ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
21 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ สงครามหรือสันติภาพ (53)

“แถวหน้าโจมตี”

เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมการโบกคบไฟให้สัญญาณ แต่เหล่าทหารที่ยืนอยู่แถวหน้ากลับยังคงยืนนิ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาล้วนเป็นทหารที่อยู่ในระเบียบวินัย แต่ภาพของลูกธนูดอกแล้วดอกเล่าที่พุ่งผ่านร่างเงาเหล่านั้นไปโดยไม่อาจทำอันตราย ก่อให้เกิดเป็นความกลัวต่อกองทัพตัวประหลาดที่อยู่ตรงหน้า

มีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจของทหารทุกคน 'คมดาบจะทำอะไรพวกมันได้ไหม' และมันก็ทำให้พวกเขาก้าวขาไม่ออก

“ทหารแห่งสุริยันอันเกรียงไกร แถวหน้าโจมตี”

เสียงตะโกนสั่งดังขึ้นอีกครั้ง ทหารหลายคนกัดฟันโห่ร้องตะโกนพร้อมกับพุ่งตัวออกไป พวกแถวหน้าที่เหลืออยู่จึงตัดสินใจพุ่งติดตามออกไปเช่นกัน แนวการปะทะของทั้งสองฝ่ายยังไม่ทันบรรจบกัน คำสั่งต่อไปก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“แถวที่สองโจมตี”

ทหารในแถวที่สองต่างโห่ร้องตะโกนขึ้นพร้อมกับพุ่งติดตามเพื่อนพ้องของตนออกไป คราวนี้ไม่มีความลังเลเกิดขึ้นอีก และคำสั่งยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง

“พลธนูเตรียมพร้อม แถวที่เหลือนั่งลง”

ครั้งนี้พวกทหารต่างปฏิบัติตามด้วยความประหลาดใจ ตามปกติเมื่อเปิดแนวรบในระยะประชิดขึ้นแล้ว พลธนูจะถูกปรับเปลี่ยนให้มาใช้ดาบแทน และจะกลายเป็นแนวเสริมที่จะช่วยในการเข้าตะลุมบอนกับข้าศึก เพราะการยิงธนูเข้าสู่แนวปะทะโดยตรง ลูกธนูอาจพลาดถูกฝ่ายเดียวกันได้ คำสั่งในครั้งนี้จึงสร้างความงุนงงให้กับเหล่าทหาร แต่พวกเขาก็ยังทำตามด้วยวินัยที่เข้มแข็ง

ทหารที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณคบไฟหันไปมองผู้ออกคำสั่งอย่างสงสัย แต่ใบหน้าที่เคร่งเครียดของแม่ทัพสูงอายุผู้นี้ทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรทั้งสิ้น ทหารคนสนิทของแม่ทัพหายตัวไปพักใหญ่แล้ว ดูเหมือนเขาจะใช้ให้ไปเข้าพบเจิดจรัสอย่างเร่งด่วน แม่ทัพชราเหม่อมองไปยังแนวปะทะ มือของเขากำแน่นอย่างลืมตัว พร้อมกับสบถออกมาเบาๆ ว่า

“ขอให้ทันด้วยเถอะ”

#####

“เธอไม่ใช่มายา”

นี่เป็นคำพูดแรกของเจิดจรัสเมื่อได้พบเจอกับข้าวขวัญ จากคำบอกเล่าของอรุณรุ่งเขาไม่คิดว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเป็นนักมายากลคนนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นนักมายากลตัวจริง ทหารคนอื่นๆ นั้นถูกสั่งให้ขยับถอยห่างออกไป แต่มาลา และมาลาตียังคงคอยอยู่ข้างกายเขา

“ฉันชื่อข้าวขวัญ”

'จงอย่าพูดอะไรให้มากกว่าที่จำเป็น ความลึกลับเป็นอาวุธที่สำคัญของพวกเรา' เมื่อข้าวขวัญแสดงตัวว่าเป็นนักมายากล เธอก็ต้องทำตัวแบบนักมายากล คำสอนต่างๆ ของมายาผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย เรื่องแรกก็คือการวางตัว เมื่อเธอพบหน้ากับเจิดจรัสที่เป็นถึงราชา เธอก็แค่ก้มหัวให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนักมายากลไม่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของใครทั้งสิ้น

