ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
30 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ แดนแห่งดารา (30)

พื้นที่รูปแอ่งกระทะกว้างใหญ่ที่อุดมไปด้วยไม้พุ่มนานาชนิดแผ่ขยายออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา พุ่มไม้เหล่านี้ดูอ่อนวัยกว่าต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่โดยรอบ มองดูคล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้เคยประสบกับภัยธรรมชาติที่รุนแรงจนทำให้ผืนป่าดั้งเดิมถูกทำลายไปจนหมดสิ้น แล้วกาลเวลาก็ค่อยๆ ซ่อมแซมพวกมันขึ้นมาใหม่อย่างช้าๆ แต่ยังคงทิ้งร่องรอยที่เหมือนกับแผลเป็นเอาไว้เช่นนี้ สถานที่แห่งนี้เองที่ถูกเรียกขานว่าเป็น 'แดนแห่งดารา'

ถนนเพียงเส้นเดียวที่ใช้ผ่านเข้าออกนั้นไม่จำเป็นต้องมีคนคอยเฝ้า เพราะหากผู้ที่เดินทางเข้ามาไม่ใช่นักมายากล ถนนเส้นนี้จะนำพาผู้บุกรุกวนเข้าสู่ส่วนลึกของป่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ใช้เวลาเพียงไม่นานก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเดินย้อนเส้นทางเดิมกลับออกไป แต่ยังมีเรื่องเล่าลือกันอีกว่าเคยมีคนบางกลุ่มที่ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าต่อ สุดท้ายไม่มีใครได้พบเห็นพวกเขาเหล่านั้นอีกเลย

ทิวทัศน์ของแดนแห่งดารานั้นไม่ได้น่าประทับใจเหมือนกับที่ข้าวเขียวเคยจินตนาการเอาไว้ มันก็เหมือนๆ กับเส้นทางที่พวกเขาเคยเดินทางผ่านมานั่นเอง เขาจึงละสายตาจากภาพนอกหน้าต่างเพื่ออ่านหนังสือเล่มที่อยู่ในมือให้จบ ซึ่งเขาจำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นเล่มที่เท่าไรกันแน่

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการอ่านหนังสือจะทำให้พบเจอกับเรื่องราวที่น่าสนใจได้มากมายถึงเพียงนี้ ถึงแม้ในบางด้านมันอาจจะเทียบไม่ได้เลยกับการออกไปพบเจอกับสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่ก็มีอยู่อีกหลายด้านที่มันสามารถบอกเล่าประสบการณ์ที่เขาไม่มีวันสัมผัสได้จริง

หนังสือเหล่านี้ได้นำพาเขาเดินทางท่องไปทั่วทุกมหาอาณาจักรในช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังบอกเล่าเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายนับไม่ถ้วน

“ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว”

เสียงเอะอะโวยวายของข้าวขวัญดังแว่วเข้ามาภายในตัวรถ ดูเหมือนว่าความพยายามอันยาวนานตลอดการเดินทางที่ผ่านมาของเธอ จะประสบผลสำเร็จในที่สุด

แอปเปิ้ลที่วางอยู่ในมือของข้าวขวัญได้หายไปแล้ว มันหายไปก่อนที่เธอจะทันได้รู้ตัวเสียอีก ความตื่นเต้นยินดีกระจายอยู่ทั่วใบหน้าของเธอ แต่ดูเหมือนว่าคนที่นั่งขับรถม้าอยู่ข้างๆ นั้นจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเลย

'ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะทำเรื่องง่ายๆ แบบนี้ได้ เธอจะเป็นคนที่ฉันคิดจริงหรือ' แต่มายาก็รู้สึกโล่งอก ที่ในที่สุดข้าวขวัญก็สามารถทำในสิ่งที่ควรทำได้ 'อย่างน้อยสมาคมนักมายากลก็จะได้มีสมาชิกใหม่เสียที' หลังจากที่ได้แต่สูญเสียสมาชิกไปเรื่อยๆ ให้กับกาลเวลาที่ผ่านไป

“คราวนี้ลองเอามันกลับมาได้ไหม”

“...ได้ค่ะ”

ข้าวขวัญตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แต่เพียงพริบตาเดียวแอปเปิ้ลลูกเดิมนั้นก็กลับมาอยู่ในมือ เธอจ้องดูมัน ทำให้หายไปอีกครั้ง ก่อนที่จะนำมันกลับมาใหม่ ซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายรอบ

“สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว”

ข้าวขวัญร้องตะโกนด้วยความยินดี เธอเคยคิดเอาไว้ว่าถ้าหากทำแบบนี้ได้เมื่อไร เธอคงจะต้องรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนคนเดิมอีกแน่ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธอยังคงคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอยู่เช่นเดิม ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เศษซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างบางอย่างเริ่มมีให้เห็นกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ แต่ยังคงไม่มีวี่แววของปราสาทจันทราให้ได้พบเห็น ความจริงก็คือรอบๆ บริเวณนี้มีเพียงพุ่มไม้เตี้ยๆ เท่านั้น หากมีสิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่อย่างปราสาทตั้งอยู่จริง ทั้งหมดก็น่าจะต้องพบเห็นนานแล้ว

สองพี่น้องได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ และมายาก็ไม่ยอมจะอธิบายอะไรทั้งสิ้น ซากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มีปริมาณหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าวเขียววางหนังสือที่พึ่งอ่านจบลง ก่อนที่จะย้ายมานั่งพิจารณาสิ่งที่ได้พบ 'น่าจะเป็นซากของเมืองขนาดใหญ่ที่เคยตั้งอยู่รอบๆ อาณาจักร แต่ทำไมถึงยังไม่เห็นตัวปราสาทอีกนะ'

ภาพที่เห็นนั้นรบกวนจิตใจของข้าวเขียวอยู่ไม่น้อย เขาสามารถจินตนาการได้ถึงเมืองขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย ทั้งหมดต่างกำลังประกอบกิจวัตรประจำวันของตนกันอย่างวุ่นวาย ทั่วทั้งเมืองนั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา 'แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้คนมากมายนั้นหายไปไหน ทำไมถึงเหลือแต่ซากเมืองแบบนี้'

ข้าวเขียวขยับตัวเพื่อให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ขาของเขาไปเตะถูกกองหนังสือเข้า ทำให้พวกมันหล่นลงมากระจัดกระจายอยู่บนพื้นรถ หนังสือเล่มหนึ่งที่เขาเคยอ่านจบไปแล้วเปิดออกมาเผยให้เห็นหน้าปกด้านในของมัน เขาก้มลงเพื่อเก็บหนังสือ และได้พบเห็นอะไรบางอย่าง

ปกด้านในของหนังสือเล่มนั้นถูกทำให้เป็นช่อง โดยมีขอบที่อยู่ด้านในเป็นรูเปิด มีกระดาษเก่าๆ แผ่นหนึ่งยื่นออกมาจากภายในช่องเปิดนั้น ข้าวเขียวหยิบมันออกมาดูด้วยความสนใจ ความเก่าแก่ของแผ่นกระดาษทำให้เขาต้องค่อยๆ กางมันออกด้วยความระมัดระวัง ภายในนั้นมีตัวอักษรรูปแบบสวยงามที่เขาไม่รู้จัก เขียนเอาไว้อย่างเป็นระเบียบจำนวนหลายแถว

ที่ด้านล่างของแผ่นกระดาษมีลายมือเรียบร้อยที่ข้าวเขียวคาดว่าน่าจะเป็นของมายาเขียนกำกับเอาไว้ ตัวอักษรมีขนาดเล็กเพื่อให้เหมาะกับที่ว่างบนกระดาษที่เหลืออยู่ เขาลองอ่านบรรทัดแรกดู 'คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำทำนายที่หายไป' มันดึงดูดความสนใจของเขาจนทำให้ต้องรีบอ่านส่วนที่เหลือทันที

'...ผนึกเก่าสูญสลายเงาร้ายหวนกลับคืน
แสงจันทร์พลันถูกกลืนด้วยเปลวแห่งไฟสงคราม
หมุนเข็มทิศให้ชี้ช่องเสกกุญแจเปิดหนทาง
สายเลือดแต่โบราณทวงสัญญาจ้าวราชันย์'

ข้าวเขียวพลันนึกถึงเรื่องราวที่พวกเขากำลังพบเจอ สองบรรทัดแรกของคำทำนายนี้ สามารถอธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี และคำว่า 'แสงจันทร์' ยังทำให้เขานึกไปถึงจันทร์เสี้ยวมารดาของรัตติกาลอีกด้วย 'นางหายตัวไปในคืนเดียวกับการมาถึงของมายาพร้อมกับข่าวเรื่องสงครามพอดีเลย'

