ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
26 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ คืนแห่งงานฉลอง (9)

พอ พลุ ลูกแรกแตกระเบิดออก กล้าไพร ที่รอจังหวะอยู่ ก็รีบสะกิดทั้งสองคนทันที ข้าวขวัญ ยังคงมีท่าทีลังเลใจ รัตติกาล จึงเร่งให้เธอติดตามเขาไปโดยเร็ว

“รีบตามไปก่อนเถอะ มีอะไรไว้ค่อยไปคุยกันข้างนอกนั่นก็ได้…”

ในที่สุดเธอจึงยอมติดตามพวกเขาออกไป ผู้คนรอบข้างเอาแต่แหงนหน้าจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จึงไม่มีใครสนใจพวกเขาที่เบียดตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียว ทั้งสามคนก็สามารถออกพ้นจากลานกว้างไปได้แล้ว

กล้าไพร หันกลับไปสำรวจดูลานกว้างอีกครั้ง เมื่อไม่พบเห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาก็รีบมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือทันที ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ทอดยาวรอทั้งหมดอยู่ในความมืด ขอเพียงข้ามพ้นไปได้ก็จะเข้าสู่เขตป่าแล้ว

รัตติกาล อดหันกลับไปมองดูแสงสีต่างๆ ที่กำลังแต่งแต้มท้องฟ้ายามราตรีในเวลานี้อยู่ไม่ได้ เขาไม่เคยพบเห็นอะไรที่งดงามเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ความสามารถของ นักมายากล นั้นนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ข้าวขวัญ เองก็เหลียวกลับไปดูอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน รัตติกาล ไม่แน่ใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนเธอจะเกิดความสนใจในขอเสนอของ นักมายากล คนนั้นขึ้นมา หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของเธอในค่ำคืนนี้

กล้าไพร ที่เดินนำหน้าหยุดร่างลงอย่างกะทันหัน ทำเอาทั้งสองคนที่ติดตามมาแทบจะปะทะชนกันเอง รัตติกาล กำลังจะอ้าปากถาม แต่ กล้าไพร รีบยกมือห้ามไม่ให้ส่งเสียง พร้อมกับสะกิดให้ติดตามเขาไปที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

ท่ามกลางแสงจันทร์ที่มืดสลัว รัตติกาล มองเห็นตัวอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา เขาบอกไม่ถูกว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ มันมีสี่ขา มีหัว และมีหาง แต่เขากลับไม่สามารถอธิบายรูปร่างหน้าตาของมันออกมาได้ มันมองดูคล้ายกับเป็นกลุ่มควันสีดำที่มารวมตัวกัน บางครั้งดูเหมือนจะถูกพัดกระจายหายไป แต่แล้วก็กลับรวมตัวกันเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง

รัตติกาล กวาดตามองไปรอบๆ และพบเห็นพวกมันอีกหลายตัว พวกมันดูเหมือนกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่พวกเขาจากมา เป้าหมายของพวกมันอาจจะเป็น ลานกลางหมู่บ้าน นั่นเอง

รัตติกาล หันไปมอง กล้าไพร ซึ่งกำลังทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เขาจึงนั่งรออยู่เงียบๆ ตอนนี้ กล้าไพร คือผู้นำของทั้งหมด การเคลื่อนไหวใดๆ จึงควรต้องฟังความคิดเห็นของเขาก่อน

“มัน…เป็นตัวอะไรกัน ขวัญ มองไม่ค่อยเห็นเลย”

ข้าวขวัญ กระซิบถามขึ้นเบาๆ รัตติกาล หันไปมอง กล้าไพร เพื่อยกให้เขาเป็นคนตอบคำถามนี้

“มัน…พวกมัน…เป็น…ฝูงหมาป่า…คง...คงมาจากทางป่าฝั่งโน้น…”

รัตติกาล คิดขึ้นในใจ ‘หมาป่า เนี่ยนะ’ แต่ก็ไม่ได้พูดทักท้วงอะไรออกไป ข้าวขวัญ พยักหน้ายอมรับคำอธิบายของ กล้าไพร อย่างง่ายดาย เธอคงมองเห็นพวกมันได้ไม่ชัดจริงๆ และเธอยังกระซิบต่อไปอีกว่า

“แปลกจัง…ดูยังกับว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปที่ลานกว้าง”

