|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
สัญญาจ้าวราชันย์ เศษเสี้ยวจากอดีต (19)
ทั้งสามคนช่วยกันวางร่างของกล้าไพรลงช้าๆ ก่อนที่จะพากันล้มตัวลงนอน ทำเลที่พวกเขาเลือกนั้นเป็นที่ว่างอยู่ห่างออกมาจากกลุ่มอื่นๆ ที่มาจับจองกันอยู่ก่อนแล้ว แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยแต่พวกเด็กๆ กลับตาค้างจนไม่อาจนอนหลับลงได้ ทั้งหมดจึงจัดที่นอนให้อยู่ติดกันเพื่อจะได้นอนคุยได้โดยสะดวก โดยข้าวเขียวนั้นนอนกั้นอยู่ตรงกลางระหว่างรัตติกาล กับข้าวขวัญ ส่วนกล้าไพรก็อยู่ข้างๆ ข้าวขวัญอีกที แต่ถูกจัดให้นอนอยู่ห่างออกไปจากกลุ่มเล็กน้อย ข้าวขวัญเหลือบมองดูร่างที่ถูกจับมัดอยู่ในเสื้อประหลาดตัวนั้น น้ำตาของเธอก็คล้ายกับจะรินไหลออกมา เราแก้มัดให้พี่กล้าไพรไม่ได้หรือคะ เธอกระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ข้าวเขียวหันไปมองทางรัตติกาลเป็นเชิงปรึกษา ซึ่งเขาก็ส่ายหน้าเบาๆ พี่ว่าคงจะไม่ดีหรอก เราคง...ไม่อยากให้เขาลุกไปทำอะไรแปลกๆ ในตอนที่ทุกคนกำลังหลับอยู่ รัตติกาลแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มีดวงดาวมากมายส่องแสงประกายระยิบระยับอยู่บนนั้น คืนนี้นับเป็นคืนที่สวยงามอีกคืนหนึ่ง แต่พวกเขากลับไม่ได้รับรู้ถึงมันเลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งมาถึงบัดนี้ สวยจริงๆ เลยนะ สองพี่น้องหันมาทางรัตติกาลก่อนที่จะมองตามสายตาของเขาขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบน สวยจัง ข้าวขวัญรำพึงออกมาเบาๆ ...พวกเราไม่ได้ออกมานอนดูดาวกันแบบนี้นานแล้วนะ ข้าวเขียวหวนคิดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่พวกเขาเคยมีร่วมกันทั้งกลางวัน และกลางคืน ถึงแม้ว่าเขากับกล้าไพรจะไม่ค่อยถูกกันนัก แต่พอมาคิดดูให้ดีๆ แล้ว เรื่องที่ทะเลาะกันนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย รัตติกาลชี้มือไปที่กลุ่มดาวหนึ่งที่ทุกคนต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี นั่นกลุ่มดาวห่านป่า ดาวเจ็ดดวงเรียงตัวกันเป็นรูปกากบาท ที่ผู้คนต่างจินตนาการไปว่ามันเป็นห่านป่าตัวโตที่กางปีกโผบินข้ามท้องฟ้าในทุกค่ำคืน ข้าวเขียวลากมือตามทิศทางการบินของห่านป่าไปยังบริเวณขอบฟ้า ซึ่งที่นั่นมีดาวที่สุกสกาวดวงหนึ่งปรากฏอยู่ ส่วนนั่นก็เป็นดาวเหนือ ...มารดาแห่งดวงดาว รัตติกาลพึมพำอีกชื่อหนึ่งของมันออกมาเบาๆ ดวงดาวที่ประจำอยู่ตรงตำแหน่งของทิศเหนือนั้นถูกถือให้เป็นมารดาแห่งดวงดาวทั้งหลาย มีเรื่องเล่าเอาไว้ว่าเธอจะคอยทำหน้าที่ชี้นำเส้นทางให้กับดาวทุกดวงบนท้องฟ้า ให้ทั้งหมดได้ร่ายรำไปตามท่วงทำนองของสรวงสวรรค์ เหมือนกับมารดาที่คอยดูแลสอนสั่งบุตรของตนให้ก้าวเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ...เป็นอะไรหรือเปล่า ข้าวเขียวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อนึกถึงเรื่องที่จันทร์เสี้ยวได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่ ฉันไม่เป็นไรหรอก...ฉันจะไม่ยอมทิ้งความหวังไปจนกว่า... เขาหยุดพูดไปเพียงแค่นั้น แต่สองพี่น้องต่างก็เข้าใจในความหมายของมันดี 'จนกว่าจะยืนยันได้ว่าแม่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว' เขาถึงจะยอมตัดใจ ข้าวขวัญชี้มือไปยังอีกกลุ่มดาวหนึ่ง พวกมันประกอบด้วยดาวสิบสามดวง เรียงตัวเป็นรูปคนถือธนู ซึ่งในช่วงเวลานี้ของปีมันจะเล็งธนูตรงมายังกลุ่มดาวห่านป่าพอดี นั่นกลุ่มดาวนายพราน เป้าหมายของนายพรานผู้นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จาก ห่านป่า ไปสู่ หมีใหญ่ หมูป่า สิงโต จระเข้ ลิงลม วัวเทพ ม้ามีปีก งูสองหัว แมงมุม แพะภูเขา และมังกร ก่อนที่จะเวียนซ้ำใหม่ไปเรื่อยๆ ซึ่งในกลุ่มดาวต่างๆ เหล่านี้ มีอยู่หลายกลุ่มที่ระบุตำแหน่งได้ยากเพราะไม่ค่อยชัดเจนนัก และมีบางกลุ่มที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปบ้างในแต่ละท้องถิ่น กล้าไพรเป็นคนที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดาวกลุ่มนี้ให้กับเธอเอง 'นั่นคือนายพรานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาออกล่าสัตว์ในทุกค่ำคืนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และไม่เคยหวาดกลัวต่อสัตว์ร้ายตัวใดเลย' เธอคิดว่าที่เขาชอบดาวกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เพราะมันเป็นเหมือนกับภาพของกล้าณรงค์นั่นเอง ...ฉันเป็นห่วงเขามากกว่า ผู้ที่รัตติกาลหมายถึงก็คือกล้าไพร 'เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ รู้ว่าเขาได้ทำอะไรลงไป ไม่สินั่นมันไม่ใช่ตัวเขา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นจริง เขาก็คงไม่อาจผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ แน่' เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสองพ่อลูก น้ำตาของข้าวขวัญก็ค่อยๆ ไหลลงมาเป็นทาง เธอสะอื้นเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตา แม้แต่ข้าวเขียวเองก็ดูเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ด้วยเช่นกัน มันอาจดีกว่าถ้าเราจะไม่บอกเรื่องนี้กับเขา ข้าวเขียวพูดออกมาในที่สุด แล้วเราจะอธิบายเรื่องการตายของพ่อเขาได้ยังไงกัน ...ก็บอกไปว่าเป็นฝีมือของเจ้าตัวประหลาดนั่น ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เราเพียงแค่ไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดปลีกย่อยนิดหน่อย ก็เท่านั้น ทั้งหมดล้วนเห็นด้วยกับความคิดนี้ นี่นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถนึกออกมาได้ แล้วทั้งหมดก็พากันเงียบไปอีกครั้ง ก่อนที่ข้าวขวัญจะหันไปทางพี่ชายของเธอ พรุ่งนี้...ขวัญจะออกเดินทางไปกับนักมายากลนะคะ รัตติกาลหันหน้ามาทางเธอบ้าง ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กล้าไพรได้กล่าวคำสัญญา และทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อขัดขวางไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่เขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องราวในตอนนี้นั้นแตกต่างไปจากเดิมแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็มีความคิดที่อยากจะติดตามนักมายากลไปด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ว่ามายาจะยินยอมหรือไม่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันเกินกว่าที่ชาวหมู่บ้านจะรับมือได้ ต่อให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไป ก็คงไม่มีทางสืบหาความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปของมารดาได้แน่ มีแต่นักมายากล กับพ่อค้าเร่เท่านั้นที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องอะไรบางอย่าง และเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของเขา คือต้องการที่จะได้ร่ำเรียนวิชาดาบจากวาณิชนั่นเอง 'ฉันจะต้องเก่งขึ้นกว่านี้ ต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้เพื่อที่จะสามารถคุ้มครองทุกคนได้' ...