|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สัญญาจ้าวราชันย์ อดีตของรอยแผล (46)
เธอคิดอย่างไรกับความเคลื่อนไหวของหมีทองในครั้งนี้
ม่านเมฆเบ้ปาก และหวังว่าคลื่นสมุทรคงไม่ได้เชื้อเชิญเธอมาเพื่อพูดคุยเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น
ก็คงคิดจะเอาหน้าเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ
หมีทองเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งเวทีแสดง อีกทั้งยังช่วยกระจายข่าวไปยังผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในเมืองแห่งกระโจม เพื่อให้มาร่วมชมการแสดงของนักมายากลในค่ำคืนนี้ ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นที่สนใจขึ้นมาในทันที
โดยเฉพาะในกลุ่มของคนหนุ่มสาว และพวกเด็กๆ ที่เคยได้ยินแต่คำบอกเล่าเกี่ยวกับการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจของนักมายากล และแม้แต่บรรดาผู้ใหญ่หลายๆ คน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงอาการตื่นเต้นออกมาด้วย
ม่านเมฆคิดว่ามันอาจเป็นแผนของจิ้งจอกยักษ์ที่คิดจะทำให้ตัวแทนจากเผ่าต่างๆ เกิดความหวั่นไหว และคาดหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสภาชนเผ่าจนมีผลต่อการประชุมในครั้งถัดไป 'คิดง่ายเกินไปแล้ว'
คลื่นสมุทรนิ่งฟังคำตอบของม่านเมฆ โดยที่ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา เธอคุ้นเคยกับใบหน้าเหี่ยวย่นที่แฝงด้วยความอ่อนโยนของผู้เฒ่าคนนี้มาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก และก็จำได้เช่นกันว่าพี่สาวของเธอเคยเตือนให้คอยระวังคลื่นสมุทรผู้นี้เอาไว้ให้ดี 'พี่ม่านฟ้า' ความเศร้าพลันเข้าจู่โจมเธอในทันทีที่หวนคิดถึงพี่สาวขึ้นมา
ผลการรบที่ริมแม่น้ำนั้น นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของเธอ
เป็นเพราะว่าทุกอย่างดำเนินไปตามแผนเท่านั้นเองค่ะ
ม่านเมฆไม่เคยคิดอยากจะรับคำชมเหล่านี้ เพราะเธอรู้ตัวดีว่ามันไม่ได้เกิดจากความสามารถของตัวเองเลยแม้แต่น้อย การปะทะกับสุริยันในครั้งแรก หรือการเข่นฆ่าอันน่าสยดสยอง ณ ชายป่านั้น
แม้ผู้อื่นจะเห็นว่าเป็นความสำเร็จ แต่สำหรับเธอแล้ว มันคือความล้มเหลวเสียมากกว่า กองทหารของเธอเป็นฝ่ายเดินหลงเข้าไปติดกับของสุริยันเอง เพียงแต่ว่าสามารถต่อสู้แลกชีวิตจนสุดท้ายก็เสียหายย่อยยับหมดทั้งสองฝ่าย
ส่วนในครั้งที่สอง หรือแผนน้ำท่วมใหญ่ที่พึ่งประสบความสำเร็จไปนั้น ก็เป็นแผนที่มีการเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ประตูน้ำเก่าแห่งนั้นได้ถูกสร้าง และเฝ้ารักษาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน
มันเกิดมาจากมันสมองของชายผู้ที่ได้ทำการวางรากฐานทางทหารให้กับชนเผ่าเร่ร่อนทั้งมวล ชายผู้ที่สามารถมองเห็นสงครามได้ตั้งแต่ในยามที่มีแต่ความสงบสุข
เขาล่วงรู้เส้นทางการเดินทัพที่สุริยันจะเลือกตั้งแต่แรก และกำหนดให้มีการกักน้ำเอาไว้เป็นประจำทุกปี 'ผู้คนจะได้เข้าใจไปเองว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากหลอกได้แม้แต่พวกของตัวเอง ศัตรูจะต้องหลงกลแน่นอน'