กล้าไพร ตัดสินใจในที่สุด

“พวกเราไปกันต่อตามแผนเดิม…ถึงยังไงที่ลานกว้างก็มีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ แถมยังมี นักมายากล อยู่ด้วย คงไม่มีอะไรหรอก”

“…แต่ว่า”

ข้าวขวัญ ยังคงลังเลใจอยู่ รัตติกาล เองก็เช่นกัน เขาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงทุกคนขึ้นมา อย่างน้อยหากรีบวิ่งกลับไปก็ยังอาจจะพอเตือนคนอื่นๆ ให้รู้ตัวก่อนได้ แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็แวบขึ้นมาในหัวของเขา

“…แม่”

กล้าไพร หันไปมอง รัตติกาล และนึกขึ้นมาได้ในทันที ตอนนี้ จันทร์เสี้ยว มารดาของ รัตติกาล อยู่ที่บ้านเพียงลำพัง หากมีพวกมันผ่านไปทางนั้นเข้า อาจจะเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นก็ได้ กล้าไพร จึงไม่ขบคิดให้มากความอีกต่อไป

“พวกเรารีบไปที่บ้านของ รัตติกาล ก่อน”

ข้าวขวัญ หันมามองหน้าทั้งสองคนอย่างแปลกใจ รัตติกาล รำพึงออกมาเบาๆ

“แม่อยู่ที่บ้านคนเดียว”

พอเขาพูดจบ พลุ ลูกที่สองก็ระเบิดขึ้นพอดี แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจมันอีก ทั้งสามคนตกลงกันว่าจะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังบ้านของ รัตติกาล เพื่อหาทางช่วยเหลือ จันทร์เสี้ยว ก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยว่ากันอีกที

กล้าไพร รอให้ตัวประหลาดเหล่านั้นผ่านไปก่อนแล้วจึงค่อยเคลื่อนไหว เขาไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกับพวกมันขึ้นโดยไม่จำเป็น 'การต่อสู้กับสิ่งที่ไม่รู้จักนั้นอันตราย หากเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง' นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในคำสอนของบิดา

เขาค่อยๆ นำทั้งสองคนเดินตัดกลับมาที่ ถนนใหญ่ เขาไม่นำทั้งหมดขึ้นไปเดินบนถนน แต่กลับเดินหลบอยู่ทางด้านข้างแล้วลัดเลาะไปตามข้างทางแทน ในระหว่างนั้นเขาก็คอยสอดส่องมองดูไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของสิ่งผิดปกติใดๆ ให้พบเห็นเลย

รัตติกาล ที่ตอนแรกเอาแต่คอยเร่ง กล้าไพร ให้เดินทางเร็วขึ้น รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย เพราะนอกจากพวกตัวประหลาดที่ได้พบเจอเหล่านั้นแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีความผิดปกติอื่นใดอีก ตอนนี้เขาจึงเริ่มคิดว่าหากได้เจอกับมารดาที่บ้านแล้ว เขาจะบอกเรื่องนี้กับนางอย่างไรดี และพวกเขาควรจะซ่อนอยู่ภายในบ้าน หรือนำนางออกเดินทางไปหลบอยู่ในป่าดี

ข้าวขวัญ รีบเร่งติดตามทั้งสองไปอย่างไม่ชักช้า ตอนนี้เรื่องราวของเธอได้ถูกลดความสำคัญลงไปแล้ว และเธอเองก็ยิ่งรู้สึกลังเลใจมากขึ้นกว่าเดิม ความสามารถของ นักมายากล นั้นดึงดูดใจเธอไม่น้อย ถ้าหากเธอทำอย่างนั้นได้บ้าง หากเธอได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีที่มีผู้คนมากมายคอยจับจ้องมองดูอยู่ ความรู้สึกนั้นจะเป็นเช่นใดกันแน่

#####

พอ กล้าณรงค์ หันหลังจากไป มายา ก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน วาณิช จึงรีบติดตามเธอไปทันที ข้าวเขียว มองคนทั้งสองก่อนที่จะตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำ เขาตะโกนขึ้นด้วยเสียงดัง

“…ขอ…ขอผมไปด้วยคนนะครับ”

มายา กับ วาณิช ยังคงวิ่งไปไม่หยุด ทั้งสองไม่ได้เหลียวหน้ากลับมา แต่เสียงหวานๆ ของ มายา ตอบกลับมาอย่างผิดคาด