การใช้คำพูดก็เช่นกัน นักมายากลจะต้องไม่แสดงความนอบน้อมให้มากจนเกินไป แต่ก็ไม่อาจหยาบคายจนเกินงาม 'หากไม่จำเป็น' มายาย้ำถึงเรื่องนี้หลายครั้ง 'ที่สำคัญที่สุด นักมายากลต้องไม่แสดงความหวาดกลัวออกมา' ไม่ว่าจะคับขันขนาดไหน จงวางตัวให้เยือกเย็น แล้วหาทางออกที่ดีที่สุดให้จงได้

ข้าวขวัญหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะทำแบบนั้นได้ในค่ำคืนนี้

“...ฉันเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เธอเป็นลูกศิษย์ของมายา”

“ท่านคงได้ยินมาจากท่านอรุณรุ่ง พวกเราเคยพบกันในระหว่างเดินทาง”

เจิดจรัสพยักหน้ายอมรับ เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารแว่วมาให้ได้ยิน 'ธนูคงต้านข้าศึกไว้ไม่อยู่ ว่าแต่พวกมันซ่อนตัวกันอย่างไร ทำไมจึงไม่ถูกพบเห็นมาก่อน'

“ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ของเธอก็ทำไม่สำเร็จ สัญญาทั้งหมดเป็นอันยกเลิก และฉันคงต้องขอตัวไปจัดการกับกองทัพของวารีเสียก่อน”

“...ช้าก่อน...พวกนี้ไม่ใช่กองทัพวารี”

'ฉันเองก็อยากรู้อยู่เหมือนกันว่าเป็นพวกไหน' ข้าวขวัญมั่นใจว่าถึงแม้ม่านเมฆจะทำการซ้อนแผนเธอ โดยแอบส่งกองกำลังมาลอบโจมตีสุริยัน ทั้งที่บอกกับเธอว่าต้องการสันติภาพนั้น กองกำลังดังกล่าวก็คงไม่อาจวกข้ามไปตีกลับมาจากอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำได้แบบนี้อย่างเด็ดขาด

เจิดจรัสฟังออกถึงความจริงใจในน้ำเสียงของข้าวขวัญ เขารู้สึกได้ด้วยว่าคู่สนทนานั้นยังเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง 'แต่ก็เป็นนักมายากลอย่างไม่ต้องสงสัย' ความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างความเชื่อใจ กับความคลางแคลงใจนั้น ผสมปนเปกันจนเขาแยกไม่ออก

นายทหารคนหนึ่งรีบเข้ามาภายในวงสนทนาโดยไม่ฟังคำทัดทานจากเหล่าทหารที่เฝ้าคุมอยู่โดยรอบ แต่เพราะเขาเป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพอัสดง ผู้รับหน้าที่ควบคุมกำลังทหารในค่ำคืนนี้ หน่วยพิเศษจึงยอมปล่อยให้เขาเข้ามา

“ท่านอัสดงขอให้ถอนกำลังทันทีครับ”

“เกิดอะไรขึ้น”

นายทหารคนนั้นมองดูข้าวขวัญด้วยท่าทีลังเล ก่อนจะตอบคำถามนี้

“...พวกมันไม่ใช่คน แต่เป็นตัวประหลาดกลุ่มหนึ่ง ท่านอัสดงบอกว่าพวกมันคือกองทัพเงาของความตายเดินได้ ท่านจึงขอให้ทำการถอนกำลังในทันทีครับ”

“...ให้หนีทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลองสู้เลยยังงั้นหรือ ท่านอัสดงคงอายุมากเกินไปแล้ว”

“อย่าดูถูกพวกมันเด็ดขาด...”

ข้าวขวัญหลุดปากออกไปอย่างไม่ทันยั้งคิด เจิดจรัสหันมามองเธอทันที แววตาของเขาในตอนนี้ทำเอาเธอเกือบจะถอยหลังด้วยความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะเธอยังคงพยายามทำตัวเป็นนักมายากลอยู่ เธอจึงไม่ได้แสดงอาการเหล่านี้ออกมา 'พวกสุริยันจะเรียกผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีว่าความตายเดินได้' มายาเคยบอกเรื่องนี้กับเธอมาก่อน ตอนนี้เธอจึงรู้ที่มาของกองทัพปริศนานี้แล้ว

เมื่อได้หลุดปากออกไปแล้ว ก็ต้องพูดมันให้จบ

“...ไม่มีสิ่งใดจะทำอันตรายพวกมันได้ นอกจากพลังสัญญาเท่านั้น”

“ลูกธนูชุดแรกของพวกเรา ทะลุผ่านร่างพวกมันไปโดยไม่เกิดอะไรขึ้นเลยครับ”

