|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สัญญาจ้าวราชันย์ สงครามหรือสันติภาพ (50)
ข้าวขวัญเดินออกจากกระโจมหลังใหญ่ที่ถูกใช้เป็นที่ประชุมอย่างเหน็ดเหนื่อย การอยู่ท่ามกลางคนหลายคนที่ถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่คุ้น และไม่คิดว่าจะสามารถทำตัวให้คุ้นกับมันได้เลย เธอยังคงสวมใส่เสื้อคลุมอยู่เช่นเดิม เพียงแต่เสื้อคลุมตัวนี้มีสีสดใส และปักลวดลายอย่างงดงามตามแบบของชนเผ่าเร่ร่อนอยู่ทั่วทั้งตัว ม่านเมฆเป็นคนมอบเสื้อคลุมตัวนี้ให้กับข้าวขวัญ เพราะเธอไม่อยากอยู่ห่างจากกล้าไพร แต่ก็ไม่อยากถูกมองว่ายังคงมีความเกี่ยวข้องกับสมาคมนักมายากลเช่นกัน เสื้อคลุมแบบนี้จึงนับเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะไม่เคยมีนักมายากลคนใดสวมใส่เสื้อคลุมแบบนี้มาก่อน คุยกันเสร็จแล้วหรือน้องขวัญ ข้าวเขียวเดินเข้ามาทักทายน้องสาว ความจริงแล้วทั้งสองต่างได้รับรู้เรื่องราวที่เป็นคู่แฝดกันจากปากของบิดามารดามาตั้งแต่วันที่จะออกเดินทางแล้ว และยังได้รู้อีกว่าข้าวขวัญนั้นเป็นคนที่ถูกคลอดออกมาก่อน แต่ทั้งคู่ต่างก็คิดเหมือนๆ กันว่า จะยังคงรักษาความเป็นพี่น้องกันเหมือนกับที่ผ่านมาไปจนชั่วชีวิต คำเรียกหาของทั้งสองจึงยังคงเป็นเช่นเดิม ข้าวขวัญเปิดหมวกของเสื้อคลุมที่สวมอยู่ออกก่อนจะตอบคำถามของพี่ชาย ยังไม่เสร็จหรอกค่ะ น้องขวัญขอออกมาก่อนเพราะหัวหมุนไปหมดแล้ว แต่ถึงยังไงท่านม่านเมฆก็คงจัดการคนพวกนั้นได้ ในที่สุดแล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผน กองทัพของวารีจะ... ข้าวเขียวรีบยกมือขึ้นห้ามน้องสาวเอาไว้ อย่าบอกพี่ ถ้าน้องไม่ต้องการให้คุณมายารู้ ข้าวขวัญเคยร้องห้ามม่านเมฆออกมาอย่างลืมตัวเมื่อมายามาขอเข้าฟังการประชุมด้วย และม่านเมฆก็ทำตามคำแนะนำของเธอแต่โดยดี มายาจึงไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าทางวารีนั้นมีแผนที่จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป จะตัดสินใจผูกมิตรกับสุริยัน หรือว่าจะรบกันจนแตกหัก แม้แต่หมีทองเองก็ไม่ยอมเปิดเผยเรื่องนี้ให้เธอรู้เช่นกัน ผมเคยบอกไปแล้วว่า หนังสัตว์ที่ผมสวมใส่อยู่นี้ ไม่ใช่ทั้งหมี หรือจิ้งจอก แต่เป็นหนังวัวป่าแห่งวารี และผมไม่เคยคิดจะสวมใส่สิ่งอื่นใดนอกจากสิ่งนี้เท่านั้น ความหมายของหมีทองก็คือ 'เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเผ่า และไม่เคยคิดจะขายพวกพ้องของตน' นั่นเอง ดูเหมือนว่าการตกลงกับมายาก่อนหน้านั้น เขาก็ทำไปโดยเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่เขาไม่ได้สนใจเลยว่าผู้ที่ได้ครอบครองอำนาจนั้นจะเป็นตัวเอง หรือผู้อื่น ขอเพียงให้วารีได้ประโยชน์เขาก็พอใจแล้ว ...พี่ข้าวเขียวจะไปกับคุณมายาจริงๆ หรือคะ ข้าวเขียวพยักหน้าอย่างมั่นใจ เขาตั้งใจมาตั้งแต่ตอนเริ่มออกเดินทางแล้วว่าจะติดตามมายาไปจนถึงที่สุด และไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจเลย ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องละทิ้งทุกคน ซึ่งรวมถึงข้าวขวัญน้องสาวสุดที่รักด้วยก็ตามที ข้าวขวัญที่รู้นิสัยของพี่ชายเป็นอย่างดีว่า ถึงแม้เขาจะดูเป็นคนที่โลเล แต่หากได้ตัดสินใจอะไรลงไปอย่างแน่วแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ แต่เธอก็กลัวว่าการจากกันในครั้งนี้ อาจหมายถึงการต้องจากกันตลอดกาลก็เป็นได้ และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเข้าใจถึงความกังวลในใจของเธอได้ อย่าคิดมากไปเลยน้องขวัญ พี่รับรองว่าพวกเราทั้งหมดต้องได้พบกันอีกแน่ ทั้งรัตติกาล...