ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 มกราคม 2554
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ สงครามหรือสันติภาพ (50)

ข้าวขวัญเดินออกจากกระโจมหลังใหญ่ที่ถูกใช้เป็นที่ประชุมอย่างเหน็ดเหนื่อย การอยู่ท่ามกลางคนหลายคนที่ถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่คุ้น และไม่คิดว่าจะสามารถทำตัวให้คุ้นกับมันได้เลย เธอยังคงสวมใส่เสื้อคลุมอยู่เช่นเดิม เพียงแต่เสื้อคลุมตัวนี้มีสีสดใส และปักลวดลายอย่างงดงามตามแบบของชนเผ่าเร่ร่อนอยู่ทั่วทั้งตัว

ม่านเมฆเป็นคนมอบเสื้อคลุมตัวนี้ให้กับข้าวขวัญ เพราะเธอไม่อยากอยู่ห่างจากกล้าไพร แต่ก็ไม่อยากถูกมองว่ายังคงมีความเกี่ยวข้องกับสมาคมนักมายากลเช่นกัน เสื้อคลุมแบบนี้จึงนับเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะไม่เคยมีนักมายากลคนใดสวมใส่เสื้อคลุมแบบนี้มาก่อน

“คุยกันเสร็จแล้วหรือน้องขวัญ”

ข้าวเขียวเดินเข้ามาทักทายน้องสาว ความจริงแล้วทั้งสองต่างได้รับรู้เรื่องราวที่เป็นคู่แฝดกันจากปากของบิดามารดามาตั้งแต่วันที่จะออกเดินทางแล้ว และยังได้รู้อีกว่าข้าวขวัญนั้นเป็นคนที่ถูกคลอดออกมาก่อน แต่ทั้งคู่ต่างก็คิดเหมือนๆ กันว่า จะยังคงรักษาความเป็นพี่น้องกันเหมือนกับที่ผ่านมาไปจนชั่วชีวิต คำเรียกหาของทั้งสองจึงยังคงเป็นเช่นเดิม

ข้าวขวัญเปิดหมวกของเสื้อคลุมที่สวมอยู่ออกก่อนจะตอบคำถามของพี่ชาย

“ยังไม่เสร็จหรอกค่ะ น้องขวัญขอออกมาก่อนเพราะหัวหมุนไปหมดแล้ว แต่ถึงยังไงท่านม่านเมฆก็คงจัดการคนพวกนั้นได้ ในที่สุดแล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผน กองทัพของวารีจะ...”

ข้าวเขียวรีบยกมือขึ้นห้ามน้องสาวเอาไว้

“อย่าบอกพี่ ถ้าน้องไม่ต้องการให้คุณมายารู้”

ข้าวขวัญเคยร้องห้ามม่านเมฆออกมาอย่างลืมตัวเมื่อมายามาขอเข้าฟังการประชุมด้วย และม่านเมฆก็ทำตามคำแนะนำของเธอแต่โดยดี มายาจึงไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าทางวารีนั้นมีแผนที่จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป จะตัดสินใจผูกมิตรกับสุริยัน หรือว่าจะรบกันจนแตกหัก แม้แต่หมีทองเองก็ไม่ยอมเปิดเผยเรื่องนี้ให้เธอรู้เช่นกัน

“ผมเคยบอกไปแล้วว่า หนังสัตว์ที่ผมสวมใส่อยู่นี้ ไม่ใช่ทั้งหมี หรือจิ้งจอก แต่เป็นหนังวัวป่าแห่งวารี และผมไม่เคยคิดจะสวมใส่สิ่งอื่นใดนอกจากสิ่งนี้เท่านั้น”

ความหมายของหมีทองก็คือ 'เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเผ่า และไม่เคยคิดจะขายพวกพ้องของตน' นั่นเอง ดูเหมือนว่าการตกลงกับมายาก่อนหน้านั้น เขาก็ทำไปโดยเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่เขาไม่ได้สนใจเลยว่าผู้ที่ได้ครอบครองอำนาจนั้นจะเป็นตัวเอง หรือผู้อื่น ขอเพียงให้วารีได้ประโยชน์เขาก็พอใจแล้ว

“...พี่ข้าวเขียวจะไปกับคุณมายาจริงๆ หรือคะ”

ข้าวเขียวพยักหน้าอย่างมั่นใจ เขาตั้งใจมาตั้งแต่ตอนเริ่มออกเดินทางแล้วว่าจะติดตามมายาไปจนถึงที่สุด และไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจเลย ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องละทิ้งทุกคน ซึ่งรวมถึงข้าวขวัญน้องสาวสุดที่รักด้วยก็ตามที

