ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ สนธยามาเยือน (23)

รถสินค้าที่เทียมด้วยม้าดำรูปกายกำยำคู่หนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามถนนขรุขระ ดูเหมือนว่าเส้นทางที่เปลี่ยวร้างสายนี้จะไม่มีผู้คนสัญจรผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ตรงที่นั่งของคนขับมีร่างที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำนั่งอยู่ ยากที่จะบ่งบอกได้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นชาย หรือหญิงกันแน่

ที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับนั้นเป็นเด็กหญิงชาวบ้านท่าทางธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่อาจพบเจอได้ทั่วไปในท้องที่แถบนี้ เธอกำลังถือแอปเปิ้ลผลหนึ่งเอาไว้ในมือ แต่เธอไม่ได้คิดที่จะกินมัน เธอกำลังพยายามทำในสิ่งที่เด็กทั่วๆ ไปไม่อาจทำได้

'หายไป หายไป จงหายไป' เด็กหญิงภาวนาในใจพร้อมกับกำมือบีบผลแอปเปิ้ลเอาไว้จนแน่น คนขับพลันเอื้อมมือขาวผ่องอันประกอบด้วยนิ้วที่เรียวงามมาแตะที่แอปเปิ้ลผลนั้นด้วยความรวดเร็ว มือทั้งสองของเด็กหญิงพลันรวบเข้าหากัน แอปเปิ้ลสีแดงในมือของเธอได้หายสาบสูญไปเสียแล้ว

“ฉันเคยบอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น”

“...ขวัญขอโทษค่ะ”

“...ที่เธอต้องการคือความเชื่อมั่น”

มายาทำท่าแบมือออกแล้วแอปเปิ้ลสีแดงที่หายไปก็กลับมาวางอยู่บนฝ่ามือของเธออีกครั้ง เธอยื่นส่งมันคืนให้กับข้าวขวัญ ถึงแม้ว่าเด็กหญิงจะได้เห็นมายากลมาแล้วหลายครั้ง แต่เธอก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่เช่นเดิม 'แล้วสักวันหนึ่ง ฉันก็จะทำแบบนี้ได้บ้าง' แม้จะพยายามบอกกับตัวเองอย่างนั้น แต่เธอก็ยังคงสงสัยในความสามารถของตัวเอง

'ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินเด็กคนนี้' มายาพยายามที่จะปลอบใจตัวเอง เธอตั้งความหวังกับข้าวขวัญเอาไว้สูง แต่เด็กคนนี้กลับไม่ได้แสดงความก้าวหน้าใดๆ ให้เห็นเลยนับแต่ออกเดินทางมา เธอพยายามสอนพื้นฐานบางอย่างที่ง่ายๆ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะยากเกินไปสำหรับเด็กคนนี้อยู่เสมอ

มายาเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยขึ้นสูงถึงกึ่งกลางท้องฟ้า ก่อนที่จะทอดสายตามองไกลออกไปทางตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่รถสินค้ากำลังมุ่งหน้าไป การเดินทางในช่วงนี้ราบรื่นกว่าที่เธอคาดเอาไว้ ไม่มีโจรป่า ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุใดๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญคือไม่มีวี่แววของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีปรากฏให้เห็นเลยตลอดทาง

'และไม่มีคนกวนๆ คนนั้นด้วย' ใบหน้าที่คุ้นเคยของวาณิชผ่านแวบเข้ามาในใจของมายา เธอรีบปัดมันออกไปพร้อมกับพยายามหาเรื่องอย่างอื่นมาคิดแทน

“เราจะหยุดพักกินข้าวกันก่อน”

มายาตะโกนบอกทุกคนก่อนที่จะบังคับรถม้าให้เข้าไปจอดอยู่ใต้ร่มไม้ข้างทาง รัตติกาลโผล่ออกมาจากในรถสินค้าอย่างรวดเร็ว ตลอดทั้งร่างของเขานั้นเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มโชก ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะดูบึกบึนยิ่งกว่าในตอนที่เริ่มต้นออกเดินทางเสียอีก