รวมถึงกล้าไพรด้วย ทั้งหมดต้องได้กลับไปที่หมู่บ้านของพวกเราอีกครั้ง ข้าวเขียวมีความรู้สึกมั่นใจอย่างที่พูดจริงๆ และดูเหมือนว่ามันจะสามารถส่งผ่านไปถึงฝาแฝดของเขาได้ด้วย ข้าวขวัญยังลังเลอยู่ว่าจะเล่าเรื่องของกล้าไพรให้กับพี่ชายฟังดีหรือไม่ บางทีมันอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้ 'ไม่ดีกว่า ปล่อยไว้แบบนี้อาจจะดีกว่า' ไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอก็คิดแบบนี้ พี่ข้าวเขียวกับคุณมายาจะออกเดินทางเมื่อไรคะ คงภายในวันนี้แหละ พี่ก็เลยจะมาบอกลากับน้องขวัญด้วย ...ดูแลตัวเองให้ดีนะคะ ข้าวขวัญพูดพร้อมกับทำท่าเหมือนกับจะร้องไห้ ข้าวเขียวยิ้มให้น้องสาวพร้อมกับใช้มือขวาขยี้หัวเธอเบาๆ จนในที่สุดเธอเองก็ยิ้มให้กับเขาเช่นกัน น้องขวัญก็ดูแลตัวเองด้วย...แต่คงไม่เป็นไรหรอก น้องขวัญน่ะเก่งขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะแยะเลยรู้ไหม ...แต่...พลังพวกนั้นมัน ข้าวเขียวออกแรงขยี้หัวเธอมากกว่าเดิม พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น น้องขวัญอาจไม่รู้ตัว แต่เดี๋ยวนี้น้องขวัญมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมรู้ไหม...พี่ไม่คิดว่าน้องขวัญคนเดิมจะสามารถลุกขึ้นมาห้ามคุณมายาไม่ให้เข้าร่วมประชุมได้แน่ ข้าวเขียวใช้สองมือจับใบหน้าของน้องสาวให้มองสบตากับเขา ขอเพียงมีความมั่นใจในตัวเองแบบนี้ น้องสาวของพี่ก็สามารถทำได้ทุกเรื่องแล้ว ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ข้าวขวัญคิดอยู่ในใจว่า 'พี่เองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ไม่ว่าพี่จะรู้ตัวหรือไม่ แต่น้องสาวคนนี้คงไม่จำเป็นต้องคอยห่วงพี่ชายอีกต่อไปแล้ว' หลังจากนั้นข้าวเขียวก็ต้องไปทำธุระให้กับมายาอีกหลายเรื่อง เขาจึงไม่ได้รับรู้ว่าได้มีใครคนหนึ่งแอบไปพบกับเธอ ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งรถม้าคันเดิมเดินทางออกจากเมืองแห่งกระโจมไปในบ่ายวันนั้น พร้อมๆ กันนั้นม่านเมฆก็สามารถกล่อมตัวแทนจากทุกเผ่าให้เห็นชอบกับแผนของเธอได้ในที่สุด ข้าวขวัญ กับกล้าไพรติดตามเธอไปกับกองทัพที่มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำคำสัญญา ทั้งสองคนต่างเป็นส่วนสำคัญ และจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในขั้นต่อๆ ไปอีกด้วย
##### เจิดจรัสนำกองทัพของตนเข้าสมทบกับกองทัพที่แตกพ่ายของรังสี ก่อนที่จะหยุดพักอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำซึ่งเป็นจุดที่เคยถูกซุ่มโจมตี เขาไม่คิดว่าศัตรูจะใช้แผนเดิมซ้ำอีก แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ การจัดสร้างสะพานเพื่อความสะดวกในการข้ามแม่น้ำจึงถูกเร่งรัดอย่างขันแข็ง ตัวสะพานนี้ต้องสามารถขนย้าย และประกอบเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องสามารถแบกรับน้ำหนักของเหล่าทหาร