ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
28 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ เศษเสี้ยวจากอดีต (20)

ข้าวขวัญสะดุ้งลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ มีฝันร้ายบางอย่างรบกวนการนอนของเธอ แต่เธอกลับนึกไม่ออกว่ามันเป็นเรื่องอะไร เธอขยับลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองไปรอบๆ และนั่นยิ่งทำให้เธอต้องตกใจมากขึ้นไปอีก

สถานที่ที่เธออยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ลานกลางหมู่บ้าน เธอไม่ได้แม้แต่จะอยู่กลางแจ้ง แต่เธอกำลังนั่งอยู่ภายในสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่มีพื้น และผนังก่อขึ้นด้วยหินที่ถูกสกัดจนมีผิวเรียบ เธอไม่เคยพบเห็นสิ่งก่อสร้างแบบนี้มาก่อน 'ฉันอยู่ที่ไหน คนอื่นๆ หายไปไหนกันหมด ฉันมาที่นี่ได้ยังไง แล้วฉันจะกลับไปหาทุกคนได้ยังไง' คำถามมากมายต่างแย่งชิงกันผุดขึ้นมา และเธอก็ไม่มีคำตอบให้กับพวกมันเลยแม้แต่ข้อเดียว

เธอได้แต่นั่งกอดเข่าแล้วเริ่มร้องไห้ น้ำตาก็ค่อยๆ รินไหลลงมาเป็นสาย

“ทุกคนไปไหนกันหมด พี่ข้าวเขียว พี่รัตติกาล ทุกคนหายไปไหน ทำไมทิ้งขวัญเอาไว้คนเดียวแบบนี้...”

เสียงร้อง และถ้อยคำของเธอสะท้อนก้องไปมาอยู่ภายในสถานที่นั้น ชวนให้ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้นไปอีก

“...มายาช่วยขวัญด้วย”

แต่เมื่อเวลาผ่านไป และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ในที่สุดข้าวขวัญก็หยุดร้อง เธอเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ ตัว และพบว่ามีเงาของสิ่งของบางอย่างอยู่บนพื้น แต่เพราะความมืดเธอจึงไม่อาจบอกได้ว่าพวกมันเป็นสิ่งใดกันแน่

ข้าวขวัญลองเอื้อมมือออกไปหยิบชิ้นที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาดู สัมผัสที่นุ่มนิ่มของมันในตอนแรก และความรู้สึกที่เหมือนกับขนของสัตว์ ทำเอาเธอร้องลั่นด้วยความตกใจ เธอรีบหดมือกลับมาพร้อมกับคิดไปว่ามันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิต แต่เจ้าสิ่งนั้นก็ยังคงนอนนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

ข้าวขวัญรวบรวมความกล้าแล้วเอื้อมมือออกไปอีกครั้ง เธอหยิบมันขึ้นมาอย่างช้าๆ และพบว่ามันเป็นเพียงตุ๊กตากระต่ายเก่าๆ ตัวหนึ่งที่หลงเหลือเพียงหูข้างซ้ายเท่านั้น ตรงที่ๆ หูอีกข้างหนึ่งของมันเคยติดอยู่มีเศษผ้าผืนเล็กๆ ปะเอาไว้ ด้วยรอยเย็บที่เหมือนกับเป็นฝีมือของเด็กๆ

ข้าวขวัญรู้สึกคุ้นเคยกับตุ๊กตาตัวนี้อย่างประหลาด เธอมองเห็นเงาของสิ่งของอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เธอจึงหยิบมันขึ้นมาดู คราวนี้เป็นผ้าผูกผมของเด็กผู้หญิงผืนเล็กๆ ที่ดูเก่าแล้วเช่นกัน 'หรือว่าจะมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในนี้' แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะภายในห้องนี้ไม่มีทั้ง ตู้ เตียง โต๊ะ เก้าอี้ หรือสิ่งอื่นใดอยู่อีกเลย

