การปลูกดอกซ่อนกลิ่น

         ซ่อนกลิ่น เป็นพรรณไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ประเภทใบเลี้ยงเดี่ยว มีดอกสีขาว กลิ่นหอม มีหัวอยู่ใต้ดิน อยู่ในวงศ์ Amaryllidaceae ส่วนชื่อสามัญคือ Tuberose มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ มักขึ้นได้ดีในดินที่ระบายน้ำได้สะดวก

 ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ตัดดอก ส่วนใหญ่ใช้การบูชาพระและประดับในงานศพ พื้นที่ปลูกในประเทศไทยส่วนมากอยู่บริเวณเขตรอบนอกกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองแขม เขตภาษีเจริญ และในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อุดรธานี หนองคาย ขอนแก่น ดอกซ่อนกลิ่นมีกลิ่นหอมเย็น สามารถใช้ในการสกัดน้ำมันหอมระเหยได้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Poliamtues tuberosa Lin.

ชื่อสามัญ : Tuberose

ชื่ออื่น ๆ : ดอกรวงข้าว, ดอกลีลา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

วงศ์ : Amaryllidacecae

ถิ่นกำเนิด: South America

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ซ่อนกลิ่นเป็นไม้หัวแบบ Tuber ซึ่งใช้เป็นแหล่งสะสมอาหาร รอบ ๆ หัวจะมีตาอยู่ โดยรอบสามารถเจริญเติบโตเป็นลำต้นหรือหัวต่อไปได้ ราก จะเป็นระบบรากฝอย มีสีน้ำตาลขนาดเล็กมีจำนวนไม่มากนัก มีขนาดสั้นจนถึงยาวประมาณ 1 ฟุต ใบเจริญมาจากฐานหัว ใบมีลักษณะเรียวแคบ มีความยาวประมาณ 30-40 ซม. กว้าง 2-3 ซม. ใบมีสีเขียวสดมีจุดแดงที่ฐานใบ กลางใบห่อเข้าหากันใบหนาพอสมควร ใบล่างจะมีขนาดเล็กกว่าใบที่อยู่ติดกันขึ้นมา ใบที่แตกใหม่จะตั้งขึ้น ใบแก่จะห้อยลง ช่อดอก จะเป็นแบบ Spike ก้านดอกใหญ่แข็งแรง มีสีเขียว และตั้งตรงในแนวดิ่ง ดอกเมื่อบานจะมีสีขาว ดอกเป็นแบบ สมบูรณ์เพศ (Perfect Flower) มีกลีบดอก (Petal) เชื่อมติดกัน รูปร่างคล้ายกรวยโค้ง ยาวประมาณ 1-6 ซม. ดอกจะเริ่มบานตั้งแต่ตอนเย็นโดยทะยอยบานจากตอนล่างของช่อดอกขึ้นมาเรื่อย ๆ พันธุ์ที่มีปลูกนั้นไม่มีชื่อเรียกโดยเฉพาะแต่เรียกตามลักษณะของดอกคือ พันธุ์ที่มีดอกไม่ซ้อน และพันธุ์ที่มีดอกซ้อน

1. การแยกหน่อ ทำได้โดยการใช้มือหรือมีดปลิดแยกหน่อออกจากกอเดิมแล้วนำไปปลูกลงแปลงได้ทันที การแยกหน่อควรแยกก่อนออกดอก วิธีการนี้จะทำได้ง่ายและได้ต้นใหม่จำนวนมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณของกอเดิมด้วย

2. การใช้หัว เป็นวิธีการที่นิยมกันมาก ทำง่าย สะดวก และเกษตรกรสามารถเก็บรักษาส่วนที่ขยายพันธุ์ไว้ปลูกในฤดูต่อไปด้วย

