสาณ หรือภาคกลาง ต้องนัดหมายกันไปทำบุญเดือนสิบที่วัดไหนสักแห่งหนึ่ง เช่นที่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ โดยเฉพาะบุญเดือนสิบ (วันชิงเปรต) เป็นวันสำคัญที่สุดของชาวใต้เพราะ ถือว่าเ็ป็นวันที่ต้องทำบุญให้บรรพบุรุษที่เป็นเทวดาและเปรต จะได้มารับส่วนบุญ หรืออวยพรให้เหล่าลูกหลาน อีกนัยหนึ่งคือ การมารวมญาติพี่น้อง มาลำดับความเป็นไปเป็นมาของญาติพี่น้อง ทีี่่มีบรรพบุรุษร่วมกัน หรือมีความเกี่ยวดองกันทางด้านบรรพบุรุษ ส่้วนรายละเอียดประเภทศพที่ไม่เน่าเปื่อย ที่พิพิธภัณฑ์ของโรงพยาบาลศิริราช จะมีเก็บศพประเภทนี้อยู่จำนวนมาก (หลากหลายประเภท) ให้ลองสอบถามภัณฑกร หรืออาจารย์ หรือเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ ก็จะทราบรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ที่เรียนมาสมัยก่อนวิชานิติเวชวิทยา (สำหรับสายสังคมศาสตร์) คือ ตายในบริเวณที่มีเชื้อโรคต่ำมากกว่าเกณฑ์ปรกติ เช่น ในถ้า ป่าเขา หรือ แห้งไปเลยในที่ร้อนจัด ๆ หรือหนาวจัด ๆ เช่น ตามทะเลทราย เทือกเขาแอลป์ เทือกเขาหิมาลัย(Everest) หรือมีสารเคมีบางอย่างในดิน/หนองน้ำแถบนั้นรักษาสภาพศพไว้ อย่างแถบยุโรปตอนเหนือ มีสารคดีหลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยกเว้นแต่กรณีการใช้น้ำยาเคมีแบบการทำมัมมี หรือแบบสมัยใหม่ที่ใช้การแช่แข็งในสารเคมีความเย็นยิ่งยวด เป็นต้น ส่วนศพของพระภิกษุ/แม่ชี ที่ไม่เน่าเปื่อย ก็ขอยึดหลักของพระพุทธศาสนาคือ อจินไตย ไม่ควรรับรู้ ไม่ควรสนใจ นอกเหนือการรับรู้ปกติของคนธรรมดาสามัญ เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้หรือปฏิบัติธรรม หรือช่วยการบรรลุมรรคผลนิพพานแต่ประการใด แถมยังทำให้ต้องครุ่นคิดมากปวดหัวเปล่า ๆ โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 9 สิงหาคม 2552 เวลา:12:43:38 น.
|
บทความทั้งหมด
|