โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัดสำหรับกล้วยไม้ ตอนที่3 โรคใบจุด หรือโรคใบขี้กลาก (Leaf spot) พบโรคนี้ในสวนที่ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ลูกผสมสกุลหวาย แวนดา แคทลียา ออนซีเดียมหรือ กล้วยไม้ดิน เช่น รองเท้านารี ถ้าเป้นมากๆ จะทำให่ใบร่วงหรือที่เรียกว่า “โรคขี้กลาก ราชบุรี” พบการระบาดของโรคนี้กับกล้วยไม้ในระยะเจริญเติบโตเต็มที่มากกว่าใน ระยะที่ยังเล็กอยู่ สาเหตุ ลักษณะอาการ
การแพร่ระบาด การป้องกันกำจัด
โรคใบจุดดำ (Black spot)
พบเมื่อ ปี 2537 ในสวนกล้วยไม้รอบๆ กรุงเทพมหน คร นครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี นนทบุรี และนครราชสีมา มีหลายลักษณะอาการพบมากบนใบกล้วยไม้ลูกผสมสกุลหวาย
ลักษณะอาการ
ด้านหน้าใบเป็นจุดสีขาว หรือเหลืองอ่อน ตรงกลางเป็นจุดสีดำ อาการชัดเจนบนใบแก่ ด้านหน้าใบและหลังใบเป็นจุดบุ๋มสีดำ แผลยุบตัวลงไปจากเนื้อเยื่อปกติของพืช พบทั้งใบอ่อนและใบแก่ การแพร่ระบาด
การป้องกันกำจัด พ่น สารในกลุ่มไอโปรไดโอน (iprodione) อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรหรือกลุ่มโพ รคลอราท (proochloraz Mn.) อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร สลับกับสารกลุ่มโพรพิ เนบ (propineb) อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร การให้ปุ๋ยความเข้มข้นสูงเกินกว่าอัตราปกติขณะแดดจัด ก็เป็นสาเหตุให้เกิดอาการใบจุดดำได้เช่นกัน โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) เป็นโรคที่ได้กับกล้วยไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะกล้วยไม้สกุลออนซิเดียมจะอ่อนแอต่อโรคนี้ขึ้น
สาเหตุ
ลักษณะอาการ เกิด ได้ทั้งที่ปลายใบและกลางใบของกล้วยไม้ แผลจะมีลักษณะที่สังเกตได้ ชัดเจน คือ แผลมีสีน้ำตาล เป็นวงเรียงซ้อนกันหลายๆ ชั้น และจะมีกลุ่มของ เชื้อราเป็นสีดำเกิดขึ้นบนวงซ้อนกันนั้น สปอร์ของเชื้อราเป็นรูปไข่ ไม่มี สี หรือสีใสและไม่มี setae
การแพร่ระบาด เชื้อ ราสาเหตุจะแพร่ระบาดได้ดีในโรงเรือนที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูง โดยเฉพาะในฤดู ฝนหรือการพรางแสงในโรงเรือนไม่เหมาะสม กล้วยไม้ได้รับแสงแดดมากเกินความต้อง การจะทำให้เซลล์พืชอ่อนแอ เชื้อเข้าทำลายได้ง่ายยิ่งขึ้น เชื้อราปลิวไปกับลมหรือฝนหรือน้ำที่ใช้รด ด้วยสายยางหรือระบบสปิงเกลอร์
