เทศกาลไหว้พระจันทร์-วันขับไล่มงโกล คือ สำหรับคนมีเงินก็จะซื้อโคมไฟข้างในจุดเทียน เดินเวียนรอบตัวเมืองหาดใหญ่ แต่สำหรับเด็ก ๆ ที่เงินทองไม่พอก็ใช้กระป๋องนมของร้านกาแฟ เจาะรูด้านหลังกระป๋องหลาย ๆ รู แล้วปักเทียนข้างในกระป๋อง พร้อมกับใช้เชือกพันรอบกระป๋องเดินถือแทนโคมไฟก็เท่ห์ไปอีกแบบ หรือเอากระดาษสีปิดด้านหน้า แต่ต้องระมัดระวังไฟไหม้เช่นกัน การไหว้พระจันทร์สมัยก่อนในหาดใหญ่ เป็นการโชว์ถึงฐานะความเป็นอยู่และการจัดของให้สวยงาม ประกวดประชันกันในทีให้คนรอบข้างหรือคนเดินผ่านเห็น ต่อมาเมื่อ นีล อาร์มสตอง เหยียบพระจันทร์ ก็เกิดความรู้สึกสา(ไม่ดี/ขยะแขยง) ประเพณีนี้เลยค่อย ๆ เลือนลาง หรือหายไปจากความนิยมส่วนหนึ่ง กอปรกับบ้านเมืองเจริญขึ้น การเดินไปเดินมา อาจจะเป็นภยันตรายได้เลยลดน้อยถอยไป จริง ๆ ในเทศกาลดังกล่าวได้สอบถามคนจีนรุ่นเก่า ๆ ก็จะเล่าให้ฟังว่า เป็นวันนัดหมายให้โค่นล้มราชวงศ์มงโกล ที่ปกครองจีนมากว่าร้อยปีแล้ว โดย จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง ผู้เริ่มต้นจาก ชาวนา ยาจก พระภิกษุ นักพรต ทหารกองโจร ผู้นำกองโจร ผู้นำทัพปฏิวัติ หรือผ่านมาหลากหลายอาชีพ จนสามารถนำทัพปฏิวัติจีนล้มล้างราชวงศ์มงโกลได้จนสำเร็จ ซึ่งสามารถอ่านตำนานได้จากเรื่อง มังกรหยก หรือ มังกรสู้สิบทิศ หรือของ สุขสันติ์ วิเวกเมธากร (มักจะเขียนประวัติศาสตร์จีนอีกมุมมองหนึ่งของนักเขียน ที่ไม่เหมือนกับความคิดความรู้สึกที่เคยอ่านมา) พรรคปฏิวัติได้นัดหมายคนจีนในเขตเมืองหลวงหรือทั่วประเทศ โดยใช้คืนพระจันทร์เต็มดวงเป็นนัดหมาย ด้วยการแจกขนมไหว้พระจันทร์ที่เป็นแป้งสีขาวรูปกลม ๆ แล้วกากะบาทสีแดงไว้ที่ขนมให้กับทุกครอบครัวที่เลี้ยงดูมงโกล พร้อมกับกระซิบกระซาบกับแกนนำครอบครัวในตอนเย็นวันนั้นว่า เมื่อพระจันทร์เต็มดวงให้ร่วมมือกันฆ่ามงโกลให้หมด บางตำนานบอกว่าข้างในขนมไหว้พระจันทร์สอดแผ่นกระดาษ เขียนคำนัดหมายให้ฆ่ามงโกลให้หมดในวันพระจันทร์เต็มดวง แต่สอบถามคนจีนรุ่นเก่าแก่หลายคนยอมรับว่า หนังสือจีนสมัยโบราณหาคนอ่านออกได้น้อยมาก เพิ่งจะมากขึ้นก็สมัยเหมาเจ๋อตุงปฏิว้ติจีนได้สำเร็จ เพราะการบังคับให้ต้องอ่านส่วนหนึ่ง กับการส่งเสริมการอ่านอีกส่วนหนึ่ง จึงทำให้ปริมาณคนรู้หนังสือจีนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมจำนวนมาก ดังนั้น การกระซิบกระซาบน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่า เพราะถ้าพลาดพลั้งถึงตายสถานเดียวสิบครอบครัวอย่างต่ำ (เก้าชั่วโคตร บนสี่ ล่างสี่ เจ้าตัวหนึ่ง ชวด+ชวด ทวด+ทวด ปู่+ย่า พ่อ+แม่ เจ้าตัวต้นเหตุ+เมีย ลูกหญิงชาย หลานหญิงชาย เหลนหญิงชาย ลื้อหญิงชาย บางครั้งรวมถึง พี่น้องครอบครัวของเจ้าตัวต้นเหตุ เผลอ ๆ รวมถึงเพื่อนฝูงคนสนิทของเจ้าตัวต้นเหตุ เรียกกันว่า ตัดราก ถอนโคน ไม่ให้เหลือเยื่อใย กิ่งก้าน เกิดใหม่อีก ทำให้คนจีนจำนวนมากร้องไชโย ตอนที่ล้มล้างราชวงศ์แมนจู เริ่มต้นศักราชประธานาธิบดี ซุนยัดเซ็น เพราะการประหารชีวิตแบบเก้าชั่วโคตรต้องยุติลงไปในที่สุด กระป๋องนมนำมาทำตะเกียง/โคม จาก //www.uscontainer.com สมัยนั้นมงโกลจะกำหนดให้สิบครอบครัวมีมีดทำครัวหนึ่งด้าม และสิบครอบครัวนั้นจะต้องเลี้ยงดูทหารมงโกลอย่างดี ถ้าบาดเจ็บหรือล้มตายเพราะจากเหตุใด ๆ สิบครอบครัวนั้นจะต้องถูกประหารชีวิตทั้งหมด ขณะเดียวกัน ทหารมงโกล ชอบลูกเมียใคร ก็สามารถครอบครองหรือสืบพันธุ์ได้เลย โดยไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นลูกใครเมียใคร ใครต่อต้านหรือไม่ยอมประหารชีวิตสถานเดียว นี่คือสิ่งที่ชาวจีนส่วนหนึ่งยังโกรธแค้นพวกมงโกล หรือไม่ยอมรับว่า เจงกีสข่าน คือ กษัตริย์จีน คนจีนแต้จิ๋วรุ่นเก่าแก่บางคนมักจะเล่าเป็นตำนานว่า พวกมงโกลจะมีนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว และมีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนมงโกลผสมพันธ์กันเลือดใกล้ชิดมาก เรื่องนี้เคยอ่านเจอนานแล้วของโรเบริต ริปเลย์ (แปลกแต่จริง) ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีการสืบเผ่าพันธุ์กันอย่างใกล้ชิด คนในหมู่บ้านแห่งนั้นก็มีสิบสองนิ้วมือ สิบสองนิ้วเท้า การมีหกนิ้วมือนิ้วเท้า ก็สืบทอดจนถึงปัจจุบันที่กระดูกปูนตรงนิ้วก้อยของเท้าซ้ายขวา มักจะพูดกันว่าเป็นนิ้วของพวกมงโกลที่ตกค้างอยู่ (เรื่องนี้แล้วแต่วิจารณญาณ กรณีสงสัยหรือจะขอโต้แย้ง ก็ขอน้อมรับฟังแต่ไม่อาจอธิบายด้วยเหตุด้วยผลได้ เพราะรับฟังมาอีกทีหนึ่งนานมากแล้ว) วันที่นัดหมายฆ่ามงโกลทั่วประเทศ ก็ไม่สามารถจะฆ่ามงโกลได้หมดทุกคน มงโกลบางรายก็หนีรอดได้ บางรายก็หนีออกนอกแผ่นดินใหญ่จีน โดยเฉพาะพวกที่รวมตัวกันอยู่เป็นหมู่เป็นเหล่าหรือกองทัพ ก็สามารถตีฝ่าหนีออกจากวงล้อมไปได้ เหลือแต่พวกที่อาศัยปะปนกับกลุ่มชาวบ้านในครอบครัว แต่ก็อย่างที่ทราบมีทหารมงโกลบางคนก็เป็นคนดี หรือตกลงปลงใจปักหลักตั้งฐานที่อยู่ในเมืองนั้นแล้ว มีครอบครัวลูกเมียเป็นกิจลักษณะแน่นอนแล้ว หรือคอยช่วยเหลือปกป้องครอบครัวที่ตนอยู่อาศัยด้วย แต่เมื่อเป็นนโยบายของผู้ก่อการปฏิวัติ ก็เลยต้องละเว้นชีวิตไว้ แต่ก็ไล่ให้ไปอยู่ในเรือล่องลอยในแม่น้ำ ให้ขึ้นฝั่งเฉพาะกรณีจำเป็นจริง ๆ เวลาต้องการซื้อหาข้าวของ และก็มีบางครอบครัวยอมย้ายไปอยู่กับชาวมงโกลนั้นด้วย เลยมีคำเรียกพวกชาวเรือว่า พวกตังเก หรือตาเก๊ เพราะการไม่ให้คนพวกนี้อยู่บนบกแต่ให้อยู่ในเรือแทน แต่เพราะการกล่อมเกลาทางศาสนา ก็เลยทำให้หลายเรื่องหลายราว กลายเป็นนิยายโรแมนติคหรือตำนานบนสรวงสวรรค์ไปแทน เหมือนเรื่องทองสูง ตาม Link ที่เขียนไว้ //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8349833/W8349833.html เขียนขึ้นจากความทรงจำก่อนที่จะเลือนหายไป ถึงตำนานไหว้พระจันทร์ที่ได้รับฟังตอนเด็ก ๆ ภาพจูหยวนจาง //www.vasinpit.bloggang.com น่าจะใกล้เคียงมากกว่าภาพอื่น ๆ ใน internet ตามจิตนาการของผู้เขียน วันนี้เข้ามาดึกเลยขอติดไว้ก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้เข้ามาอ่านนะคะ คืนนี้ฝันดีค่ะ
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:03:58 น.
เคยดูเรื่องตอนโอบาม่าเลือกตั้งค่ะ
บูชแพ้กอร์จริง ๆ ที่ประชาชนโวท แต่มันก็จะคิดเป็นเปอร์เซนต์อีกที แต่เขาชนะ แบบคะแนนกลุ่มของชุมชน แบบเนี้ยค่ะ คิดเป็นเปอร์เซนต์เลยชนะ ซึ่งทำให้การโวทไม่ใช่หนึ่งคนหนึ่งเสียงแต่ที่แบบผู้แทนเขาลากเข้ามาด้วย เขียนไปเขียนมางงเอง โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:02:18 น.
แว้บมาอ่านที่ค้างต่อค่ะ ตำนานนี้เราก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ถ้าเป็นเรื่องจริงก็นับว่าคนคิดแผนการนี้รอบคอบมากเลย ใช้ขนมเป็นสื่อในการรวมพล
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:04:14 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ถ้ายังไม่นอนมาชวนไปฟังเพลง ใต้เงาจันทร์ค่ะ
Moonshadow