รัตติกาลปลดม้าดำทั้งคู่ออกจากรถสินค้าเพื่อปล่อยให้มันได้พัก เขาขอรับหน้าที่ดูแลพวกมันจากมายามาตั้งแต่ต้น เพราะเขารู้สึกได้ว่าพวกมันไม่ค่อยจะชอบเธอสักเท่าไรนัก มายาเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวเช่นกัน จึงยอมปล่อยให้เขาทำหน้าที่แทนโดยไม่โต้แย้ง

มายาเรียกรัตติกาลเข้ามาหาพร้อมกับมอบถุงน้ำกับถังไม้ใบหนึ่ง เพื่อนำไปให้ม้าทั้งสองได้ดื่ม แน่นอนว่าเธอหยิบมันออกมาจากความว่างเปล่า การเดินทางร่วมกับนักมายากลนั้นนับว่ามีความสะดวกสบายอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

อาหารกลางวันของพวกเขาเป็นขนมปัง เนื้อเค็ม เนยแข็ง กับผลไม้ตากแห้ง ที่มายานำออกมาให้ พวกเขาต้องกินของแบบนี้มาพักหนึ่งแล้ว ซึ่งในตอนแรกข้าวเขียวเคยประท้วงว่าอยากกินของอย่างอื่นบ้าง จนในที่สุดเธอก็ต้องยอมเปิดเผยบางสิ่งให้พวกเขาได้รับรู้

ถึงแม้ว่าพลังมายากลจะทำให้มายาสามารถเก็บสิ่งของต่างๆ เอาไว้ได้มากมาย แต่มันก็ไม่ได้ยืดเวลาของการเน่าเสียออกไป ถ้าเธอเก็บของสด หรืออาหารที่พึ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ เอาไว้ แล้วนำออกมาในอีกสองสามวันให้หลัง พวกมันก็จะเน่าเสียเหมือนกับอาหารที่ถูกเก็บเอาไว้ตามธรรมดาในเวลาที่เท่าๆ กัน

ดังนั้นเสบียงที่เธอมีอยู่ทั้งหมด จึงเป็นของที่ต้องผ่านขบวนการเพื่อให้สามารถเก็บเอาไว้ได้เป็นเวลานานทั้งสิ้น แม้แต่ขนมปังเองก็เป็นชนิดที่อบขึ้นด้วยส่วนผสมพิเศษซึ่งจะทำให้เปลือกนอกของมันแข็งเหมือนหินทำให้ราขึ้นได้ยาก แต่ก็ทำให้มันกลืนได้ลำบากด้วยเช่นกัน ข้าวเขียวชอบบิมันออกแล้วจุ่มลงในน้ำสักครู่ก่อนที่จะกินเพื่อทำให้มันนุ่มขึ้น

แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายนัก เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องกินแต่ของพวกนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากเดินทางผ่านไปในสถานที่ๆ สามารถออกล่าสัตว์ ตกปลา หรือเก็บหาพืชผักได้ มายาเองก็มีเครื่องครัว และเครื่องปรุงต่างๆ อยู่แทบทุกชนิด พร้อมที่จะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นอาหารมื้ออร่อยขึ้นมาในทันที คงไม่มีใครที่จะสามารถออกเดินทางไปพร้อมกับข้าวของทั้งหมดที่อยู่ในครัวได้แบบนี้

มายา ข้าวขวัญ กับรัตติกาลนั่งลงล้อมวงเพื่อเริ่มกินอาหาร ก่อนที่ทั้งหมดจะพึ่งรู้ตัวว่ายังขาดสมาชิกไปอีกคนหนึ่ง

“ขวัญจะไปเรียกพี่มาให้เองค่ะ”

ข้าวขวัญรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหายเข้าไปในรถสินค้า มายาจึงหันมาถามรัตติกาล

“เขายังอ่านหนังสือพวกนั้นอยู่อีกหรือ”

“เกือบจะหมดแล้วล่ะครับ”

“...ทั้งหมดนั่นเลยนะ”