นายทหารรีบบอกถึงสิ่งที่เขาได้เห็นก่อนจากมา ซึ่งเป็นการเสริมคำพูดของข้าวขวัญพอดี ใบหน้าของเจิดจรัสเปลี่ยนเป็นดูเย็นชาขึ้นมาอย่างน่ากลัว

“เมื่อครู่...ผมพึ่งใช้ดาบธรรมดาๆ คู่นี้ ขับไล่ความตายเดินได้ให้หลบหนีไปเอง”

นายทหารเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับสะดุ้งสุดตัว เจิดจรัสเอื้อมมือไปแตะด้ามของดาบทั้งคู่ที่ห้อยอยู่ข้างกาย เขาไม่ได้กุมด้ามดาบเพราะจะเป็นการเสียมารยาทต่อนักมายากล แต่เมื่อครู่นี้เขาก็ใช้ดาบขับไล่มันไปได้จริง หากมันไม่เกรงกลัวต่อคมอาวุธ เหตุใดจึงต้องหลบหนีไปเช่นนั้น

'ถ้ามันอยู่ที่นี่ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นอีกหลายเท่า' ข้าวขวัญหวนนึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ ที่เคยประสบมาด้วยตนเอง ยามที่เงามืดพวกนั้นรวมร่างเข้าด้วยกัน ยามที่แมงมุมยักษ์ไล่ตามฆ่าพวกเธอในคืนนั้น

“เพลงดาบสายลมของวายุมีพลังสัญญาสถิตอยู่ เพลงดาบแสงตะวันของสุริยันเองก็มีพลังสัญญาสถิตอยู่เช่นกัน...”

ใบหน้าของเจิดจรัสยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่เขาเองก็พึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ข้าวขวัญพยายามนึกถึงส่วนที่เหลือ ข้อความสำคัญที่มายาเคยบอกเล่าให้เธอฟัง

“...แต่มันต้องเป็นเพลงดาบแสงตะวันที่ตกทอดมาแต่โบราณเท่านั้น ไม่ใช่เพลงดาบที่ถูกดัดแปลงขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ในการทำสงครามพวกนี้”

มาลา กับมาลาตีหันมามองหน้ากัน หากทั้งหมดนี้เป็นความจริง นั่นหมายความว่าจะมีเพียงเหล่าแม่ทัพ และหน่วยพิเศษเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับกองทัพของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีได้ และด้วยจำนวนที่แตกต่างกันมากขนาดนั้น ไม่ว่าพวกเธอจะมีฝีมือร้ายกาจแค่ไหน ก็คงไม่อาจต้านทานพวกมันเอาไว้ได้

'จะเชื่อคำพูดของนักมายากลคนนี้ได้แค่ไหน' เจิดจรัสรู้ดีว่านักมายากลนั้นไว้ใจไม่ได้ แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับผู้หญิงที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เขารู้สึกได้ว่าเธอมีความจริงใจจากการที่ได้พูดจากัน

'ไม่มีเวลาอีกแล้ว' ข้าวขวัญรู้ดีว่ายิ่งปล่อยให้เนิ่นนานต่อไปก็จะยิ่งอันตราย แต่เธอต้องพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกไปอีก การพูดชี้นำกับบุคคลเช่นนี้มีแต่จะสร้างผลในทางลบ เธอต้องอดทน ต้องรอให้เขาตัดสินใจเอง 'จงอย่าบอกว่าเขาควรจะทำอะไร ปล่อยให้เขาพูดมันออกมาด้วยตัวเอง' นี่คือคำสั่งสอนของมายาที่เธอยังจำได้ไม่ลืม

#####

เหล่าทหารต่างเบือนหน้าหนีจากภาพที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า เพื่อนของพวกเขา พี่น้องของพวกเขา กำลังถูกเงาประหลาดเหล่านั้นกัดกินอย่างเลือดเย็น ถึงแม้คมดาบของทหารบางคนจะสามารถทำร้ายร่างของพวกมันได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะต้านทานพวกมันเอาไว้ได้ ทหารสองแถวที่พุ่งออกไปชุดแรกหลงเหลือเป็นซากกองอยู่เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น

“...ยิง...ธนู...”