3. การแบ่งหัว เป็นวิธีการขยายพันธุ์โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติคล้ายกับการขยายพันธุ์บอนสีโดยการแบ่งหัวให้มีตาติดอยู่กับส่วนที่ตัด แล้วนำไปปักชำ เมื่อต้นงอกและมีใบประมาณ 2-3 ใบ ก็นำไปปลูกได้ แต่เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ช้า ไม่เหมาะที่จะทำเป็นการค้า การเก็บรักษาหัวเพื่อใช้ขยายพันธุ์ในฤดูกาลต่อไป การเก็บหัวจะเก็บจากแปลงที่มีอายุเลย 3 ปีไปแล้ว เพราะซ่อนกลิ่นที่อายุมาก ผลผลิตจะลดลง จำเป็นต้องรื้อแปลงปลูกใหม่

    ก่อนจะทำการเก็บหัวควรงดการให้น้ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งสังเกตว่าใบเหลืองจนหมดแล้ว จึงขุดเอาหัวขึ้นมา สลัดเอาดินออกให้หมด แล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่ม ไม่ให้ถูกฝน หัวที่กองไว้ควรหมั่นกลับทุก ๆ 2-3 วัน กรณีที่เก็บนาน ๆ ควรแช่ยากันราก่อนเพื่อป้องกันเชื้อราเข้าทำลาย

      การเตรียมดิน ซ่อนกลิ่นเป็นไม้หัว จึงเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนเหนียว มีอินทรียวัตถุสูง ฉะนั้นในการเตรียมดินจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ดินโปร่ง มีการระบายน้ำดี เพราะไม้หัวส่วนใหญ่ไม่ชอบน้ำขังซึ่งอาจจะทำให้หัวเน่าได้ง่ายการเตรียมแปลงควรขุดให้ลึกประมาณ 6-8 นิ้ว ตากดินไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 200 กก./ไร่ การยกร่องทำคล้าย ๆกับแปลงปลูกอ้อย ห่างกันแปลงละ 30 ซม. ความสูงของคันดิน 20-30 ซม. เพื่อให้คันดินอุ้มความชื้นให้กับรากซ่อนกลิ่น

      การปลูกและการดูแลรักษา การปลูก นิยมปลูกกันตอนต้นฤดูฝน ประมาณเดือน พค.-กค. โดยปลูกในร่องที่เตรียมไว้ใช้ระยะปลูก 30 x 30 หรือ 40 x 40 ซม. ปลูกแบบสลับฟันปลา 1 หัว/หลุ่ม การฝังหัวควรให้หัวเหลือโผล่ขึ้นมาประมาณ 1/3 เพื่อป้องกันไม่ให้หัวเน่า และควรใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมแปลงปลูกไว้เพื่อเก็บความชื้นและช่วยป้องกันวัชพืชงอกบนแปลงด้วยและยังทำให้ต้นแตกกอดีขึ้น หลังจากปลูกประมาณ 1 สัปดาห์จะมีใบแตกออกมา n การให้น้ำ เนื่องจากซ่อนกลิ่นเป็นพืชที่ชอบความชื้นสูง แต่ไม่แฉะ จึงควรให้ความชื้นสม่ำเสมอ ถ้าฝนไม่ตกก็ให้น้ำ 2 วันหรือ 3 วันครั้งแล้วแต่สภาพดิน

      การใส่ปุ๋ย หลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 1 เดือน ควรใส่ปุ๋ยเพื่อเร่งการแตกกอโดยใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ โดยการหว่านให้ทั่วแปลง หลังจากนั้นก็หว่านทุก 1 เดือน เพื่อกระตุ้นให้ซ่อนกลิ่นออกดอก n การตัดแต่ง เมื่อซ่อนกลิ่นมีอายุได้ 2 ปี พบว่ามีการเจริญเติบโตและการแตกกอสูงมากทำให้เกิดการ "บ้าใบ" ในช่วงฤดูฝน ปริมาณดอกจะลดลงและมีโรคเข้าทำลายในช่วงนี้ด้วย ฉะนั้นจึงควรมีการตัดใบออกบ้างบางส่วนซึ่งเรียกว่าการเกี่ยวใบ หลังจากนั้นก็ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กก./ไร่ เพื่อเร่งการออกดอก เพื่อทำให้ประสิทธิภาพการออกดอกสูงมาก