แผนทั้งหมดของเขาคือ 'ใช้สายน้ำที่รุนแรงตัดกองทัพศัตรูออกเป็นสองส่วน ทำลายส่วนหน้าให้ย่อยยับ หากส่วนหลังยังคิดช่วยส่วนหน้าให้เร่งจัดการให้หมดสิ้น หากส่วนหลังหลบหนีให้รีบยกกำลังทั้งหมดติดตามไปก่อนที่จะตั้งตัวได้อีกครั้ง' และเขายังเน้นย้ำอีกว่า 'ห้ามประมาทศัตรูบาดเจ็บที่กำลังหลบหนีเด็ดขาด ให้เน้นใช้ประโยชน์จากธนูสายฝนให้มากที่สุด'
ธนูที่ไม่อาจยิงได้จากบนหลังม้า ธนูที่เล็งเป้าหมายได้ยากยิ่ง ธนูที่ครั้งหนึ่งเคยถูกชาวเผ่าเร่ร่อนหัวเราะเยาะ เขากลับทำการฝึกฝนเด็กหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งอย่างไม่ย่อท้อ จนจัดตั้งเป็นกองธนูเล็กๆ ขึ้นมาได้ และเมื่อทุกคนได้ประจักษ์ถึงสิ่งที่ธนูสายฝนสามารถทำได้ ก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะพวกมันอีกเลย
ภาพใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของชายคนนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของม่านเมฆ ชายคนที่เธอเคยแอบหลงรักมาก่อน 'เลิกคิดถึงเขาได้แล้ว' เธอได้แต่ย้ำเตือนตัวเองอยู่ในใจ
แต่ทำไมเธอถึงไม่จัดการให้เด็ดขาดไปเลย
ม่านเมฆมองดูใบหน้าที่อ่อนโยนของคลื่นสมุทร มันช่างแตกต่างจากสิ่งที่เขาพึ่งเอ่ยปากถามออกมาเหลือเกิน เหตุผลหนึ่งที่เธอต้องนำกองทัพทั้งหมดย้อนกลับมายังเมืองแห่งกระโจม ก็เพื่อจะได้รายงานเรื่องนี้ต่อที่ประชุมด้วยตัวเอง
...ฉันไม่อาจสังหารคนไร้ทางสู้พวกนั้นได้ ไม่มีทาง
เมื่อส่วนหนึ่งของกองทัพสุริยันถูกกับดักที่ริมแม่น้ำคำสัญญา เหล่าทหารที่ติดอยู่ทางฝั่งด้านนี้ต่างนับได้ว่าเป็นคนตายโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ม่านเมฆกลับยับยั้งคำสั่ง หยุดการยิงธนูสายฝนเอาไว้ ทหารสุริยันเหล่านั้นก็ก้มหน้ารับความพ่ายแพ้ และวางอาวุธยอมให้จับกุมแต่โดยดี
แต่หากกลับกัน ฉันคิดว่าทางฝ่ายสุริยันคงไม่ใจดีเหมือนเธอหรอกนะ
ม่านเมฆเม้มปาก ยังมีอีกหลายคนที่ให้ความเห็นว่า เธอควรจะใช้โอกาสนี้จัดการกับทหารสุริยันทั้งหมดให้เด็ดขาด ซ้ำยังย้ำกับเธอว่ามันเป็นเรื่องของสงคราม และเธอยังสามารถนำไปใช้เป็นผลงานในการช่วงชิงตำแหน่งผู้นำแห่งวารีเสียเลย
แต่เธอก็ยังยืนยันคำพูดเดิมอย่างหนักแน่นโดยอ้างว่า 'นักรบที่แท้จริงย่อมไม่เข่นฆ่าคนไร้ทางสู้' และชนเผ่าเร่ร่อนส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
ฉันได้ตัดสินใจไปแล้ว และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันด้วย
นี่คือตัวตนแท้จริงที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ของม่านเมฆ ที่ผู้คนพากันเรียกขานเธอเป็นนางเสือดาว เพราะเห็นเพียงลักษณะทางภายนอกของเธอเท่านั้น 'ฉันไม่อาจสั่งฆ่าคนแบบนั้นได้'
ผลการรบในครั้งนี้แทนที่จะหนุนส่งความนิยมในตัวม่านเมฆให้มากขึ้นไปอีก กลับกลายเป็นก่อให้เกิดความสงสัยในภาวะความเป็นผู้นำของเธอ แต่ชนเผ่าเร่ร่อนทั้งหมดที่เป็นกำลังหลักของกองทัพยังคงมีความภักดีที่ไม่สั่นคลอน ดังนั้นตำแหน่งแม่ทัพของเธอจึงยังมั่นคงอยู่