การป้องกันกำจัด เก็ยรวบรวม ใบ เศษซากพืชที่เป็นโรคแล้วนำไปเผาทำลายเพื่อไม่ให้เชื้อสาเหตุแพร่ระบาดต่อไป พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช คลอโรทาโลนิล (chlorothalonil ) อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร สลับกับสารโปรคลอรา (prochloraz) อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร การพรางแสงกล้วยไม้ไม่เหมาะสมกับกล้วยไม้แต่ระยะการเจริญเติบโต ทำให้กล้วยไม้ ได้รับแสงแดดจัดมากเกินไป จะทำให้ใบเกิดการอ่อนแอ ใบไหม้ (sunburn) โรคเข้า ทำลายได้ง่าย
โรคโคนเน่าแห้ง หรือโรคเหี่ยว (Fusarium foot rot, Wilt) โรคนี้ เกิดกับกล้วยไม้ที่อยู่บนเครื่องปลูกที่เก่าหลายปี เครื่องปลูกผุยุ่ย (โดย เฉพาะเครื่องปลูกที่เป็นกาบมะพร้าว) มีตะไคร่น้ำจับหนา อมความชื้นไว้ตลอด เวลา เครื่องปลูกไม่มีโอกาสแห้งโรคนี้เกิดกับกล้วยไม้หลายสกุล ได้แก่ แคทลี ยา แวนดา ลูกผสมสกุลหวาย เมื่อเชื้อสาเหตุเข้าทำลายรุนแรงทำให้ต้นกล้วยไม้ แห้งตายภายใน 1-2 เดือน สาเหตุ เกิดจากเชื้อราหลายชนิด เท่าที่พบส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อรา Fusarium oxysporum Fmoniliforme ลักษณะอาการ เชื้อ ราเข้าทางราก หรือบริเวณตาหน่อตรงโคนต้น ค่อยๆลุกลามไปสู่ยอดกล้วยไม้เกิด อาการโคนเน่า รากของกล้วยไม้จะเหี่ยวแห้งอย่างช้าๆ ถ้าเกิดกับกล้วยไม้ที่เพิ่งย้ายออกจากขวดปลูกในกระถางใหม่ๆ ใบจะเหลือเหี่ยวจากใบล่างไปสู่ยอด ลำลูกกล้วยแคระแกร็นทรุดโทรมเร็วและตายใน ที่สุด เมื่อตัดตามขวางของต้นกล้วยไม้ดูพบอาการเน่าเป้นรอยวงแหวนสรน้ำตาล รอบบริเวณท่อน้ำท่ออาหาร ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโรคนี้รุนแรงน้อยกว่าการ ทำลายที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย การป้องกันกำจัด - นำส่วนที่เป้นโรค พร้อมทั้งเครื่องปลูกบริเวณที่เป็นโรคไปเผาทำลาย - พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช กลุ่มควินโทซีน (quintozene) หรือ ควินโทซีน + อีทริไดอะโซน (quintozene + etridiazole) อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร - กำจัดตะไคร่น้ำ วัชพืชชั่นต่ำ ซึ่งเป้นสาเหตุสนับสนุนให้เกิดโรคนี้ด้วยสารกำจัดวัชพืชสารไดยูรอน (diuron) อัตรา 3-5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟายแซน 20 (physan) อัตรา 10 มิลลิลิตร ต่อ น้ำ 20 ลิตร สำหรับไดยูรอนมีข้อยกเว้น ห้ามใช้กับกล้วยไม้สกุลออนซิเดียมเพราะว่าทำให้ลำต้นอ่อนแอและเน่าได้ง่าย
โรคเน่าเละ (Soft rot) พบใน กล้วยไม้เกือบทุกสกุล มีรายงานในต่างประเทศพบในกล้วยไม้สกุล Phalaenopsis, Paphiopedilum, Oncidium, Odontoglossum, Cymbidium และCattleya ส่วนในประเทศไทยเมื่อ 25 ปีก่อน พบในกล้วยไม้ลูกผสม แวนดา เข็ม แคทลียา ในปัจุบันพบมากในกล้วยไม้ลูกผสมสกุลหวาย, Phalaenopsis, Mokara และ Oncidium