แม้แต่เสียงตะโกนออกคำสั่งก็ดังออกมาได้อย่างยากเย็น ลูกธนูกลุ่มใหญ่พุ่งเข้าใส่ตัวประหลาดอย่างไม่เป็นผล อัสดงคิดว่าหากเขาออกคำสั่งให้ทหารแถวต่อไปจู่โจม ก็คงไม่มีใครกล้าพุ่งออกไปตายแน่ 'ฉันเองก็ไม่อาจจะส่งใครออกไปตายอีกได้แล้วเช่นกัน'

“ถอนกำลัง...ถอนกำลัง...”

เสียงตะโกนและสัญญาณคบไฟ ถูกส่งออกมาจากศูนย์กลางของกองทัพได้อย่างทันท่วงที ทหารเกือบทุกคนที่อยู่ในแนวป้องกัน พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก

แม้จะรู้สึกดีขึ้นบ้างแต่อัสดงก็ล่วงรู้ถึงอันตรายที่ยังคงรออยู่ การถอนทัพในขณะที่ศัตรูบุกเข้ามาประชิดเช่นนี้มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก

“หยุดยิง”

พอคำสั่งนี้ถูกถ่ายทอดออกไป ทหารคนสนิทของแม่ทัพอัสดงก็วิ่งกลับมาถึงพอดี เขารีบอธิบายรายละเอียดของการถอนกำลังอย่างไม่ตกหล่น พร้อมกับบอกเล่าถึงการมาเยือนอย่างแปลกประหลาดของนักมายากลให้เจ้านายของตนได้รับทราบด้วย

อัสดงเมื่อได้ฟังรายละเอียดของการถอนทัพก็รู้สึกใจชื้นขึ้น เขาถึงกับตะโกนออกคำสั่งด้วยตัวเอง

“เราจะถอยข้ามแม่น้ำไป ให้ทิ้งทุกสิ่งเอาไว้เบื้องหลัง จงอย่าหวาดกลัว...เรามีนักมายากลคอยช่วยเหลืออยู่ด้วย”

อัสดงจงใจบอกเรื่องของนักมายากลออกไปเพื่อจะลดความตื่นตระหนกของเหล่าทหาร คนทั่วไปต่างมีความรู้สึกที่ผสมปนเปกันต่อนักมายากล ที่นับเป็นตัวประหลาดอย่างหนึ่งในสายตาของพวกเขา แต่พวกเขาก็เชื่อในพลังของนักมายากล หากจะมีสิ่งใดที่สามารถต่อสู้กับความตายเดินได้ คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดถึงนักมายากล

ดูเหมือนว่าแผนของอัสดงจะได้ผล เหล่าทหารดูเหมือนจะลดความตื่นตระหนกลงได้บ้าง เขายังคงต้องรอให้กองกำลังทางด้านหลังเคลื่อนตัวออกไปก่อน จึงจะสามารถเริ่มถอนแนวป้องกันนี้ออกได้ เขามองไปทางด้านหลังสลับกับทางด้านหน้า โชคยังดีที่ดูเหมือนว่าเจ้าเงาประหลาดพวกนี้จะเคลื่อนที่ได้ไม่รวดเร็ว

#####

กล้าไพรไม่ต้องเสียเวลาเสาะหามากนัก ในที่สุดเขาก็ได้พบเจอกับผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีแล้ว มันอยู่ไม่ไกลจากทางด้านหลังของแนวทหารเงาของมันนั่นเอง และดูเหมือนว่ามันพึ่งจะเสร็จสิ้นจากการสังหารเหล่านักฆ่าที่ลงมือล้มเหลวพวกนั้น มันหันมามอง พร้อมกับกล่าวคำพูดที่เขานึกไม่ถึง

“ยินดีต้อนรับ พี่น้องของเรา”

ถึงแม้ว่าในใจของกล้าไพรจะมีความแค้นอยู่เต็มเปี่ยม แต่มันก็มีความสุขใจอย่างไม่อาจอธิบายได้เกิดขึ้น ในยามที่เขาอยู่ข้างกายของข้าวขวัญ หรืออยู่ในท่ามกลางเหล่ามนุษย์นั้น เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน มันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาพุ่งผ่านเข้าไปในกลุ่มของเงาประหลาดพวกนั้น

มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่เหมือนกับว่าตัวเองได้กลับคืนสู่บ้านเกิดที่ต้องจากไปเสียนาน และความรู้สึกนั้นก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อได้มาเผชิญหน้ากับผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีเช่นนี้


Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2554 7:32:27 น. 1 comments
Counter : 498 Pageviews.

 
อ้าว...เอาล่ะสิ...ที่คิดไว้(เข้าใจผิดทั้งเพ)


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:19:03:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.