ส่วนสองบรรทัดที่เหลือนั้นไม่สื่อความหมายใดๆ กับข้าวเขียว 'เข็มทิศ กุญแจ กับสายเลือดแต่โบราณ พวกมันคืออะไรกันแน่' และยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสงสัย 'ทำไมไม่เห็นมีการกล่าวถึงอาวุธอย่างราชาแห่งสายลมของวาณิชเอาไว้ตรงไหนเลยนะ' เขาคิดว่าสิ่งนั้นก็น่าจะมีความสำคัญเพียงพอให้ต้องมีการเขียนถึงมันบ้าง

'หรืออาจจะมีอยู่ในส่วนอื่น' ข้าวเขียวลองพลิกกระดาษแผ่นนั้นไปมา แต่ทั้งหมดนั่นคือสิ่งเดียวที่เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนี้ 'หรือมันอาจจะถูกซ่อนเอาไว้ในคำแปลกๆ พวกนั้น'

รถสินค้าค่อยๆ ชลอช้าลง ดูเหมือนว่าการเดินทางในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ข้าวเขียวรีบพับกระดาษแผ่นนั้นใส่กลับคืนเข้าไปในช่องของหนังสือเล่มเดิม เขาวางมันรวมเอาไว้ในกองเหมือนเดิม ก่อนที่จะรีบมองออกไปข้างนอก ไม่มีปราสาทหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ แม้แต่บ้านสักหลังให้เห็น รอบๆ นี้ก็ยังคงมีแต่กองเศษซากปรักหักพังอยู่เท่านั้น

ม้าดำทั้งคู่ค่อยๆ เดินเข้าสู่ลานหินแห่งหนึ่ง แต่ละย่างก้าวของพวกมันเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ พวกมันพากันหันมองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย หากไม่มีมายาคอยบังคับเอาไว้ ทั้งสองตัวคงจะไม่กล้าเดินเข้ามาในสถานที่นี้แน่

มายาลงจากรถโดยมีข้าวขวัญตามมาด้วย ข้าวเขียวเองก็รีบเปิดท้ายรถสินค้าเพื่อลงมาข้างล่างเช่นกัน เขายังคงสงสัยอยู่ว่าที่นี่จะเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขาจริงหรือไม่ หรือว่าจะเป็นเพียงแค่สถานที่พักอีกแห่งหนึ่งก่อนที่จะเดินทางไปต่อ

มายารีบยกมือห้ามข้าวเขียวเอาไว้ก่อนที่เขาจะก้าวลงมาจากตัวรถ และก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไร เธอก็ชิงรีบพูดขึ้นก่อน

“หนังสือของฉัน...คืนพวกมันมาก่อน”

มายายังคงงงอยู่ว่าเธอให้หนังสือบางเล่มกับเขาไปได้อย่างไร พวกมันเป็นหนังสือที่มีข้อมูลสำคัญอยู่มากมาย แต่ตอนที่นำออกมานั้น เธอกลับไม่รู้ตัวเลยว่ามีหนังสือสำคัญพวกนี้รวมอยู่ด้วย และมันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

ข้าวเขียวรีบวกกลับไปยกหนังสือกองนั้นออกมาคืนให้กับมายา เธอมองดูหนังสือเล่มที่วางอยู่ข้างบนสุดอย่างไม่เชื่อสายตา 'นี่ฉันให้หนังสือเล่มนี้กับเขาไปด้วยหรือ' มันคือหนังสือเล่มที่เธอใช้ซ่อนกระดาษคำทำนายที่สำคัญนั้นเอาไว้ เธอยกกองหนังสือมาจากมือของข้าวเขียว พวกมันทั้งหมดหายไปในทันที ยกเว้นแต่หนังสือเล่มแรกนั้นเพียงเล่มเดียว

มายาแกล้งทำเป็นพลิกเปิดมันดู เพื่อจะตรวจสอบว่ากระดาษที่บันทึกคำทำนายนั้นยังคงซ่อนอยู่ในช่องลับหลังปกหรือไม่ และหนังสือเล่มนี้ก็หายไปในทันทีที่เธอค้นพบว่า มันยังคงอยู่ในที่เดิมอย่างที่ควรจะเป็น