“รีบตามมาสิ”

วาณิช ที่ติดตามอยู่ทางด้านหลังทำสีหน้าประหลาดใจ คล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน อุดม ตะโกนห้ามลูกชายด้วยเสียงดัง แต่ ข้าวเขียว ทำเป็นไม่สนใจ เขารีบวิ่งติดตามทั้งสองคนไปอย่างรวดเร็ว

“ผมจะต้องช่วยน้องขวัญกลับมาให้ได้…เธอจะต้องปลอดภัย”

วาณิช พูดกับ มายา ขึ้นเบาๆ

“ฉันมีหน้าที่แค่คุ้มครองเธอคนเดียวเท่านั้น”

“ฉันเคยบอกไปแล้วว่า ฉันไม่ต้องมีใครมาคอยคุ้มครอง…และเด็กคนนั้นฉันจะดูแลเอง”

“ก็ตามใจ”

วาณิช รู้สึกแปลกใจมาก การกระทำของเธอในวันนี้นับว่าน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งการที่ให้เด็กคนนั้นไปยุ่งกับ เครื่องยิงพลุ และการที่ให้เขาตามมาด้วยแบบนี้ หรือว่าเธออาจจะเกิดถูกอกถูกใจอะไรเด็กคนนี้ขึ้นมา พอคิดถึงตรงนี้เขาก็รีบสะบัดหน้าโดยแรง ความคิดเมื่อครู่นับได้ว่าบ้าบอเป็นอย่างยิ่ง ‘หรือว่ามันอาจจะเป็นความจริง’

ข้าวเขียว วิ่งตามคนทั้งสองมาทันแล้ว ความรวดเร็วของเขาทำให้ วาณิช ต้องรู้สึกประหลาดใจ มายา บอกให้เขาติดตามอยู่ทางด้านหลังของเธออย่าได้ห่างโดยเด็ดขาด

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอต้องอยู่ข้างหลังฉันเสมอเข้าใจไหม”

“…ครับ”

มายา วิ่งนำหน้าออกจากลานกว้างไปอย่างไม่ลังเล ตัวประหลาดเหล่านั้นไม่ได้หันมาสนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย พวกมันทำท่าเหมือนกับมองไม่เห็น และไม่ได้ยิน ในขณะที่พวกเขาวิ่งผ่านไปเลย

ข้าวเขียว มองดูพวกมันด้วยความประหลาดใจในขณะที่กำลังวิ่งผ่าน เขารู้แล้วว่าพวกมันไม่ใช่ หมาป่า อย่างที่เขาคิด แต่เขาไม่รู้ว่าพวกมันเป็นตัวอะไรกันแน่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้อยู่ด้วย พวกมันควรจะเป็นตัวประหลาดที่หลุดออกมาจากฝันร้ายของใครบางคนมากกว่า

ในตอนแรกเขาก็รู้สึกกลัวพวกมันอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเห็นพวกมันพากันเอาแต่ยืนนิ่งๆ จ้องมองไปยังลานกว้างที่อยู่ตรงหน้า ความหวาดกลัวพวกมันก็ค่อยๆ ลดลง โดยมีความสงสัยเข้ามาแทนที่

เขาเกิดความสงสัยอย่างหนึ่งขึ้นมา ถ้าหากเขาตะโกนส่งเสียงดังในตอนนี้ พวกมันจะได้ยินเสียงของเขาหรือไม่ พอความคิดเกิดขึ้นเขาก็เริ่มสูดลมหายใจเข้าลึก แต่ก่อนที่เขาจะได้ส่งเสียงร้องออกมา มือข้างหนึ่งก็ทิ่มเข้าใส่บั้นเอวของเขาจากทางด้านหลัง

“อย่าคิดทำอะไรแผลงๆ เด็ดขาด ถ้าเธอตะโกนออกมาล่ะก็ พวกมันได้ยินแน่ๆ “

วาณิช กระซิบอย่างรู้ทัน เขาที่ติดตามอยู่ทางด้านหลัง พอเห็นท่าทางของ ข้าวเขียว ก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเด็กคนนี้กำลังคิดจะทำอะไร เขาได้แต่ส่ายหน้าแล้วติดตามทั้งหมดไปเงียบๆ