    โรคและแมลง ซ่อนกลิ่นมีโรคและแมลงรบกวนน้อยมาก โรคที่พบในช่วงฤดูฝน

    1. โรค Botrytis Blight โรคนี้สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วมาก โดยเฉพาะช่วงอากาศมีความชื้นสูง โดยสังเกตเห็นจุดฉ่ำสีน้ำตาลบนดอกและใบ จากนั้นจุดนี้ก็จะยาวขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนเหลือง หรือมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลปนแดงตรงกลาง ทำให้ดอกและใบที่เป็นโรคเน่าอย่างรวดเร็ว การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นด้วยไซเนบ มาเนบ เฟอร์แนบ แคบแทน หรือไดคลอร์ สัปดาห์ละครั้ง ตั้งแต่ใบยาวประมาณ 10-20 ซม. หรือฉีดก่อนระยะฝนชุก

    2. โรคที่เกิดจากเชื้อ Selerotium rolfsii จะพบมากในระยะที่มีฝนตกชุก เชื้อจะกระเด็นไปเกาะตามส่วนของพืชที่อยู่บริเวณผิวดิน จึงทำให้ใบและก้านดอกเน่าหักพับลง การป้องกันได้โดยการฉีดพ่นด้วยแคปแทน ไซแนบ หรือมาเนบ สัปดาห์ละครั้ง

    3. โรครากปม เกิดจากไส้เดือนฝอย ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ใบเหลืองเหี่ยวตอนกลางวันและฟื้นตอนกลางคืน เมื่อทิ้งไว้นานจะทำให้ตายได้ การป้องกันโดยใช้เมทธิลโบรไมด์ ฆ่าเชื้อในดิน การกำจัดใช้นีมากอน ฉีดรอบ ๆ ต้นพืช เพื่อทำลายไส้เดือนฝอย หรือจุ่มหัวซ่อนกลิ่นในน้ำร้อน 120 องศาฟาเรนไฮด์ เป็นเวลา 1 ชม. แล้วผึ่งให้แห้งก่อนปลูกเพื่อกำจัดไส้เดือนฝอยที่ติดมากับหัวพันธุ์

    4. เพลี้ยไฟ จะเข้าทำลายก้านดอกและช่อดอก โดยจะดูดน้ำเลี้ยงแล้วทำให้ช่อดอกและก้านดอกบริเวณส่วนปลายขรุขระเป็นคลื่น ดอกไม่โตและไม่บานอีกด้วยซึ่งเกษตรกรเรียกว่า "ช่อหิน" การป้องกันกำจัด ควรฉีดยาป้องกันตั้งแต่แรกคือใช้ยาพวกอะโซดริน พาราไธออนหรือมาลาไธออน สัปดาห์ละครั้ง

    5. เพลี้ยไฟแป้ง เป็นแมลงศัตรูอีกตัวหนึ่งที่เป็นปัญหาต่อการปลูกซ่อนกลิ่นในปัจจุบันค่อนข้างมาก โดยการดูดน้ำเลี้ยง ทำให้เกิดโรคโคนเน่าตามมา การป้องกันกำจัด ควรฉีดพ่นด้วยยากำจัดแมลงทั่ว ๆ ไป เช่น มาลาไธออน พาราไธออน หรือ อะโซดริน สัปดาห์ละครั้ง

การตัดดอก ซ่อนกลิ่นจะเริ่มให้ดอกหลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 3 เดือน จะเริ่มตัดช่อดอกเมื่อดอกที่อยู่ล่างสุดบานก่อนประมาณ 2-3 ดอก แต่ถ้าจะตัดส่งตลาดควรมีดอกบานประมาณ 1-2 ดอก วิธีการตัดดอกอาจจะตัดโดยการตัดให้ชิดโคนต้นหรือใช้มือถอนก็ได้ จากนั้นจึงนำมาริดใบล่างออก 2-3 ใบ แล้วจึงคัดขนาด

ขนาดดอกแบ่งเป็น 3 ขนาด

1. ขนาดใหญ่ (เกรด A) ความยาวของก้านและช่อดอกรวมกันยาว 120 ซม. ขึ้นไป

2. ขนาดกลาง (เกรด B) ความยาวของก้านดอกและช่อดอกรวมกันยาว 80-100 ซม.