ข้าวขวัญที่รู้นิสัยของพี่ชายเป็นอย่างดีว่า ถึงแม้เขาจะดูเป็นคนที่โลเล แต่หากได้ตัดสินใจอะไรลงไปอย่างแน่วแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ แต่เธอก็กลัวว่าการจากกันในครั้งนี้ อาจหมายถึงการต้องจากกันตลอดกาลก็เป็นได้ และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเข้าใจถึงความกังวลในใจของเธอได้

“อย่าคิดมากไปเลยน้องขวัญ พี่รับรองว่าพวกเราทั้งหมดต้องได้พบกันอีกแน่ ทั้งรัตติกาล...รวมถึงกล้าไพรด้วย ทั้งหมดต้องได้กลับไปที่หมู่บ้านของพวกเราอีกครั้ง”

ข้าวเขียวมีความรู้สึกมั่นใจอย่างที่พูดจริงๆ และดูเหมือนว่ามันจะสามารถส่งผ่านไปถึงฝาแฝดของเขาได้ด้วย ข้าวขวัญยังลังเลอยู่ว่าจะเล่าเรื่องของกล้าไพรให้กับพี่ชายฟังดีหรือไม่ บางทีมันอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้ 'ไม่ดีกว่า ปล่อยไว้แบบนี้อาจจะดีกว่า' ไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอก็คิดแบบนี้

“พี่ข้าวเขียวกับคุณมายาจะออกเดินทางเมื่อไรคะ”

“คงภายในวันนี้แหละ พี่ก็เลยจะมาบอกลากับน้องขวัญด้วย”

“...ดูแลตัวเองให้ดีนะคะ”

ข้าวขวัญพูดพร้อมกับทำท่าเหมือนกับจะร้องไห้ ข้าวเขียวยิ้มให้น้องสาวพร้อมกับใช้มือขวาขยี้หัวเธอเบาๆ จนในที่สุดเธอเองก็ยิ้มให้กับเขาเช่นกัน

“น้องขวัญก็ดูแลตัวเองด้วย...แต่คงไม่เป็นไรหรอก น้องขวัญน่ะเก่งขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะแยะเลยรู้ไหม”

“...แต่...พลังพวกนั้นมัน”

ข้าวเขียวออกแรงขยี้หัวเธอมากกว่าเดิม

“พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น น้องขวัญอาจไม่รู้ตัว แต่เดี๋ยวนี้น้องขวัญมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมรู้ไหม...พี่ไม่คิดว่าน้องขวัญคนเดิมจะสามารถลุกขึ้นมาห้ามคุณมายาไม่ให้เข้าร่วมประชุมได้แน่”

ข้าวเขียวใช้สองมือจับใบหน้าของน้องสาวให้มองสบตากับเขา

“ขอเพียงมีความมั่นใจในตัวเองแบบนี้ น้องสาวของพี่ก็สามารถทำได้ทุกเรื่องแล้ว”

ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ข้าวขวัญคิดอยู่ในใจว่า 'พี่เองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ไม่ว่าพี่จะรู้ตัวหรือไม่ แต่น้องสาวคนนี้คงไม่จำเป็นต้องคอยห่วงพี่ชายอีกต่อไปแล้ว'

หลังจากนั้นข้าวเขียวก็ต้องไปทำธุระให้กับมายาอีกหลายเรื่อง เขาจึงไม่ได้รับรู้ว่าได้มีใครคนหนึ่งแอบไปพบกับเธอ ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งรถม้าคันเดิมเดินทางออกจากเมืองแห่งกระโจมไปในบ่ายวันนั้น

พร้อมๆ กันนั้นม่านเมฆก็สามารถกล่อมตัวแทนจากทุกเผ่าให้เห็นชอบกับแผนของเธอได้ในที่สุด ข้าวขวัญ กับกล้าไพรติดตามเธอไปกับกองทัพที่มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำคำสัญญา ทั้งสองคนต่างเป็นส่วนสำคัญ และจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในขั้นต่อๆ ไปอีกด้วย

#####

เจิดจรัสนำกองทัพของตนเข้าสมทบกับกองทัพที่แตกพ่ายของรังสี ก่อนที่จะหยุดพักอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำซึ่งเป็นจุดที่เคยถูกซุ่มโจมตี เขาไม่คิดว่าศัตรูจะใช้แผนเดิมซ้ำอีก แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ การจัดสร้างสะพานเพื่อความสะดวกในการข้ามแม่น้ำจึงถูกเร่งรัดอย่างขันแข็ง