ข้าวขวัญพึ่งรู้สึกตัวว่าที่ภายในห้องนี้ไม่ได้มืดสนิทนั้น เพราะมันมีหน้าต่างบานหนึ่งอยู่บนกำแพงด้านที่อยู่ไกลออกไป เธอถือตุ๊กตากับผ้าผูกผมค่อยๆ เดินตรงไปยังที่แห่งนั้น บนพื้นตลอดทางมีข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายอยู่ทั่วไป เธอคิดว่าพวกมันทั้งหมดคงเป็นพวกเครื่องใช้จุกจิกทั้งหลายเหมือนกับสองชิ้นที่เธอกำลังถืออยู่นั่นเอง

แม้ในตอนแรกข้าวขวัญจะคิดว่ามันเป็นหน้าต่าง แต่ความจริงแล้วมันเป็นเพียงช่องแสงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กๆ เท่านั้นเอง ตัวช่องนั้นกว้างแค่ฝ่ามือ และมีความสูงประมาณเท่ากับท่อนแขนของเธอ 'ช่องเล็กเพียงแค่นี้ลอดออกไปไม่ได้แน่' นั่นเป็นความคิดแรกของเธอ

ข้าวขวัญมองออกไปข้างนอกช่องนั้น ภาพที่เห็นทำเอาเธอต้องตกใจ ที่อยู่ข้างนอกนั่นมีเพียงพื้นหินที่ทอดยาวออกไปไกล ไม่มีสีเขียวของต้นไม้ให้พบเห็นเลย เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีสถานที่แห่งใดที่ไม่มีต้นไม้อยู่เลยแม้แต่ต้นเดียวเช่นนี้ เพราะหากไม่มีสีเขียวของต้นไม้แล้ว นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอาศัยอยู่ได้ด้วยเช่นกัน

'ไม่สิ จะว่าไปแล้วก็มีที่แบบนั้นอยู่ด้วยเหมือนกันนี่นา' สถานที่ที่เรียกกันว่าทะเลทรายที่คุณปู่พ่อค้าเร่เคยเล่าให้ฟัง 'ผืนทะเลกว้างที่ไม่อาจล่องเรือ หรือว่ายข้ามไปได้ และไม่มีแม้แต่น้ำสักหยด สิ่งเดียวที่สามารถพบเห็นได้ก็คือทรายเม็ดละเอียด มีเพียงชนเผ่าที่ถือกำเนิดขึ้นในสถานที่สุดอันตรายแห่งนั้น จึงจะสามารถเดินทางท่องไปในทะเลทรายได้'

แต่ที่นี่ย่อมไม่ใช่ทะเลทรายแน่ เพราะมันเต็มไปด้วยพื้นหินตะปุ่มตะป่ำ มีหลุมตื้นๆ ที่มีขอบเป็นวงสูงขึ้นมาทั้งขนาดเล็ก และใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป

ข้าวขวัญยังค้นพบความจริงอีกอย่างหนึ่ง ห้องที่เธอกำลังยืนอยู่ในตอนนี้นั้นอยู่สูงขึ้นมาจากพื้นดินมากทีเดียว เธอยังได้พบเห็นบางส่วนของกำแพงหินที่ยื่นขยายออกไปไกลทั้งสองฟากข้างอีกด้วย สิ่งก่อสร้างนี้มีขนาดใหญ่โตกว่าทุกสิ่งที่เธอเคยรู้จัก

ข้าวขวัญนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินจากปากของคุณปู่พ่อค้าเร่อีกเรื่องหนึ่ง 'ผนังกำแพงทั้งหมดก่อสร้างด้วยก้อนหินอย่างมั่นคง หินทุกก้อนถูกสกัดจนมีผิวที่เรียบรื่น และเนื่องจากมันมีความแข็งแรงมาก พวกเขาจึงสามารถทำให้มันมีหลายชั้นอยู่ภายใน พวกเธอลองคิดดูสิ การได้นอนอยู่ในที่สูงๆ โดยไม่ต้องปีนขึ้นไปอยู่บนเขา และการที่มีห้องต่างๆ อยู่มากมายภายใต้หลังคาเดียวกัน นั่นแหละคือที่อยู่ของราชา'