3. ขนาดเล็ก (เกรด C) ความยาวของก้านดอกและช่อดอกรวมกันยาว 30-79 ซม. จากนั้นจึงนำดอกมาเข้ากำ ๆ ละ 50 ดอก โดยวางให้   ปลายช่อดอกเสมอกัน แล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ หุ้มส่วนของดอกแล้วมัดด้วยเชือกฟาง ส่วนโคนก้านดอกจะไม่มีการตัดแต่งจนกว่าจะถึงมือผู้ใช้

      การตลาด สำหรับตลาดสำคัญของซ่อนกลิ่นคือ ปากคลองตลาด โดยส่วนใหญ่พ่อค้าคนกลางจะไปรับซื้อมาจากสวนเกษตรกรเอง ซึ่งพ่อค้าจะเป็นผู้กำหนดราคาให้เอง ราคาจะขึ้นลงไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความต้องการของท้องตลาดนั้นเองส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตลาดที่รับซื้อซ่อนกลิ่นก็คือตลาดดอกไม้ในตัวจังหวัด

         ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ตัดดอกที่ปลูกกันมานานแล้วในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการบูชาพระและประดับในงานศพ ฉะนั้นบางคนจึงไม่นิยมปลูกประดับบ้าน เพราะถือว่าไม่เป็นมงคล ปัจจุบันความเชื่อถือเหล่านั้นได้ลดลงไปแล้ว ในพื้นที่ที่มีการประมงนิยมนำซ่อนกลิ่นมาใช้ในการเซ่นไหว้แม่ย่านางเรือก่อนออกจับปลาด้วยนอกจากนี้ในประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ ก็นิยมใช้ซ่อนกลิ่นในการเซ่นไหว้เช่นกันประเทศญี่ปุ่นนิยมใช้ในการปลูกประดับตกแต่งสถานที่ทั้งสามประเทศนี้ได้นำเข้าจากประเทศไทยเป็นส่วนมาก สำหรับพื้นที่ปลูกในประเทศไทยส่วนมากอยู่บริเวณเขตรอบนอกกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองแขม เขตภาษีเจริญ และในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อุดรธานี หนองคาย ขอนแก่น เนื่องจากดอกซ่อนกลิ่นมีกลิ่นหอมเย็นเช่นเดียวกับ จำปี จำปา มะลิจึงอาจจะใช้ในการสกัดน้ำหอมระเหยได้

ขอขอบคุณแหล่งความรู้จาก

  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • ห้องสมุดความรู้การเกษตร
  • กรมส่งเสริมการเกษตร

ชอบกด Like & Share เป็นกำลังใจให้ด้วยน่ะจ๊ะ ==>




Create Date : 19 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2555 13:50:26 น.
Counter : 2069 Pageviews.

0 comments
แชร์ 5 เทคนิคการชงกาแฟให้อร่อยแบบที่เราถูกใจ สมาชิกหมายเลข 7983004
(3 พ.ค. 2567 01:57:47 น.)
เครื่องชงกาแฟแคปซูล เริ่มต้นเลือกอย่างไร สมาชิกหมายเลข 7983004
(1 พ.ค. 2567 01:46:50 น.)
ขอบคุณ คุณวิลลิส ฮาวิแลนด์ แคเรียร์ ผู้ค้นคิดเครื่องปรับอากาศสมัยใหม่ สมาชิกหมายเลข 4149951
(22 เม.ย. 2567 09:24:38 น.)
สรุปวิชาสังคมไทยสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 เรื่องปราชญ์ท้องถิ่น นายแว่นขยันเที่ยว
(10 เม.ย. 2567 03:05:45 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Axiom.BlogGang.com

Mr.Evo_IV
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]

บทความทั้งหมด