ตั้งแต่เมื่อเริ่มต้นออกเดินทาง มายาก็ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับข้าวขวัญ เธอให้เด็กหญิงออกมานั่งคู่กับเธอเพื่อพูดคุย และถ่ายทอดหลักการเบื้องต้นในการใช้พลังมายากลซึ่งเป็นความลับที่ไม่เปิดเผยให้คนนอกได้รับรู้ เด็กชายทั้งสองจึงถูกทิ้งเอาไว้ภายในตัวรถ พร้อมกับกล้าไพรที่ยังคงได้แต่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นเดิม

เมื่อผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ข้าวเขียวก็มาบ่นกับมายา

“มีอะไรให้ผมทำบ้างไหมครับ วันๆ ได้แต่นั่งดูวิวข้างทางไปเรื่อยๆ เบื่อจะตายอยู่แล้ว”

“...แล้วเพื่อนเธอทำอะไรล่ะ ไม่เห็นเขาจะบ่นเลย”

“รายนั้นน่ะเหรอ วันๆ เอาแต่ฝึกอะไรก็ไม่รู้”

มายารู้ว่ารัตติกาลนั้นถูกครอบงำจากความต้องการที่จะก้าวหน้าในฝีมือดาบ แต่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นถึงขนาดนี้ แม้จะต้องอยู่แต่ภายในตัวรถที่มีพื้นที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถร่ายรำเพลงดาบ เขาก็ได้คิดค้นวิธีการฝึกฝนร่างกายแบบใหม่ขึ้นมาด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นการเสริมสร้างร่างกายพร้อมกับเพิ่มความคล่องตัวในเวลาเดียวกัน

“แล้วทำไมเธอไม่ฝึกกับเขาล่ะ”

ข้าวเขียวทำหน้ายู่

“ผมไม่ชอบการต้องออกแรงมากๆ แบบนั้น”

ข้าวเขียวได้ลองเต้นตามรัตติกาลดูแล้ว มันเป็นรูปแบบของการเคลื่อนไหวที่กินแรงเป็นอย่างยิ่ง เพียงลองทำได้ไม่นานนักเขาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และเมื่อผ่านไปเพียงวันเดียวเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับมัน

ความจริงแล้วมายาก็ไม่ค่อยอยากจะสนใจอะไรกับข้าวเขียวมากนัก แต่ความคิดอย่างหนึ่งก็แวบขึ้นมาพอดี

“เธอ...อ่านหนังสือออกไหม”

'เขาจะอ่านหนังสือออกได้ยังไงกัน ไม่น่าถามเลย' มายาพึ่งได้คิดหลังจากที่หลุดปากถามคำถามนั้นออกไปแล้ว เด็กพวกนี้อาจจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าตัวอักษรคืออะไร การใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลแบบนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่จะต้องรู้หนังสือ แต่คำตอบของเขากลับทำให้เธอต้องเป็นฝ่ายงงงัน

“ก็พออ่านได้ครับ”

“...ใครเป็นคนสอนเธองั้นหรือ”

มายาถามด้วยความสนใจ

“แม่ของรัตติกาลครับ นางเคยสอนพวกเรามาตั้งนานแล้ว แต่นอกจากหนังสือสองสามเล่มที่เป็นของนางแล้ว ทั้งหมู่บ้านก็ไม่มีอะไรให้พวกเราอ่านอีก”

“พวกมันเป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องอะไร”

นี่อาจจะเป็นเบาะแสเพิ่มเติมที่ช่วยให้การค้นหาความเป็นมาของรัตติกาล กับแม่ของเขาง่ายขึ้น

“เป็นหนังสือนิทานเกี่ยวกับสี่ราชาครับ”

นั่นเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าไร นิทานสี่ราชาเป็นเรื่องที่เล่าขานกันอยู่ในทุกแห่งหน จึงไม่อาจนำมาใช้ระบุแหล่งที่มาได้ มายาเพียงยื่นมือออกไปข้างหน้า ก็มีหนังสือเล่มหนึ่งมาอยู่ในมือของเธอ

“เอานี่ไปอ่านฆ่าเวลาก็แล้วกัน”

มายาไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องอะไร เธอเพียงแค่ต้องการให้ข้าวเขียวมีอะไรทำบ้าง จะได้ไม่มายุ่งกับเธออีก เด็กชายใช้เวลาในช่วงแรกกับหนังสือเล่มนั้นด้วยการถามรัตติกาล ถึงวิธีการอ่านคำบางคำที่เขาไม่ค่อยแน่ใจ หลังจากนั้นเขาก็แทบจะไม่สนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวอีกเลย

พออ่านหนังสือเล่มแรกจบลง ข้าวเขียวก็รีบนำกลับไปคืน และขอหนังสือเล่มใหม่เพิ่มจากมายา เธอรู้สึกแปลกใจกับความรวดเร็ว และความกระหายในการอ่านของเขา แต่มันก็ทำให้เขาไม่มายุ่งกับเธอได้ตามต้องการ เธอจึงไม่ลังเลที่จะนำหนังสือออกมาให้เขาอีก ซึ่งคราวนี้มีจำนวนหลายเล่มเลยทีเดียว เด็กชายรับหนังสือพวกนั้นไปพร้อมกับรอยยิ้ม และหายไปจากความสนใจของเธอ

ข้าวเขียวเดินตามข้าวขวัญลงมาจากรถสินค้า ในมือของเขายังคงถือหนังสือเล่มที่อ่านค้างเอาไว้อยู่ ใบไม้แห้งรูปร่างแปลกๆ ที่เขาใช้แทนที่คั่นหนังสือโผล่ออกมาจากช่วงท้ายๆ แสดงว่าเขาเกือบจะจบมันลงได้อีกเล่มหนึ่งแล้ว มายาพยายามนึกดูว่าเธอให้หนังสือกับเขาไปทั้งหมดกี่เล่มกันแน่ 'อาจจะเป็นแปด หรือเก้าเล่ม'

สองพี่น้องเดินมานั่งลงแล้วทั้งหมดก็เริ่มกินอาหาร ข้าวเขียววางหนังสือลงบนตักก่อนที่จะหยิบขนมปังส่วนของตนขึ้นมา เขาค่อยๆ ฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วจุ่มลงในน้ำเหมือนกับที่เคยทำ ในขณะที่คนอื่นๆ ใช้วิธีแกะเปลือกแข็งๆ ของมันออกแล้วกินเนื้อขนมปังข้างในที่อ่อนนุ่มกว่า

ข้าวเขียวหวังว่าจุดพักแรมต่อไปในตอนเย็นวันนี้ คงจะเป็นที่ๆ พวกเขาพอจะออกไปหาอาหารสดๆ กินได้บ้าง 'ฉันเบื่อขนมปังแข็งๆ พวกนี้เต็มทีแล้ว'

ม้าดำทั้งคู่ต่างส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมๆ กัน มันทำหูกระดิกไปมาก่อนที่จะหันมองไปรอบๆ พร้อมกับขยับตัวอย่างกระสับกระส่าย รัตติกาลมองดูอาการของพวกมันก่อนที่จะหันไปสำรวจรอบๆ ตัวอย่างรวดเร็ว

'มีอะไรบางอย่างทำให้พวกมันรู้สึกไม่ปลอดภัย' เขาไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ จึงแกล้งทำตัวเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 'ไม่ใช่พวกสัตว์กินเนื้อแน่ พวกมันไม่น่าจะติดตามกลุ่มคนเยอะๆ แบบพวกเรามา'

มายามองมาทางรัตติกาล เธอเองก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่สองพี่น้องนั้นกลับยังคงนั่งกินกันต่อไป ทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้เลย 'ก็ดีเหมือนกัน พวกมันจะได้ไม่ไหวตัวกันเสียก่อน' ดูเหมือนรัตติกาลก็เข้าใจในความคิดของเธอเช่นกัน เขาจึงลงมือกินอาหารของเขาต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไร

'โชคดีที่ได้เด็กคนนี้เดินทางมาด้วย' เมื่อขาดวาณิชที่เปรียบเสมือนกับผู้คุ้มกันไป มายาเองก็รู้สึกวิตกกังวลกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่ารัตติกาลคนนี้ก็พอที่จะพึ่งพาอาศัยได้อยู่