คลื่นสมุทรสำรวจดูท่าทางของม่านเมฆก่อนที่จะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
ความจริงแล้ว ผู้เฒ่าคนนี้เพียงต้องการได้เห็นวารีรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปเท่านั้นเอง
สภาพของพวกเราที่เป็นอยู่แบบนี้ มันก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนักนี่คะ
คลื่นสมุทรส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ ก่อนที่จะทอดสายตามองออกไปไกล
ใช่มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แต่พวกเรานั้นสมควรที่จะยิ่งใหญ่มากกว่านี้ ลูกหลานของพวกเราควรได้ปกครองไปทั่วหล้า พวกเขาจะได้สุขสบายมากขึ้น เธอไม่คิดเช่นนั้นหรือ
ม่านเมฆไม่ค่อยเข้าใจความคิดนี้ของคลื่นสมุทร 'ยิ่งใหญ่อะไรกัน จะอยู่เหนือคนอื่นไปทำไม ชีวิตแบบนั้นจะมีความสุขได้อย่างไร ชีวิตคือการทำงาน ความสุขคือการได้เห็นพืชไร่เติบโต ฝูงสัตว์เลี้ยงแข็งแรง ได้กิน ได้ดื่ม ให้สมกับแรงงานที่ได้ทุ่มเทลงไปต่างหาก' นี่ก็คือความคิดเห็นทั่วไปของเผ่าเร่ร่อน เธอจึงนิ่งเงียบปล่อยให้คลื่นสมุทรพูดต่อไป
ความจริงแล้วหมีทองเองก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรนัก ทุกสิ่งที่เขาทำลงไป ก็เพื่อพวกพ้องของตนทั้งสิ้น...ถ้าหากพวกเธอสองคนตัดสินใจที่จะร่วมมือกัน รับรองได้ว่าสงครามในครั้งนี้พวกเราต้องเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ และวารีจะต้องยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
ม่านเมฆพึ่งจะตามความหมายในคำพูดของคลื่นสมุทรได้ทัน
หยุดเลยนะท่านผู้เฒ่า เจ้าจิ้งจอกยักษ์คงมาขอร้องให้ท่านช่วยพูดใช่ไหม
ม่านเมฆลืมตัวจนถึงกับตวาดใส่คลื่นสมุทร ผู้เฒ่าถึงกับหน้าซีดพร้อมกับรีบก้มหน้าหลบสายตาของเธอ
...ขอโทษค่ะท่านคลื่นสมุทร แต่อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปเลย
คลื่นสมุทรรีบพยักหน้ารับ แล้วเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง
ตอนนี้ความเคลื่อนไหวของทางสุริยันเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเธอวางแผนรับมือเอาไว้อย่างไร
ม่านเมฆแกล้งแสดงท่าทางว่าไม่มีความกังวลแต่อย่างใด
เจิดจรัสกำลังเร่งทำการรวบรวมกำลังทหาร พร้อมทั้งสะสมเสบียงใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาคงต้องเป็นผู้นำทัพออกมาด้วยตัวเองแน่ และการรบในครั้งหน้าก็จะเป็นการตัดสินผลแพ้ชนะของสงครามในครั้งนี้
...ถ้าอย่างนั้นที่เธอนำกำลังทั้งหมดกลับมายังเมืองแห่งกระโจม คงเป็นเพราะมีแผนเตรียมรับมือเอาไว้แล้วใช่ไหม
คลื่นสมุทรพยายามคาดเดาความคิดของม่านเมฆ แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเธอจะรับมือกับเจิดจรัส และกองทัพของเขาเช่นใด อาจเหมือนกับแผนน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีใครสามารถเดาแผนของเธอได้เลย
ก่อนจากกันคลื่นสมุทรก็พูดขึ้นมาว่า