ตัวสะพานนี้ต้องสามารถขนย้าย และประกอบเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องสามารถแบกรับน้ำหนักของเหล่าทหาร และทนการโจมตีได้ในระดับหนึ่งด้วย แน่นอนว่าเจิดจรัสย่อมไม่ยอมปล่อยให้พวกศัตรูสามารถเข้ามาจู่โจมถึงตัวสะพานได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่การเผื่อแบบนี้ย่อมไม่มีใครคิดคัดค้าน

กำลังทหารที่เจิดจรัสนำมานั้น เมื่อรวมเข้ากับส่วนที่เหลือ ก็ทำให้ขนาดของกองทัพในปัจจุบันนี้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก มีทหารราบจำนวนเกือบหกพัน พลธนูเกือบสองพัน กับทหารม้าอีกประมาณแปดร้อย นับเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยบังคับบัญชามาเลยทีเดียว

แต่ขนาดที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น เพราะปัญหาต่างๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ปริมาณของเสบียงอาหาร การควบคุมสั่งการ ระเบียบวินัย และปัญหาจุกจิกอีกสารพัดที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งเจิดจรัสเองก็ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี

เจิดจรัสมีวิธีการรับมือกับปัญหาทั้งหมดนี้ด้วยคำสั้นๆ เพียงคำเดียวเท่านั้น นั่นคือ ความเฉียบขาด เขาจึงถูกเรียกขานว่าแม่ทัพน้ำแข็ง ผู้ที่กล้าขัดคำสั่งของเขาในยามอยู่ในกองทัพนั้น สามารถรู้ถึงบั้นปลายของตัวเองได้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ได้สั่งลงโทษรังสีอย่างรุนแรง โดยเพียงแต่ย้ายไปประจำในตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญแทน

“รังสีทำถูกต้องแล้ว การรอกำลังหนุนเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด”

นั่นคือสิ่งที่เจิดจรัสบอกกับทุกคน แต่ความจริงแล้วเขาคิดว่าการตัดสินใจของรังสีนั้นเลวร้ายอย่างยิ่ง ในตอนนั้นเขายังมีเวลาเพียงพอที่จะหาทางช่วยเหลือคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง อาจไม่ใช่ทั้งหมดแต่การสูญเสียจะลดลง โดยเฉพาะความสูญเสียทางด้านจิตใจ แต่เขากลับเอาแต่หนีอย่างไม่คิดชีวิต

หากเป็นในยามปกติเจิดจรัสอาจสั่งลงโทษรังสีอย่างรุนแรงไปแล้ว แต่หากทำเช่นนั้นในตอนนี้ กำลังใจของกองทัพอาจยิ่งลดน้อยลงไปอีก สิ่งสำคัญอย่างเร่งด่วนคือทำให้ทหารทุกคนกลับมาเชื่อมั่นอีกครั้งหนึ่งว่า กองทัพสุริยันเป็นกองทัพที่ไม่มีผู้ใดจะสามารถต่อต้านได้

เจิดจรัสนั่งอยู่อย่างเดียวดายหลังจากที่การประชุมกับเหล่านายกองต่างๆ พึ่งสิ้นสุดลงไป สีหน้าแห่งความมั่นใจของเขาถูกถอดเก็บไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อมั่นในกองทัพของตนเอง แต่ข่าวต่างๆ ที่ได้มาในหลายวันนี้ทำให้เขาเกิดความหนักใจเป็นอย่างยิ่ง

เครือข่ายข่าวสารที่ถูกจัดตั้งขึ้นถูกลอบทำลายจนเกือบหมด และมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กันในค่ำคืนเดียวเท่านั้น ศัตรูต้องมีการจัดการที่เยี่ยมยอดขนาดไหนถึงสามารถทำแบบนี้ได้ ความเป็นต่อในเรื่องข่าวสารที่เขาเคยมีถูกทำลายหมดสิ้นไปแล้ว และก่อนหน้าที่มันจะถูกทำลาย ก็มีข่าวร้ายถูกส่งเข้ามา