พี่เองก็อยากไปด้วยเหมือนกัน ทั้งรัตติกาล และข้าวขวัญต่างก็คิดไม่ถึงว่าข้าวเขียวจะมีความคิดเช่นนี้ เพราะตามปกติแล้วเขาเป็นคนที่ชอบทำตัวตามสบาย และหลีกไกลจากปัญหาต่างๆ ให้มากที่สุด การอยากออกเดินทางไปกับนักมายากล และพ่อค้าเร่หลังจากที่ได้พบเจอกับเรื่องทั้งหมดนี้ ดูจะไม่เหมือนกับข้าวเขียวคนที่พวกเขาคุ้นเคยเลยสักนิด จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็กๆ ข้าวเขียวนั้นเป็นคนที่พอเกิดความสนใจในสิ่งใดก็จะทุ่มเทจิตใจทั้งหมดให้กับสิ่งนั้น แต่เป็นเพราะความสนใจของเขานั้นหมุนไปเรื่อยๆ ไม่เคยหยุด สุดท้ายเขาจึงกลายเป็นคนที่ไม่เคยจริงจังกับเรื่องอะไรเลยสักอย่าง ทั้งสองคนคงคาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ทำให้ข้าวเขียวตอบออกไปเช่นนั้นเป็นเพราะใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมของมายานั่นเอง สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของเขาคือน้ำเสียงหวานๆ ของเธอ แต่พอได้เห็นใบหน้าอันงดงามนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างภายในตัวที่เปลี่ยนแปลงไป ความสนใจทั้งหมดของเขาในตอนนี้กำลังมุ่งตรงไปยังนักมายากลคนนั้น ...พี่เองก็อยากช่วยกล้าไพรด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเราจะเคยทะเลาะกันบ่อยๆ แต่พอมาเห็นแบบนี้แล้ว พี่ก็อยากจะมีส่วนช่วยเขาบ้าง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าวเขียวยกขึ้นมาอ้าง ซึ่งมันก็มีความจริงอยู่ด้วยเช่นกัน แล้วพ่อ กับแม่จะยอมหรือคะ นั่นสินะ...น้องคงได้ไปแน่ล่ะ เพราะมายาเขาบอกเอาไว้แล้ว แต่ถ้าพี่ขอตามไปด้วยอีกคน พ่อต้องไม่ยอมแน่ ฉันก็จะขอตามพวกเขาไปด้วยเหมือนกัน ทั้งสองคนหันไปมองรัตติกาลที่พูดแทรกขึ้นมา ...ถ้าพวกเขายอม ฉันจะขอตามไปด้วย ฉันเองก็เป็นห่วงกล้าไพรอยู่เหมือนกัน และที่สำคัญ ถ้าติดตามพวกเขาไป บางทีอาจจะได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับแม่ขึ้นมาบ้างก็เป็นได้ ถ้ามีพี่รัตติกาลไปด้วย ขวัญคงสบายใจขึ้น ...ถ้าอย่างนั้น พี่ก็จะต้องหาวิธีเดินทางไปกับทุกคนด้วยให้ได้ ข้าวเขียวพูดออกมาอย่างมั่นใจ ข้าวขวัญรู้ได้ในทันทีว่าเมื่อมีความตั้งใจมากถึงขนาดนี้ พี่ชายของเธอจะต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน ว่าแต่...ตอนนี้วาณิชจะเป็นอย่างไรบ้างนะ รัตติกาลมองไปยังกลุ่มดาวแมงมุมที่กำลังไต่อยู่บนท้องฟ้า เขาพลันนึกสงสัยขึ้นมาว่า บางทีเจ้าแมงมุมยักษ์ตัวนั้นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนในสมัยก่อนมองเห็นดาวกลุ่มนี้เป็นรูปแมงมุมก็เป็นได้ ...ได้เห็นหรือเปล่าว่าสายลมแห่งราชาอะไรนั่นหน้าตามันเป็นยังไง ข้าวเขียวถามคำถามที่รัตติกาลเองก็ยังคงติดใจอยู่เหมือนกัน ฉันไม่เห็นมันหรอก... รัตติกาลอ้อมแอ้มตอบกลับไป ซึ่งความจริงแล้วในตอนนั้นเขาได้ตัดสินใจเสี่ยงหันกลับไปดูข้างหลังแวบหนึ่ง แต่นอกจากดาบคู่ที่วาณิชกำลังใช้อยู่ เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งอื่นใดอยู่อีก เขาเองก็ยังสงสัยอยู่ว่าสุดยอดศาสตราวุธในกล่องใบนั้นคืออะไร และมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ ขวัญไม่กล้าหันไปดู ยิ่งเป็นคนซุ่มซ่ามอยู่ด้วย กลัวจะล้มลงไปแล้วทำให้ทุกคนได้รับอันตรายกันค่ะ รัตติกาลแอบรู้สึกละอายอยู่ในใจ คืนนี้เขาได้ทำอะไรหลายอย่างไปโดยไม่ทันได้คิด โชคยังดีที่ไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อน เขาเผลอยกมือขึ้นมาสัมผัสกับแก้ม รอยแดงนั้นแม้จะเริ่มจางลงแล้ว แต่ความรู้สึกกลับยิ่งฝังแน่นลงภายในใจ 'จงอย่าให้อารมณ์เข้ามาครอบงำสติ' เขาจะจดจำคำสอนนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจเลยทีเดียว เขาจะสู้ไอ้แมงมุมยักษ์นั่นได้ไหมนะ ข้าวเขียวถามต่อ คงไม่เป็นอะไรหรอก เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าแมงมุมนั่นก็ต้องตามพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ...จริงสินะ แต่เขาก็ยังไม่กลับมาเหมือนกัน ตอนนี้ อาจจะกลับมาแล้วก็ได้นะคะ รัตติกาลส่ายหน้าทันที ไม่หรอก ถ้าเขากลับมาก็น่าจะมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น คงไม่เงียบอยู่แบบนี้หรอก เอาน่า เจ้าแมงมุมนั่นไม่ได้ตามพวกเรามาที่นี่ก็แสดงว่า เขาไม่ได้แพ้มันก็แล้วกัน ข้าวเขียวสรุปแบบเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเดิม ทั้งสามคนต่างนอนมองดูดวงดาวบนท้องฟ้ากันต่อไป ข้าวขวัญยกมือขึ้นมาป้องปากเมื่อเธอเริ่มหาว ความง่วงค่อยๆ มาเยือนเด็กทั้งสามคนอย่างช้าๆ พลังนั่นเจ๋งไปเลยนะ...จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นใครกันแน่ ข้าวเขียวยังคงมีคำถามค้างคาอยู่ในใจอีกหลายเรื่อง ซึ่งก็คงเหมือนๆ กับเด็กอีกสองคนที่เหลือ เพียงแต่ว่าเขาไม่ชอบที่จะเก็บงำมันเอาไว้ภายในใจเพียงคนเดียว โดยเฉพาะพายุหมุนนั่น สุดยอดไปเลยจริงไหม ฉันสงสัยจังเลยว่า...พวกเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเราหรือเปล่านะ ...กล้าไพรเองก็ใช้พลังแบบนั้นได้ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รุนแรงเท่ากับสองคนนั่นเท่านั้น ข้าวเขียวหันไปทางรัตติกาลทันที พูดจริงหรือ ก็จริงน่ะสิ...ฉันเลยคิดว่าใครๆ ก็อาจใช้พลังแบบนั้นได้ เพียงแต่ต้องมีการฝึกฝนเท่านั้นแหละ 'เพราะฉันเองก็ใช้มันได้เหมือนกัน แม้จะยังไม่อาจเขียนสัญลักษณ์แบบคนพวกนั้น แต่ก็สามารถถ่ายทอดพลังไปสู่กระแสลมที่เกิดขึ้นจากคมดาบได้ ถึงแม้จะแค่ในบางครั้งก็ตาม' ซึ่งเขาจะทุ่มเทฝึกฝนต่อไปจนกว่าจะทำได้สำเร็จ 'ถ้าหากได้วาณิชมาเป็นครูสอนก็คงจะดีไม่น้อย' แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนั้นได้หรอกนะ ข้าวเขียวสรุปปิดท้ายอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่สายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นดวงจันทร์เข้าพอดี มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมันในคืนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยถูกต้องนัก พระจันทร์คืนนี้มีอะไรแปลกไปหรือเปล่า รัตติกาลมองไปยังดวงจันทร์ดูบ้าง แต่เขาก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด มันก็ยังดูเหมือนกับที่เคยเป็นมาในทุกค่ำคืน ...ฉันคงจะคิดมากไปเอง มันมีอะไรแปลกไปหรือ ...ฉันว่ามันดู...ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยน่ะ รัตติกาลจ้องดูดวงจันทร์อีกครั้ง คราวนี้เขาเองก็เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นบ้างเช่นกัน 'หรือว่ามันจะใหญ่ขึ้นจริง' แต่เมื่อไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร สุดท้ายทั้งสองจึงปล่อยให้มันผ่านเลยไป เสียงลมหายใจของข้าวขวัญเริ่มทอดยาวออกไป ดูเหมือนว่าเธอจะหลับลงได้ในที่สุด และหลังจากนั้นไม่นานเด็กชายทั้งสองต่างก็นอนหลับด้วยเช่นกัน ทั่วทั้งบริเวณมีแต่ความเงียบสงัด เรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดคงจบลงเพียงแค่นี้ ข้าวขวัญที่นอนหลับอยู่เริ่มขยับพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ดูเหมือนว่าฝันร้ายจะเข้าจู่โจมเธออย่างไม่ทันตั้งตัว
Create Date : 21 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 7:48:12 น. |
|
1 comments
|
Counter : 515 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
กำลังสนุกเชียว