...บางทีหมีทองอาจมีแผนอื่นซ่อนอยู่ในความเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็เป็นได้
ม่านเมฆใช้ความคิดอย่างหนักในขณะที่เดินผ่านไปท่ามกลางกระโจมหลากสีสรร แผนการรบครั้งสุดท้ายที่ใครๆ ต่างคาดหวังจากตัวเธอนั้น มันไม่มีอยู่จริง หากเดินตามหนทางที่ชายผู้นั้นวางเอาไว้ให้ การรบที่ผ่านมาต้องเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายไปแล้ว
กองทัพของเธอต้องบุกตะลุยไปจนถึงปราสาทสุริยัน ลูกธนูสายฝนที่ถูกเตรียมไว้มากมายจะต้องตกกระหน่ำเข้าไปในกำแพงสูงของป้อมปราการไร้พ่ายแห่งนั้น เธอรู้ว่าได้ปล่อยโอกาสแห่งชัยชนะที่ดีที่สุดให้หลุดมือไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นม่านเมฆก็ไม่ได้ยอมถอดใจง่ายๆ เธอยังคงมีพวกพ้องที่เข้มแข็ง และอานุภาพของธนูสายฝนก็ยังคงให้ความมั่นใจกับเธอได้อยู่เช่นเดิม หากเจิดจรัสเคลื่อนทัพออกมาเมื่อใด เธอเองก็พร้อมที่จะนำพาผู้คนของเธอออกไปเผชิญหน้ากับเขา ถึงแม้จะไม่มีแผนลับใดๆ ของชายผู้นั้นอีกแล้วก็ตาม
ม่านเมฆได้คิดแผนที่เรียบง่ายขึ้นมา นั่นคือฉวยโอกาสที่สุริยันต้องเร่งรีบเดินทัพมาด้วยความแค้น ใช้การรอคอยอย่างเยือกเย็นเข้าโจมตีกองทัพที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล และแน่นอนว่าพระเอกของการรบในครั้งนี้ย่อมหนีไม่พ้นธนูสายฝนเช่นเดิม
สายตาของม่านเมฆพลันพบเห็นเด็กผู้ชายเคลื่อนตัวหายไปทางมุมกระโจมหลังหนึ่ง ชุดที่แตกต่างจากชาววารีของเขาทำให้เธอเกิดความสนใจขึ้นมาในทันที 'คงเป็นเด็กคนที่เดินทางมากับนักมายกล'
คำพูดสุดท้ายของคลื่นสมุทรพลันผุดขึ้นมาในทันที การจับมือกันระหว่างจิ้งจอกยักษ์ กับนักมายากลอาจไม่ได้มีเพียงเท่าที่เห็น 'บางทีสองคนนั้นอาจมีแผนอย่างอื่นซ่อนอยู่ก็เป็นได้'
ม่านเมฆลองคาดเดาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ นักมายากลคนนั้นจะยืนเด่นอยู่กลางเวที ในขณะที่สายตาของทุกผู้คนคงถูกดึงดูดเอาไว้บนเวทีแห่งนั้นเช่นกัน เมืองแห่งกระโจมจะกลายเป็นเมืองร้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็จะยังคงมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ยังคงมีทหารเฝ้าประจำอยู่
ม่านเมฆพลันนึกสงสัยถึงจุดหมายของเด็กคนนั้นขึ้นมาทันที 'ทิศทางนั้นมัน' เธอเร่งติดตามเขาไปโดยไม่ให้รู้ตัว และจุดหมายของเขาก็เป็นสถานที่ที่เธอกังวลใจจริงๆ เธอเห็นเขาไปหยุดด้อมๆ มองๆ อยู่ตรงทางเข้าสู่ปราสาทวารี ซึ่งได้ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่ต้องห้ามจากผลของการประชุมชนเผ่าในครั้งแรก ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว
ผู้ที่จะสามารถย่างก้าวเข้าไปในปราสาทแห่งนี้ คือผู้ที่ได้รับเลือกให้ขึ้นเป็นราชาแห่งวารีเท่านั้น และมันจะเป็นด่านทดสอบสุดท้ายถึงความเหมาะสมในตำแหน่งราชาของเขา หรือเธอผู้นั้นด้วย
ม่านเมฆหวนนึกถึงพี่สาวของเธอ กับเรื่องราวที่แสนเศร้าเหล่านั้นอีกครั้ง เรื่องราวที่เกี่ยวข้องพัวพันกับความผิดพลาดในวัยสาวของเธอกับชายหนุ่มผู้นั้น เธอรีบหลบเข้าไปข้างกระโจมหลังหนึ่ง