เมื่อตัดผ่านวงล้อมของตัวประหลาดเหล่านั้นออกมาได้ มายา ก็รีบนำทั้งหมดออกติดตามร่องรอยของเด็กทั้งสามคนไป ข้าวเขียว หันกลับไปดูลานกว้างที่ถูกล้อมเอาไว้อีกครั้ง ถึงแม้พวกมันจะไม่มีทีท่าว่าจะบุกเข้าไป แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยหลังกลับเช่นกัน เขาหันกลับมามองเงาหลังของ มายา อีกครั้ง และเริ่มรู้สึกกังวลกับความปลอดภัยของผู้ชาวหมู่บ้านทั้งหมด

#####

กล้าณรงค์ ก้าวออกจาก ลานกลางหมู่บ้าน ด้วยความในใจที่หนักอึ้ง สิ่งที่เขาเห็นอยู่ในมือของ นักมายากล เมื่อครู่ ต้องเป็นสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย การที่มันปรากฏขึ้นแสดงว่า เวลานั้น ได้มาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ

แต่ท่านผู้นั้นกลับไม่ได้แตะต้องมัน และท่านผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นผู้ถือครองมันอยู่ เพราะ 'สิ่งที่อยู่ในมือของ นักมายากล ย่อมต้องเป็นของ นักมายากล' ถ้าอย่างนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่

เงาสีดำร่างหนึ่งกระโดดเข้าใส่เขา ส่วนที่ดูเหมือนปากของมันอ้ากว้างออก ภายในนั้นไม่มีเขี้ยวหรือสิ่งใดอยู่เลย มีเพียงความว่างเปล่าที่มืดมิดเท่านั้น หากมันกัดถูกสิ่งใดเข้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่รับรองได้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

ประกายแวววับสองสายพลันตวัดออกจากมือที่กรีดวาดอย่างรวดเร็ว คมของมันไม่ได้สัมผัสเข้ากับร่างเงานั้นโดยตรง แต่กลับเขียนวาดเป็นรูปสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นกลางอากาศ

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ กล้าณรงค์ ได้พบพานกับพวกมันเข้าจริงๆ แต่เขาก็รู้ว่า อาวุธธรรมดาทั่วๆ ไปนั้นไม่สามารถทำอันตรายพวกเงาประหลาดเหล่านี้ได้ มีเพียง พลังแห่งสัญญา ที่ผูกพันกับ สี่ราชา เท่านั้น ที่จะสามารถใช้จู่โจมพวกมัน และที่เขากำลังใช้อยู่นี้คือ เพลงดาบสายลม ซึ่งมีส่วนหนึ่งของ พลังแห่งสัญญา สถิตอยู่

เมื่อตัวประหลาดนั้นปะทะชนเข้ากับลายเส้นที่ขีดวาดเอาไว้กลางอากาศ ร่างของมันก็ปลิวกระเด็นออกไปเหมือนถูกพัดด้วยสายลมที่รุนแรง มันส่งเสียงร้องที่ฟังดูคล้ายกับเสียงลมพัดหวีดหวิวออกมา ก่อนที่จะถอยกลับไปรวมกับตัวอื่นๆ พวกมันที่เหลือต่างยอมหลีกทางให้กับเขาแต่โดยดี

กล้าณรงค์ สลัดความสงสัยที่มีอยู่ในใจทิ้งไป ตอนนี้เขาต้องรวบรวมสมาธิเพื่อรับมือกับเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้าก่อน เพราะถึงแม้ว่าพวกลูกสมุนจำนวนมากเหล่านี้จะไม่อาจทำอันตรายเขาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่พวกมันอยู่เท่านั้น ในความมืดข้างนอกนั่นอาจจะมีศัตรูที่เก่งกาจซ่อนตัวอยู่อีกก็เป็นได้

เขาเผลอยกมือขึ้นแตะที่หน้าอกอย่างลืมตัว ข้างใต้นั้นคือรอยแผล และเรื่องราวที่เขาไม่มีวันลืม เขาจะต้องไม่ทำผิดพลาดเช่นนั้นอีกอย่างเด็ดขาด


Create Date : 26 เมษายน 2553
Last Update : 26 เมษายน 2553 8:39:31 น. 2 comments
Counter : 600 Pageviews.

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:11:23:46 น.  

 


โดย: thanitsita วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:17:41:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.