นั่นคือคำอธิบายของสิ่งก่อสร้างที่เรียกกันว่าปราสาท 'หรือว่าที่นี่จะเป็นปราสาทของมหาอาณาจักรสุริยัน หรือไม่ก็มหาอาณาจักรวารี' สำหรับมหาอาณาจักรวาตะนั้นไม่มีปราสาทหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว มันได้ถูกทำลายไปจนหมดก่อนที่เหล่าพ่อค้าใหญ่จะขึ้นมามีอำนาจแทนที่ราชา แต่ข้าวขวัญไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าปราสาททั้งสองนั้นจะตั้งอยู่กลางลานหินแบบนี้

'หรือว่าที่นี่จะเป็น ปราสาทของมหาอาณาจักรจันทรา' ความคิดนี้ทำเอาข้าวขวัญเกิดอาการตัวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหากที่นี่คือปราสาทแห่งนั้น นั่นก็หมายถึงว่าเธอกำลังยืนอยู่ในแดนแห่งดารา ดินแดนต้องห้ามที่ทุกคนไม่อยากแม้แต่จะพูดถึงมัน

ท้องฟ้าที่ใสกระจ่างไม่มีเมฆให้เห็นเลยแม้แต่น้อยดึงดูดสายตาของเธอให้มองขึ้นไป ดวงดาวต่างๆ ดูสว่างเรืองรองงดงามมากกว่าเมื่อตอนที่ทั้งหมดนอนคุยกันอยู่เสียอีก เธอพยายามมองหากลุ่มดาวที่คุ้นตาเหล่านั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะพบกับความจริงที่น่าประหลาดใจ

ไม่มีพวกมันอยู่บนนั้น ดวงดาวทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน และที่สำคัญมีดวงดาวกลมโตสีฟ้าขาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่งลอยเด่นอยู่ ขนาดของมันใหญ่โตยิ่งกว่าดวงจันทร์เสียอีก ลวดลายสีฟ้าขาวนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ มันดูสวยงามอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

ข้าวขวัญกวาดสายตาไปทั่วท้องฟ้า เพราะเธอยังคงหาสิ่งหนึ่งไม่พบ ไม่มีดวงจันทร์อยู่บนนั้น ดูเหมือนว่าดาวประหลาดดวงนั้นจะมาแทนที่ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้

ความคิดที่ว่าสถานที่แห่งนี้คือปราสาทที่อยู่ในแดนแห่งดาราดูจะน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งภูมิประเทศที่แปลกตา และดวงดาวบนท้องฟ้าที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนั้น ช่วยกันยืนยันความคิดนั้นได้เป็นอย่างดี

“ขวัญมาที่นี่ได้ยังไง...ที่สำคัญจะกลับไปหาทุกคนได้ยังไงกัน...”

ข้าวขวัญ พึมพำออกมาเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบที่ล้อมรอบตัวอยู่ เธอยกเจ้ากระต่ายน้อยหูเดียวขึ้นมากอด ความรู้สึกที่คุ้นเคยแวบผ่านเข้ามาอีกครั้ง เธอยกตุ๊กตาตัวนั้นขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองไปในดวงตาที่ทำจากลูกปัดแวววาวของมัน แล้วเธอก็อุทานคำๆ หนึ่งออกมา

“...เจ้าขาว...”

ข้าวขวัญนึกย้อนไปถึงความทรงจำช่วงหนึ่งในวัยเด็ก ตอนที่พ่อของเธอจับกระต่ายตัวหนึ่งกลับมาบ้าน เธอไปเจอมันถูกขังอยู่ในครัว มันจ้องมองเธอด้วยดวงตาโตแวววาวแบบนี้เช่นกัน เธอจำได้ว่ามันมีหูยาว และขนสีขาวตลอดตัว มันน่ารักจนเธออยากจะเข้าไปอุ้มขึ้นมากอด ตอนนั้นเธอยังเอาเศษผักที่เหลืออยู่ในครัวยื่นเข้าไปให้มันกินด้วย

แต่เมื่อมารู้อีกที เจ้ากระต่ายตัวนั้นก็กลายเป็นอาหารมื้อเย็นไปเสียแล้ว คืนนั้นข้าวขวัญต้องทนนอนหิวตลอดทั้งคืนเพราะไม่ยอมกินอะไรเลย ก็ใครจะไปกินเจ้ากระต่ายน่ารักอย่างนั้นได้ลงคอกัน ข้าวเขียวได้เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ฟัง และอีกหลายวันต่อมา แม่ก็เอาตุ๊กตากระต่ายสีขาวตัวเล็กๆ น่ารักตัวหนึ่งมาให้กับเธอ