“...เราจะแวะพักกันที่นี่ก่อนหรือครับ”

ข้าวเขียวเอ่ยถามมายา เขายังคิดว่าซากปรักหักพังเหล่านี้ไม่น่าจะใช่ปราสาทจันทรา และรอบๆ บริเวณนี้ก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ ที่หลงเหลือพอจะนำมาใช้เป็นบ้าน หรือที่พักได้เลย

มายายิ้มอยู่ภายใต้หมวกคลุม

“เรามาถึงแล้ว...ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่แดนแห่งดารา”

สองพี่น้องพากันมองไปรอบๆ อย่างไม่เชื่อหู เศษซากเตี้ยๆ ของกำแพงทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของปราสาทจันทราที่เล่าลือกันว่ามีความสวยงาม และใหญ่โตอย่างที่ไม่เคยมีใครคิดฝันถึงอย่างนั้นหรือ มันฟังดูไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่หากมันเป็นเรื่องจริง ข้าวเขียวก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า 'แล้วอะไรที่ทำให้มันกลายเป็นแบบนี้'

“เธอเอาม้าทั้งคู่ไปผูกพักเอาไว้ด้านนอกตรงที่เหมาะๆ ก่อน แล้วรีบกลับมาพาเพื่อนเธออีกคนเข้าไปในปราสาทด้วยกัน”

ข้าวเขียวรับหน้าที่ดูแลม้าทั้งคู่ต่อจากรัตติกาล ในตอนแรกดูเหมือนพวกมันจะไม่ค่อยไว้ใจเขานัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกมันกลับรู้สึกชอบเขาอยู่ไม่น้อยทีเดียว ไม่เหมือนวาณิช กับรัตติกาลที่ม้าทั้งสองต่างแสดงท่าทางเคารพนับถือ พวกมันคลอเคลียกับเขาเหมือนกับเป็นเพื่อนคนหนึ่ง

ข้าวเขียวเลือกที่เหมาะๆ ที่ไม่ร้อนจนเกินไป รอบๆ บริเวณนี้มีแต่พุ่มไม้เตี้ยๆ จึงหาร่มเงาได้ยาก และเขายังเลือกจุดที่มีพืชซึ่งพวกมันสามารถใช้กินเป็นอาหารขึ้นอยู่ใกล้ๆ อีกด้วย ก่อนที่จะรีบย้อนกลับไปแบกร่างของกล้าไพรลงมาจากรถสินค้า

“ให้น้องขวัญช่วยไหมคะ”

ข้าวเขียวส่ายหน้า จนถึงตอนนี้เขาสามารถแบกกล้าไพรขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ร่างของเขายังคงสูงใหญ่อยู่เช่นเดิม แต่ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลยแม้แต่น้อย ร่างกายที่เคยบึกบึนของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปจนเหลือแค่เพียงหนังหุ้มกระดูก การที่เขายังคงมีลมหายใจรวยรินอยู่ได้นั้น ก็ทำให้สองพี่น้องต้องประหลาดใจอย่างถึงที่สุดแล้ว

ข้าวเขียวเหลียวมองดูใบหน้าเศร้าๆ ของน้องสาวเมื่อได้เห็นกล้าไพรถูกแบกลงมา เขารู้ว่าเธอยังชอบแอบมานั่งพูดคุยกับกล้าไพรอยู่บ่อยๆ เธอจะนั่งลงข้างๆ ร่างกายที่ผ่ายผอมของเขา พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางที่ผ่านมาให้ฟัง ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเขาจะยังจะสามารถรับรู้ได้หรือไม่

ปมเชือกทั้งหมดบนร่างของเขายังคงถูกฝูกเอาไว้เช่นเดิม แต่ตอนนี้พวกมันก็พากันหลวมหมดแล้ว ไม่มีใครสนใจที่จะมัดมันใหม่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะแก้มันออกด้วยเช่นกัน

มายาเดินนำพวกเขาไปพร้อมกับเสกตะเกียงออกมาจุดขึ้นท่ามกลางแสงสว่าง ข้าวเขียวคิดได้ในทันทีว่าสถานที่ที่เธอจะนำพวกเขาไป ปราสาทจันทรานั้นน่าจะอยู่ที่ไหน เขามองดูลานหินกว้างที่กำลังเดินย่ำอยู่ แม้ว่าจะผ่านวันเวลามาเนิ่นนานแล้ว แต่พวกมันยังคงมั่นคงแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ตามรอยต่อต่างๆ นั้นไม่มีต้นหญ้าขึ้นแทรกอยู่เลยแม้แต่ต้นเดียว