เมื่อเด็กชายคนนั้นเดินย้อนกลับมาในทิศทางเดิม เธอแอบมองดูใบหน้าที่ซื่อตรงของเขา ตาของเขาฉายแววแห่งความเฉลียวฉลาดออกมา 'เด็กแบบนี้จะทำเรื่องร้ายอะไรได้นะ'
ม่านเมฆไม่ยอมให้สิ่งที่เห็นจากภายนอกนั้นมาทำลายความสงสัยของตัวเอง จิ้งจอกยักษ์ต้องอยู่ที่ข้างเวทีแน่เพื่อให้ผู้คนเห็นว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้อง หลังจากนั้นจึงค่อยใช้วิธีการบางอย่าง จัดการกับสิ่งที่เด็กคนนั้นนำออกมาจากปราสาทวารี
สิ่งเดียวที่เธอสงสัยก็คือ 'เด็กคนนั้นจะนำเจ้าชายแห่งสายน้ำออกมาได้จริงหรือ' อะไรทำให้พวกเขาเชื่อมั่นกันถึงขนาดนั้น
การหาทางเล็ดรอดเข้าสู่ปราสาทวารีในช่วงเวลาที่แสดงมายากลอยู่นั้น อาจไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก แต่หมีทองเองก็รู้ถึงสิ่งลึกลับอีกอย่างหนึ่งที่คอยคุ้มครองดาบต้องสาปนั้นเอาไว้
การบุกเข้าปราสาทวารีในยามราตรีนั้น นับเป็นความคิดที่บ้าบออย่างที่สุด 'จิ้งจอกยักษ์อาจคิดว่า การเสี่ยงชีวิตเด็กที่ไม่รู้จักเพียงคนเดียวนั้นคงไม่เป็นไร' หรือไม่นักมายากลก็อาจมีแผนร้ายอย่างอื่นซ่อนอยู่
หลังจากที่ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิดลง การแสดงบนเวทีของมายาก็เริ่มต้นขึ้น เสียงกล่าวเปิดการแสดงของเธอดังกังวาลไปทั่วเมืองแห่งกระโจมได้อย่างน่าประหลาดใจ ม่านเมฆหาข้ออ้างที่จะไม่อยู่ร่วมชมการแสดง ก่อนที่จะมาแอบซ่อนตัวคอยจับตามองความเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าปราสาทวารี
ทหารยามดวงซวยกลุ่มหนึ่งที่ต้องอยู่ทำหน้าที่เฝ้าประตูปราสาทวารีในค่ำคืนนี้ แทบจะไม่สนใจงานที่ต้องรับผิดชอบเลย ต่างคนต่างคอยแต่เฝ้าชะเง้อมองไปทางเวที และนึกสงสัยว่ากำลังมีการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหนเกิดขึ้นอยู่กันแน่
ม่านเมฆที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด มองเห็นเงาร่างสองสายค่อยๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา หนึ่งในนั้นคือเด็กผู้ชายที่ได้พบเจอเมื่อตอนบ่าย ส่วนอีกคนสวมใส่เสื้อคลุมปกปิดร่างกายเอาไว้นั้น 'คงจะเป็นลูกศิษย์ของนักมายากล' เธอจำได้ว่าพวกเขาเดินทางมาด้วยกันสามคน
เด็กผู้ชายคนนี้มีชื่อว่าข้าวเขียว ส่วนเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของนักมายากลนั้น กลับไม่ค่อยมีใครได้พบเห็นตัวมากนัก และนักมายากลที่มีชื่อว่ามายาผู้นี้ ก็ดูเหมือนว่าจะพยายามไม่ให้เด็กสาวเปิดเผยตัวเองออกไปด้วย 'เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอยู่แน่'
ม่านเมฆตัดสินใจรอดูการเคลื่อนไหวของทั้งสอง ก่อนที่จะคิดลงมือทำอย่างไรต่อไป
Create Date : 28 ธันวาคม 2553 |
Last Update : 2 มกราคม 2554 13:48:38 น. |
|
3 comments
|
Counter : 658 Pageviews. |
|
|
|
โดย: zoi วันที่: 2 มกราคม 2554 เวลา:23:31:34 น. |
|
|
|
|
|
|
|
และก็สุขสันวันปีใหม่ล่วงหน้าด้วยนะครับ
...เจอกันปีหน้า...ทำไม ๆๆๆๆๆๆๆ...ม่ายยยยย ยอมมมมมมมมม...