ข้าวขวัญตั้งชื่อให้มันว่าเจ้าขาว และเธอก็อุ้มมันติดตัวไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอทะเลาะกับพี่ชาย เขาได้ดึงหูของมันจนหลุดแล้วเอาไปซ่อนไว้ไม่ยอมคืน นิ้วเล็กๆ ของเธอต้องถูกเข็มตำเข้าหลายครั้งจากการพยายามเย็บปะรอยขาดที่เกิดขึ้นนั้นจนสำเร็จ เธอไม่ยอมให้แม่ของเธอช่วยซ่อมแซมมันให้เป็นเหมือนเดิม เธอยืนยันที่จะให้มันเหลือหูเพียงข้างเดียวอยู่อย่างนั้น

แต่สุดท้ายมันก็หายไปอย่างไม่มีร่องรอยเหมือนกับข้าวของชิ้นอื่นๆ ข้าวขวัญยกตุ๊กตาเก่าๆ ตัวนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง เธอมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นตัวเดียวกับเจ้าขาวที่หายไปแน่ เธอหยิบผ้าผูกผมขึ้นมาดู และพยายามนึกว่าจะใช่ของเธอด้วยหรือไม่

ข้าวขวัญเริ่มเดินไปรอบๆ พร้อมกับรวบรวมข้าวของต่างๆ มากองรวมกันเอาไว้ จากการกระทำนี้เองที่ทำให้เธอได้พบว่า ภายในห้องนี้ก็มีประตูอยู่ด้วยเช่นกัน ที่เธอไม่เจอตั้งแต่แรกก็เป็นเพราะมันอยู่ด้านตรงข้ามกับช่องหน้าต่าง ซึ่งเป็นกำแพงด้านที่มืดที่สุด และมันยังเป็นเพียงประตูเล็กๆ ที่ทำด้วยไม้เรียบๆ ทั้งชิ้นแนบสนิทเข้าช่องของกำแพง หากดูเพียงผ่านๆ จึงไม่อาจพบเห็น

ข้าวขวัญทดลองออกแรงผลักดู แต่มันก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เธอจึงเริ่มไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นประตูจริงหรือไม่ เธอค่อยๆ เลื่อนมือไปมาบนแผ่นไม้ จนได้พบกับรูเล็กๆ รูหนึ่งเข้า มันดูเหมือนจะถูกเจาะขึ้นด้วยเครื่องมือช่าง มากกว่าจะเป็นรูที่เกิดจากการกัดกินของแมลง เธอพยายามจะมองลอดเข้าไป แต่ก็พบเจอแต่เพียงความมืด

หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ข้าวขวัญก็จะตัดสินใจที่จะลองแหย่นิ้วเข้าไปในรูนั้นดู

'ถ้ามันมีตัวอะไรอยู่ข้างในนั้นล่ะก็' แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไร รูนั้นไม่ได้ทะลุออกไปอีกด้านหนึ่ง แต่จากสัมผัสที่เยียบเย็นข้างในนั้นทำให้ข้าวขวัญคิดว่าคงจะมีโลหะอยู่ภายในนั่นเอง 'มันเป็นรูอะไรกันนะ'

ข้าวขวัญนำสิ่งของที่รวบรวมมาได้กลับมายังข้างช่องหน้าต่าง ที่ตรงนั้นเองเธอก็ได้พบเจอกับสิ่งของหลายชิ้นที่จดจำได้ว่าเคยทำหายไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าสิ่งของทั้งหมดนี้อาจจะเคยเป็นของเธอมาก่อนก็เป็นได้ พวกมันอาจเป็นข้าวของที่เธอเคยทำหายไปอย่างไร้ร่องรอยนั่นเอง