มีกองทัพไม่ทราบที่มาปรากฏไปทั่ว ข่าวจากหลายแหล่งยังคงสับสน แต่หนึ่งในนั้นมีการยืนยันมาอย่างหนักแน่น เป็นกองทัพจากสถานที่ที่คาดไม่ถึง กองทัพจากสมาคมพ่อค้า ดูเหมือนว่านิลวายุผู้นี้จะเป็นทายาทของราชาพายุหมุน และมหาอาณาจักรวายุก็กำลังพยายามที่จะขยายความยิ่งใหญ่ให้มากขึ้นกว่าเดิม

'ช่างไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย' ในช่วงที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดถึงขีดสุด กลับมีตัวแปรที่คาดไม่ถึงเพิ่มเข้ามา และรวมถึงข่าวลือที่เลวร้ายเกี่ยวกับเคออสด้วย

'เคออสเป็นอิสระแล้ว มันได้กลืนกินดวงจันทร์ที่เคยทำหน้าที่เฝ้าดูเหล่าผู้เคลื่อนไหวในยามราตรี และจะทำลายทุกสิ่งให้กลับกลายเป็นความว่างเปล่า' มันเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับดวงจันทร์ที่หายไป ที่มีผู้คนให้ความเชื่อถือมากที่สุด แม้แต่ในกองทัพเองก็เกิดความระส่ำระสายขึ้นเช่นกัน

เจิดจรัสยกมือขึ้นบีบนวดขมับของตนเอง เขาหวนคิดถึงคนที่ไม่อยากจะคิดถึงอีกแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังมีเธอคอยเคียงข้าง ยังคงมีเธอเป็นที่ปรึกษา ยังคงมีเธอเป็นกำลังที่จะต่อสู้ฝ่าฟันต่อไป แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกต่อไป 'อรุณรุ่งฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน'

“...ท่านแม่ทัพครับ”

ทหารคนสนิทส่งเสียงเรียกมาห่างๆ จากทางด้านหลัง เจิดจรัสรีบหันกลับไป ใบหน้าของเขากลับคืนสู่ความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

“หน่วยลาดตระเวนส่งข่าวมาว่า พบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ คาดว่าน่าจะเป็นกองทัพของวารีที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาครับ”

“พอจะคะเนกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่”

“คาดว่าน่าจะมีเพียงหนึ่งถึงสองพันคนเท่านั้นครับ”

เจิดจรัสงงงันกับคำตอบ 'ส่งกำลังเพียงแค่นั้นมาทำไม หรือว่าพวกมันจะมีแผนอะไรซ่อนอยู่อีก' ทหารคนสนิทยังคงรายงานเพิ่มเติม

“ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพยายามเคลื่อนที่โดยก่อให้เกิดเสียงดังมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เหมือนกับว่าต้องการให้พวกเรารับรู้ถึงการมาของพวกเขา แต่หน่วยลาดตระเวนก็เพียงเฝ้าดูอยู่ห่างๆ พวกเขากลัวว่าจะเป็นแผนร้ายอะไรบางอย่าง”

เจิดจรัสใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว 'มีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่ง' เขารีบออกคำสั่งทันที

“กระจายหน่วยลาดตระเวนออกไปรอบๆ กองทัพปริศนานี้ สิ่งที่ต้องระวังคือกองกำลังที่อาจแฝงตัวอยู่ห่างๆ แล้วพยายามหาทางติดต่อกับคนในกองทัพนั้นอย่างลับๆ โดยเร็วที่สุด”

'ติดต่อกับกองทัพศัตรูอย่างนั้นหรือ' แม้จะมีความสงสัย แต่ทหารคนสนิทก็เก็บมันไว้เพียงในใจเท่านั้น การแสดงความสงสัยในการตัดสินใจของแม่ทัพน้ำแข็งนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดของเขามาก่อน คำสั่งของเจิดจรัสถูกถ่ายทอดออกไป และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างรวดเร็ว

เจิดจรัสเฝ้ารอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคิด กระแสของการรบอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นอีกครั้ง




 

Create Date : 31 มกราคม 2554
2 comments
Last Update : 31 มกราคม 2554 8:07:48 น.
Counter : 643 Pageviews.

 

ติดตามอยู่นะครับ แต่ว่าไม่มีความคิดเห็นใด ๆ คงต้องตามดูกันต่อไป พร้อมกับต้องตามดูว่า ผมจะน้ำหนักลดได้ไหม อิอิ ไม่เกี่ยวกันเลย

 

โดย: เรียบๆง่ายๆ...สบายใจดี 1 กุมภาพันธ์ 2554 10:23:55 น.  

 

ผมจะคอยดูครับ (เฮ้ย)

 

โดย: zoi 1 กุมภาพันธ์ 2554 10:56:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.