และทนการโจมตีได้ในระดับหนึ่งด้วย แน่นอนว่าเจิดจรัสย่อมไม่ยอมปล่อยให้พวกศัตรูสามารถเข้ามาจู่โจมถึงตัวสะพานได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่การเผื่อแบบนี้ย่อมไม่มีใครคิดคัดค้าน กำลังทหารที่เจิดจรัสนำมานั้น เมื่อรวมเข้ากับส่วนที่เหลือ ก็ทำให้ขนาดของกองทัพในปัจจุบันนี้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก มีทหารราบจำนวนเกือบหกพัน พลธนูเกือบสองพัน กับทหารม้าอีกประมาณแปดร้อย นับเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยบังคับบัญชามาเลยทีเดียว แต่ขนาดที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น เพราะปัญหาต่างๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ปริมาณของเสบียงอาหาร การควบคุมสั่งการ ระเบียบวินัย และปัญหาจุกจิกอีกสารพัดที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งเจิดจรัสเองก็ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี เจิดจรัสมีวิธีการรับมือกับปัญหาทั้งหมดนี้ด้วยคำสั้นๆ เพียงคำเดียวเท่านั้น นั่นคือ ความเฉียบขาด เขาจึงถูกเรียกขานว่าแม่ทัพน้ำแข็ง ผู้ที่กล้าขัดคำสั่งของเขาในยามอยู่ในกองทัพนั้น สามารถรู้ถึงบั้นปลายของตัวเองได้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ได้สั่งลงโทษรังสีอย่างรุนแรง โดยเพียงแต่ย้ายไปประจำในตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญแทน รังสีทำถูกต้องแล้ว การรอกำลังหนุนเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่เจิดจรัสบอกกับทุกคน แต่ความจริงแล้วเขาคิดว่าการตัดสินใจของรังสีนั้นเลวร้ายอย่างยิ่ง ในตอนนั้นเขายังมีเวลาเพียงพอที่จะหาทางช่วยเหลือคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง อาจไม่ใช่ทั้งหมดแต่การสูญเสียจะลดลง โดยเฉพาะความสูญเสียทางด้านจิตใจ แต่เขากลับเอาแต่หนีอย่างไม่คิดชีวิต หากเป็นในยามปกติเจิดจรัสอาจสั่งลงโทษรังสีอย่างรุนแรงไปแล้ว แต่หากทำเช่นนั้นในตอนนี้ กำลังใจของกองทัพอาจยิ่งลดน้อยลงไปอีก สิ่งสำคัญอย่างเร่งด่วนคือทำให้ทหารทุกคนกลับมาเชื่อมั่นอีกครั้งหนึ่งว่า กองทัพสุริยันเป็นกองทัพที่ไม่มีผู้ใดจะสามารถต่อต้านได้ เจิดจรัสนั่งอยู่อย่างเดียวดายหลังจากที่การประชุมกับเหล่านายกองต่างๆ พึ่งสิ้นสุดลงไป สีหน้าแห่งความมั่นใจของเขาถูกถอดเก็บไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อมั่นในกองทัพของตนเอง แต่ข่าวต่างๆ ที่ได้มาในหลายวันนี้ทำให้เขาเกิดความหนักใจเป็นอย่างยิ่ง เครือข่ายข่าวสารที่ถูกจัดตั้งขึ้นถูกลอบทำลายจนเกือบหมด และมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กันในค่ำคืนเดียวเท่านั้น ศัตรูต้องมีการจัดการที่เยี่ยมยอดขนาดไหนถึงสามารถทำแบบนี้ได้ ความเป็นต่อในเรื่องข่าวสารที่เขาเคยมีถูกทำลายหมดสิ้นไปแล้ว และก่อนหน้าที่มันจะถูกทำลาย ก็มีข่าวร้ายถูกส่งเข้ามา มีกองทัพไม่ทราบที่มาปรากฏไปทั่ว ข่าวจากหลายแหล่งยังคงสับสน แต่หนึ่งในนั้นมีการยืนยันมาอย่างหนักแน่น เป็นกองทัพจากสถานที่ที่คาดไม่ถึง กองทัพจากสมาคมพ่อค้า ดูเหมือนว่านิลวายุผู้นี้จะเป็นทายาทของราชาพายุหมุน และมหาอาณาจักรวายุก็กำลังพยายามที่จะขยายความยิ่งใหญ่ให้มากขึ้นกว่าเดิม 