เมื่อถึงเวลาพักค้างแรมเมื่อใด สิ่งที่ทุกคนจะได้เห็นจนชินตา ก็คือภาพการร่ายรำเพลงดาบอย่างเอาเป็นเอาตายของรัตติกาล ถึงแม้ว่ามายาจะมีความเข้าใจในเรื่องของดาบอย่างจำกัด แต่เธอก็สามารถรับรู้ได้ถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเขา

ถึงจะไม่มีใครคอยสั่งสอนเพลงดาบสายลมให้ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของรัตติกาลก็แทบจะลอกแบบมาจากวาณิชได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน จนมายาเองยังรู้สึกแปลกใจว่าเขาสามารถจดจำท่วงท่าทั้งหมดในคืนนั้นได้อย่างไร จะมีก็เพียงพลังสัญญาเท่านั้นที่เขายังคงไม่อาจใช้ออกได้ดั่งใจ

'แค่นั้นก็มากเกินพอ' การต่อสู้กับคนธรรมดาไม่จำเป็นต้องใช้พลังสัญญาแต่อย่างใด แค่คมของดาบเล่มนั้นก็สามารถเฉือนเนื้อตัดกระดูกได้อย่างไม่ยากเย็นแล้ว

“พี่กล้าไพรจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือคะ พี่เขาไม่ได้กินอาหารมาตั้งหลายวันแล้ว”

อยู่ๆ ข้าวขวัญก็ถามคำถามนี้ขึ้นมา มายาทำเป็นไม่สนใจ เพราะเธอเคยตอบคำถามนี้ไปแล้ว เธอไม่ชอบที่จะต้องพูดอะไรซ้ำๆ ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ทำให้กล้าไพรไม่อาจดื่มกินอะไรได้ทั้งสิ้น ร่างกายของเขาจึงค่อยๆ ซูบลงไปทีละน้อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกล้ารับประกันกับทุกคนว่า 'เขาจะรอดชีวิตไปจนถึงจุดหมายอย่างแน่นอน'

“เขาต้องไม่เป็นอะไร”

รัตติกาลพูดเพื่อให้ความมั่นใจกับข้าวขวัญ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกมั่นใจเช่นนั้นเลยสักนิด ข้าวเขียวเงยหน้าขึ้นจากอาหารของเขา

“ใช่ เชื่อใจคุณมายาสิ”

รัตติกาลหันมองลอดเข้าไปในความมืดของเสื้อคลุมราตรี 'อย่าเชื่อเธอให้มากนักจะดีกว่า' หลายวันมานี้เขาได้ลองคิดทบทวนถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น มีการกระทำหลายอย่างของมายาที่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆ ที่มายาทำลงไปนั้น จะมีเป้าหมายเพื่อจัดการกับกองทัพของเคออส แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ใส่ใจกับผลกระทบใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับคนรอบข้างเลย

แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปทั้งหมด 'คืนนั้นเธอก็ช่วยทุกคนในหมู่บ้านเอาไว้' ซึ่งนั่นทำให้รัตติกาลยังคงไม่อาจด่วนตัดสินในตัวนักมายากลคนนี้ได้

“เราออกเดินทางกันต่อเถอะ”

มายาบอกกับทุกคนก่อนที่จะเดินเข้าไปช่วยรัตติกาลเตรียมม้า

“เก็บแรงของเธอเอาไว้ เราคงมีแขกมาเยือน”

มายากระซิบเบาๆ กับรัตติกาล ก่อนที่จะเดินแยกไป 'ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว' เขานำม้าทั้งคู่ไปเทียมเข้ากับรถสินค้าก่อนที่จะกระโดดขึ้นท้ายรถ ตลอดบ่ายวันนั้นข้าวเขียวได้นั่งอ่านหนังสือส่วนที่เหลืออย่างสบายใจ เพราะไม่มีรัตติกาลมาคอยเต้นแร้งเต้นกาให้เป็นที่น่ารำคาญ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2553
0 comments
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 8:00:53 น.
Counter : 563 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.