'แล้วพวกมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน' ข้าวขวัญมองไปรอบๆ แล้วไม่รู้สึกกลัวห้องๆ นี้มากเท่ากับในตอนแรก เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้ค้นพบแล้วว่า สถานที่แห่งนี้นั้นมีความเกี่ยวพันกับเธอมาตั้งแต่แรก ข้าวของที่เคยหายไปอย่างลึกลับล้วนมาอยู่ในห้องๆ นี้ แต่มันมาที่นี่ และตัวเธอมาที่นี่ได้อย่างไร นั่นเป็นปัญหาที่เธอยังคิดไม่ตก

'บางครั้งของที่หายไปพวกนี้ขวัญก็หาเจอได้ ก็หมายความว่ามันจะก็ต้องมีหนทางที่จะกลับไปได้เช่นกัน' แต่จะทำได้อย่างไรนั้นข้าวขวัญก็ยังคงคิดไม่ออก

ข้าวขวัญนั่งลงพร้อมกับหยิบข้าวของเก่าๆ เหล่านั้นขึ้นมาดู นี่ก็ผ้าผูกผมอีกผืนหนึ่ง นั่นก็ช้อนกินข้าว ตุ๊กตาผ้าตัวเล็กๆ ที่เธอเย็บเอง กระดุมเสื้อที่ขาดหายไป และสิ่งของอื่นๆ อีกมาก แล้วเธอก็ได้พบกับของชิ้นหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นตากับมันสักเท่าไร

กล่องบุด้วยผ้าสีแดงใบเล็กๆ ที่น่าจะใช้เก็บเครื่องประดับที่มีราคาแพง ข้าวขวัญจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกล่องแบบนี้มาก่อน เธอตัดสินใจเปิดมันออกดู ภายในนั้นมีจี้อยู่เพียงอันเดียว รูปร่างของมันดูคล้ายกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ เธอไม่แน่ใจว่ามันจะทำด้วยทองหรือไม่ แต่ท่าทางดูน่าจะมีราคา

“ไม่ใช่จี้ของขวัญแน่ๆ แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันนะ”

ตอนนี้ข้าวขวัญเชื่อไปแล้วว่าของที่หายไปทั้งหมดของเธอนั้นได้มาอยู่ภายในห้องๆ นี้ การได้พบเจอกับจี้ที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร จึงทำให้เธออดที่จะสงสัยไม่ได้

'แต่จะว่าไปมันก็รู้สึกคุ้นๆ ตาอยู่เหมือนกันนะ' ข้าวขวัญพลิกจี้นั้นไปมาอยู่ภายในอุ้งมือ รูปทรงของเปลวไฟที่สะท้อนแสงวูบวาบนั้นคล้ายกับจะลุกไหม้ขึ้นมาได้จริงๆ เธอคิดว่าเคยเห็นใครสวมใส่มันมาก่อน แต่พยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

สุดท้ายข้าวขวัญก็ตัดสินใจที่จะเก็บมันเอาไว้อย่างเดิม แต่เธอวางกล่องใบนั้นแยกออกจากกองข้าวของที่เธอมั่นใจแล้วว่าเคยเป็นของเธอ

หลังจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรที่ข้าวขวัญจะทำได้อีก เธอจึงนั่งลงที่ข้างช่องหน้าต่างพร้อมกับมองออกไปบนท้องฟ้า ดาวสีฟ้าขาวดวงโตดวงนั้นช่างงดงาม และให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ชัดเจนที่สุดบนฟากฟ้า แต่กลับไม่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวมันแต่อย่างใด

ข้าวขวัญค่อยๆ ถูกมันดึงดูดเข้าไปหามากขึ้นเรื่อยๆ หนังตาของเธอเริ่มหนัก และความง่วงก็เข้ามาครอบงำเธอในที่สุด ดาวสีฟ้าขาวดวงนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ก่อนที่จะเอนร่างนอนลงไป

“...ขวัญ น้องขวัญ ตื่นได้แล้ว”

ข้าวขวัญลืมตาตื่นขึ้นอย่างตกใจ ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่ก็เริ่มมีแสงจางๆ ที่อบอุ่นสาดส่องมาจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกบ้างแล้ว ยามราตรีกำลังจะผ่านพ้นไป แต่สิ่งที่น่ายินดีเป็นที่สุด คือเสียงอันคุ้นเคยที่ปลุกเธอนั่นเอง