สาเหตุ
ลักษณะอาการ
จะ พบอาการได้ทุกส่วนของกล้วยไม้ เช่น โคนต้น ลำลูกกล้วยไม้ ใบ และยอดอ่อนของกล้วยสกุลออนซิเดียม ได้แก่ Golden shower Ramsay รวมทั้งสกุลอื่น ๆ ด้วยอาการที่พบเริ่มแรกจะเป็นจุดฉ่ำน้ำก่อน ต่อมาอาการจะลุกลามเป็นแผลช้ำ ขนาดใหญ่ สีน้ำตาลหรือสีเหลือง เมือ่แสงแดดจัดเนื้อเยื่อจะเน่ายุบตัว คล้าย น้ำร้อนลวก ใบจะหลุดร่วงภายใน 2-3 วัน และเน่าตายในที่สุด เมื่อดมกลิ่นบริเวณที่เป็นโรคจะมีกลิ่นเหม็น เฉพาะตัวเนื้อเยื่อภายในถูกทำลายหมดเหลือแต่ผิวนอก บริเวณแผลเน่าจะมีเมือก เยิ้มแฉะ
การแพร่ระบาด โรค จะระบาดรุนแรงรวดเร็วในสภาพอากาศร้อนและความชื้นสัมพัทธ์สูงโดยเฉพาะในช่วง ฤดูฝน ซึ่งเชื้อแบคทีเรียสามารถติดไปกับน้ำฝน (Water spreading) เชื้อจะ เข้าทำลายพืชทางช่องเปิดธรรมชาติและระบาดแผลได้ เช่น แมลงกัดกิน การช้ำจาก การขูดขีดของอุปกรณ์เกษตรการเสียดสีของต้นกล้วยไม้ การป้องกันกำจัด - ตัดหรือแยกส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลาย - ในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกหนัก ควรมีหลังคาพลาสติกคุมกรองฝนอีกชั้นหนึ่งสำหรับต้นกล้วยไม้เล็ก ที่เพิ่งย้ายปลูกจาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหรือไม้ปลูกใหม่ เพื่อป้องกันแรงกระแทกของเม็ดฝนจะไม่ทำให้ใบกล้วยไม้ช้ำและเชื้อเข้าทำลาย ได้ยาก ควรงดการให้น้ำในเวลาที่ฝนตก - ไม่ ควรปลูกกล้วยไม้หนาแน่นเกินไปเพราะจะทำให้อากาศระหว่างต้นกล้วยไม้ไม่ถ่าย เท เกิดความชื้นสัมพัทธ์สูงง่ายต่อการเกิดโรค นอกจากนี้การเร่งกล้วยไม้ให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วโดยการให้ปุ๋ยไนโตรเจน สูง จะทำให้เนื้อเยื่อต้นกล้วยไม้อวบมากกว่าปกติ เหมาะแก่การเกิดโรคได้ง่าย และยากต่อการป้องกัน - สำหรับสารเคมีที่ใช้ในการป้องกันกำจัดเชื้อแบคทีเรีย นิยมใช้สารปฏิชีวนะ (antibiotic) เช่น แอกกริมัยซิน (agrimycin) ซึ่งมีส่วนประกอบของสเตรปโตมัยซินอยู่หรือแอกกริสเตรป อัตรา 10-20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ข้อควรระวัง อย่าใช้ในอัตราที่มีความเข้มข้นสูงเกินไป และพ่นบ่อยๆเชื้อแบคทีเรียสาเหตุจะดื้อต่อสาร จะทำให้ใบกล้วยไม้กลายเป็นสีเหลือง ซีดขาว เห็นได้ชัดกับไม้สกุลแวนดา แอสโคเซนดา ปกติการใช้สารเคมี เพื่อกำจัดโรคเน่าเละไม่ค่อยได้ผล ราคาค่อนข้างแพง แหล่งที่มา :ข้อมูล: เอกสารวิชาการกล้วยไม้ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอขอบคุณแหล่งความรู้จาก
ชอบกด Like & Share เป็นกำลังใจให้ด้วยน่ะจ๊ะ |
บทความทั้งหมด
|