มายาเดินมาหยุดตรงหน้ารูปสลักที่อยู่บนพื้นตรงกลางลานหิน มันคือรูปของเดือนเสี้ยวที่มีเส้นรัศมีของแสงจันทร์สาดส่องออกไปในส่วนที่เหลือจนเป็นรูปวงกลม สัญลักษณ์โบราณที่ปรากฏอยู่บนปลายด้ามของจุลจันทรา เครื่องหมายของราชินีแห่งแสงจันทร์

“ฉันคือมายา”

พอสิ้นเสียงของมายา ก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้น เส้นรัศมีของแสงจันทร์บนพื้นค่อยๆ ยุบตัวลงลดหลั่นกันไปจนกลายเป็นบันไดวนเลี้ยวหายลงไปสู่ความมืดใต้พื้นหิน การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างราบรื่น มีเพียงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ที่ใต้ฝ่าเท้าเท่านั้นที่สองพี่น้องสามารถรู้สึกได้

มายายกชูตะเกียงขึ้นก่อนที่จะก้าวนำลงไป ความจริงแล้วแสงสว่างนั้นไม่จำเป็นสำหรับเธอเลย แต่มันมีความจำเป็นกับเด็กทั้งสองที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในความมืดแบบนี้

“ระวังด้วย เราต้องเดินลงบันไดไปลึกทีเดียว”

มายากล่าวเตือนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปในเงาของดวงจันทร์ที่ทอดลึกลงไปใต้พื้นดิน

“อ้อ จริงสิ...ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทจันทรา”

เสียงของมายาสะท้อนก้องเข้าไปในทางเดิน ก่อนที่ร่างภายใต้ชุดคลุมสีดำของเธอจะค่อยๆ กลืนหายไปในความมืด สองพี่น้องหันมองหน้ากันก่อนที่ข้าวเขียวจะแบกร่างของกล้าไพรติดตามลงไป โดยมีข้าวขวัญที่คอยจับชายเสื้อของพี่ชายเอาไว้เดินตามไปติดๆ

ทั้งสองต่างมองเห็นร่างของมายาได้ไม่ถนัด แต่ก็ยังดีที่แสงไฟจากตะเกียงในมือของเธอสามารถส่องให้เห็นขั้นบันไดที่ทอดยาววนเวียนลึกลงไปเรื่อยๆ ได้ สองพี่น้องต่างเดินชิดอยู่บริเวณขอบด้านนอกของบันไดเวียนที่ขั้นบันไดมีความกว้างมากที่สุด ซึ่งทำให้เดินได้สะดวกขึ้น ข้าวเขียวที่เป็นคนเดินนำรีบติดตามดวงไฟนั้นลึกลงไปเรื่อยๆ

ข้าวขวัญที่เคยคิดว่าปราสาทในความฝันของตนอาจจะเป็นปราสาทจันทรา ก็ต้องรีบเปลี่ยนความคิด ถึงแม้ว่าปราสาทในความฝันกับเศษซากที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในบริเวณนี้ จะมีลักษณะการก่อสร้างที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง แต่หากปราสาทจันทราอยู่ลึกลงไปในดินเช่นนี้ มันก็คงไม่ใช่สถานที่เดียวกันแน่

ข้าวเขียวกลับมีความคิดอีกแบบหนึ่งขึ้น 'ที่นี่จะเป็นปราสาทจันทราแน่หรือ' ถึงแม้มายาจะบอกว่าเป็นเช่นนั้น แต่ใครจะสามารถรับรองได้ว่า สิ่งที่นักมายากลพูดออกมานั้นจะเป็นความจริง




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2553
1 comments
Last Update : 30 สิงหาคม 2553 7:43:33 น.
Counter : 666 Pageviews.

 

รออั๊บอยู่ครับ...รีบๆอั๊บนะครับ

 

โดย: ถามวัต สุทธิพงศ์ (เรียบๆง่ายๆ...สบายใจดี ) 4 กันยายน 2553 12:43:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.