“...พี่...พี่ข้าวเขียว”

“ตื่นได้แล้ว พวกเรากำลังจะกลับบ้าน...น้องขวัญเป็นอะไรหรือเปล่า”

ข้าวเขียวสำรวจมองน้องสาวด้วยความเป็นห่วง ข้าวขวัญไม่เคยต้องให้ใครปลุกมาก่อน ส่วนใหญ่แล้วเธอจะเป็นฝ่ายที่ต้องปลุกเขาเสียมากกว่า ก่อนที่จะตื่นขึ้นเขาเห็นเธอนอนพลิกตัวไปมา พร้อมกับมีสีหน้ากระสับกระส่าย เขาเดาเอาว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานคงทำให้เธอฝันร้าย

“...เปล่าค่ะ...ขวัญ...ไม่ได้เป็นอะไร”

“ลุกขึ้นได้แล้ว น้องขวัญคงจะฝันร้ายสินะ...แต่สบายใจได้ เมื่อคืนไม่ได้มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นอีก ทุกคนที่นี่ปลอดภัยกันดี”

“น้องขวัญเป็นอะไรหรือเปล่า”

รัตติกาลหันมาถามด้วยความเป็นห่วง เขากำลังนั่งดูอาการของกล้าไพรอยู่ ร่างที่ถูกมัดนั้นยังคงมีลมหายใจ ถึงแม้ว่ามันจะช้า และอ่อนแรงก็ตามที ใบหน้านั้นก็ขาวซีด แต่เมื่อลองใช้มือสัมผัสดูกลับยังพอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่ภายใน เขาแทบไม่อยากเชื่อนักมายากลเลยว่าจะมีใครที่จะสามารถช่วยชีวิตของกล้าไพรเอาไว้ได้

“ลุกขึ้นเร็วเข้า พ่อบอกให้พวกเรากลับไปรอที่บ้านกันก่อน”

ข้าวเขียวพูดต่อ

“...แต่พี่จะขอเลยไปค้นที่บ้านอีกสักครั้ง เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรมากกว่าเมื่อคืนนี้”

รัตติกาลพูดในขณะที่เดินกลับมาหาทั้งสอง ข้าวขวัญค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นพร้อมกับทบทวนถึงสิ่งที่ฝันเมื่อคืน 'มันไม่เหมือนกับความผันเลย มันเหมือนกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมากกว่า' แต่เธอก็ไม่ได้ไปไหนจริงๆ เธอนอนอยู่ที่นี่ทั้งคืน และเพียงแค่ผันไปเท่านั้น

“...น้องขวัญไปเอามันมาจากไหนกัน”

ข้าวขวัญมองตามมือของพี่ชายไปยังที่ๆ เธอพึ่งจะลุกขึ้นมา มีตุ๊กตากระต่ายเก่าๆ โทรมๆ ที่หลงเหลือหูอยู่เพียงข้างเดียวนอนกองอยู่ สีที่เคยขาวของมันกลับกลายเป็นสีเทาขมุกขมัวไปแล้ว เธอค่อยๆ ก้มลงพร้อมกับเอื้อมมือที่สั่นเทาออกไปหยิบมันขึ้นมา เธอเกิดนึกกลัวขึ้นมาว่ามันจะหายวับไปเมื่อสัมผัสกับมือของเธอ

“...มันเป็นเรื่องจริง”

ข้าวขวัญอุ้มเจ้าขาวขึ้นมากอดไว้แนบอก ท่ามกลางความงงงันของเด็กชายทั้งสอง


Create Date : 28 มิถุนายน 2553
Last Update : 28 มิถุนายน 2553 7:42:42 น. 3 comments
Counter : 678 Pageviews.

 


โดย: ooyporn วันที่: 28 มิถุนายน 2553 เวลา:9:15:55 น.  

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 28 มิถุนายน 2553 เวลา:11:55:29 น.  

 
เริ่มมีความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นอีกแล้ว


โดย: (ขพจ.) (บ้านที่ไม่มีอะไร ) วันที่: 29 มิถุนายน 2553 เวลา:11:26:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.