'ช่างไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย' ในช่วงที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดถึงขีดสุด กลับมีตัวแปรที่คาดไม่ถึงเพิ่มเข้ามา และรวมถึงข่าวลือที่เลวร้ายเกี่ยวกับเคออสด้วย 'เคออสเป็นอิสระแล้ว มันได้กลืนกินดวงจันทร์ที่เคยทำหน้าที่เฝ้าดูเหล่าผู้เคลื่อนไหวในยามราตรี และจะทำลายทุกสิ่งให้กลับกลายเป็นความว่างเปล่า' มันเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับดวงจันทร์ที่หายไป ที่มีผู้คนให้ความเชื่อถือมากที่สุด แม้แต่ในกองทัพเองก็เกิดความระส่ำระสายขึ้นเช่นกัน เจิดจรัสยกมือขึ้นบีบนวดขมับของตนเอง เขาหวนคิดถึงคนที่ไม่อยากจะคิดถึงอีกแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังมีเธอคอยเคียงข้าง ยังคงมีเธอเป็นที่ปรึกษา ยังคงมีเธอเป็นกำลังที่จะต่อสู้ฝ่าฟันต่อไป แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกต่อไป 'อรุณรุ่งฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน' ...ท่านแม่ทัพครับ ทหารคนสนิทส่งเสียงเรียกมาห่างๆ จากทางด้านหลัง เจิดจรัสรีบหันกลับไป ใบหน้าของเขากลับคืนสู่ความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมอีกครั้ง หน่วยลาดตระเวนส่งข่าวมาว่า พบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ คาดว่าน่าจะเป็นกองทัพของวารีที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาครับ พอจะคะเนกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่ คาดว่าน่าจะมีเพียงหนึ่งถึงสองพันคนเท่านั้นครับ เจิดจรัสงงงันกับคำตอบ 'ส่งกำลังเพียงแค่นั้นมาทำไม หรือว่าพวกมันจะมีแผนอะไรซ่อนอยู่อีก' ทหารคนสนิทยังคงรายงานเพิ่มเติม ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพยายามเคลื่อนที่โดยก่อให้เกิดเสียงดังมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เหมือนกับว่าต้องการให้พวกเรารับรู้ถึงการมาของพวกเขา แต่หน่วยลาดตระเวนก็เพียงเฝ้าดูอยู่ห่างๆ พวกเขากลัวว่าจะเป็นแผนร้ายอะไรบางอย่าง เจิดจรัสใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว 'มีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่ง' เขารีบออกคำสั่งทันที กระจายหน่วยลาดตระเวนออกไปรอบๆ กองทัพปริศนานี้ สิ่งที่ต้องระวังคือกองกำลังที่อาจแฝงตัวอยู่ห่างๆ แล้วพยายามหาทางติดต่อกับคนในกองทัพนั้นอย่างลับๆ โดยเร็วที่สุด 'ติดต่อกับกองทัพศัตรูอย่างนั้นหรือ' แม้จะมีความสงสัย แต่ทหารคนสนิทก็เก็บมันไว้เพียงในใจเท่านั้น การแสดงความสงสัยในการตัดสินใจของแม่ทัพน้ำแข็งนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดของเขามาก่อน คำสั่งของเจิดจรัสถูกถ่ายทอดออกไป และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างรวดเร็ว เจิดจรัสเฝ้ารอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคิด กระแสของการรบอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นอีกครั้ง
Create Date : 31 มกราคม 2554 |
|
2 comments |
Last Update : 31 มกราคม 2554 8:07:48 น. |
Counter : 643 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: zoi 1 กุมภาพันธ์ 2554 10:56:41 น. |
|
|
|
|
|
|
|