ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
17 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
สัญญาจ้าวราชันย์ เศษเสี้ยวจากอดีต (18)

“...เรื่องจริงหรือนี่”

หัวหน้าหมู่บ้านรับฟังเรื่องราวย่อๆ ที่มายาบอกเล่าออกมาอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ตอนแรกก็เป็นเรื่องของสงคราม แต่มาตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องของเคออสไปเสียแล้ว เรื่องราวที่เหมือนกับนิทานพวกนี้จะกลายเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไร พวกแกนนำคนอื่นๆ ในหมู่บ้านต่างก็แสดงท่าทีที่ไม่แตกต่างกันนัก

หากไม่มีสิ่งที่พวกเขาได้เห็นด้วยตา และได้ยินด้วยหูของตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วล่ะก็ ทุกคนคงพากันคิดว่านักมายากลคนนี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ พวกเด็กๆ ต่างพากันเงียบเอาไว้ตามคำสั่งของมายา เธอพยายามจำกัดรายละเอียดของเหตุการณ์ให้น้อยที่สุด และไม่อยากให้พวกเด็กๆ พูดอะไรมากไปกว่านั้น

“ยังไงก็ให้พวกเด็กๆ ไปพักกันก่อนดีไหม”

อุดมเสนอความคิดนี้ขึ้นมาด้วยเห็นอาการของพวกเด็กๆ ต่างดูเหน็ดเหนื่อยอิดโรยเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้เขาจะดีใจที่ลูกทั้งสองคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เขาก็รู้สึกเป็นกังวลกับเด็กอีกสองคน กล้าไพร กับรัตติกาลนั้นยังเด็กนัก ไม่ควรที่จะต้องมาพบเจอกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้เลย

หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับหันมาถามมายา

“เราจะแยกย้ายกันกลับบ้านได้หรือยังครับ”

มายาส่ายหน้าช้าๆ

“คืนนี้เราคงต้องนอนค้างกันที่นี่ ต้องรอให้มีแสงอาทิตย์ก่อนถึงจะปลอดภัย”

หัวหน้าหมู่บ้านจึงแจ้งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยกำชับไม่ให้ออกไปจากลานกลางหมู่บ้านจนกว่าจะเช้า พวกผู้หญิงจึงพาเด็กๆ หลบไปหาที่หลับนอน พวกเขาตัดสินใจที่จะนำร่างของกล้าไพรที่ยังคงไม่ได้สติไปนอนกับพวกเขาด้วย

มายาพูดเบาๆ ให้พอได้ยิน ก่อนที่พวกเขาจะนำร่างของเพื่อนจากไป

“อย่าแก้มัดเขาเด็ดขาด”

ความเงียบค่อยๆ มาเยือนสถานที่แห่งนั้นในเวลาไม่นาน มีเพียงหัวหน้าหมู่บ้าน มายา กับแกนนำบางคนซึ่งรวมถึงอุดมที่ยังคงนั่งคุยกันเงียบๆ อย่างเคร่งเครียด

“กล้าณรงค์ตายแล้วจริงหรือ”

มายาเพียงแค่พยักหน้า เธอไม่อยากต้องพูดอะไรซ้ำๆ หลายครั้ง

“แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนของหมู่บ้านเราโดยกำเนิด แต่เขาก็ได้ทำประโยชน์ และเป็นคนที่พึ่งพาได้เสมอ ฉันยังหวังว่าเขาจะเป็นกำลังสำคัญในการอพยบหลบหนีไฟสงครามในครั้งนี้ด้วย...เฮ้อ”

หัวหน้าหมู่บ้านถอนใจออกมา คนอื่นๆ ต่างก็มีท่าทางที่ไม่แตกต่างกัน แม้จะคอยพูดจาล้อเลียนลับหลังเขาว่าเป็นทหารหนีทัพ แต่ทุกคนต่างก็รู้ในฝีมือของเขาเป็นอย่างดี การสูญเสียเขาไปในยามนี้จึงบั่นทอนกำลังใจของทุกคนเป็นอันมาก

มายาคิดว่าคืนนี้คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้พูดคุยกับคนเหล่านี้ เธอจึงตัดสินใจที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กพวกนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่ามันจะขัดกับนิสัยที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับผู้คนของเธอก็ตามที

เธอเริ่มต้นถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจกับหัวหน้าหมู่บ้านก่อน

“กล้าณรงค์ กับจันทร์เสี้ยวไม่ได้เป็นคนของหมู่บ้านนี้มาตั้งแต่แรกใช่ไหม”

“ใช่ แต่พวกเขาก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาเป็นคนอื่นหรอก”

ทุกคนที่นั่งล้อมวงอยู่ต่างพยักหน้าแสดงว่าเห็นด้วย

“ลูกๆ ของพวกเขาเกิดที่นี่หรือเปล่า”

“เปล่า ตอนมาถึงที่นี่พวกเขาต่างก็อุ้มเด็กสองคนนั้นมาด้วย ทั้งสองนั้นยังเล็กนัก ไม่ควรจะพาเดินทางมาแบบนั้น...แต่พวกเขาก็คงมีเหตุผลของตนเองนั่นแหละ”

“...พวกเขามาถึงพร้อมกัน หรือรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”

“กล้าณรงค์มาที่นี่ก่อนจันทร์เสี้ยวเกือบปี...และพวกเขาก็ไม่น่าจะรู้จักกันมาก่อน”

หัวหน้าหมู่บ้านหันไปทางอุดมที่รู้จักกับจันทร์เสี้ยวดีที่สุด

“ผมก็แน่ใจว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”

ทั้งสองคนต่างเริ่มสงสัยว่าทำไมมายาจึงเอาแต่ซักถามถึงเรื่องราวเหล่านี้

“...มีใครพอรู้ไหมว่าพวกเขามาจากไหน แม่ของกล้าไพรเป็นใคร และใครเป็นพ่อของรัตติกาล”

หัวหน้าหมู่บ้านกับอุดมต่างมองหน้ากัน ความจริงเรื่องเหล่านี้ต่างก็เป็นเรื่องที่พวกเขาอยากรู้กันมาตั้งนานแล้ว แต่จนแล้วจนรอดทั้งสองคนต่างก็ปิดปากเงียบ จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องเป็นฝ่ายเลิกถามกันไปเอง

“ฉันคิดว่ากล้าณรงค์น่าจะมาจากทางใต้ เขาอาจเคยเป็นทหารในมหาอาณาจักรวารีก็เป็นได้”

มายารู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที 'เขาใช้เพลงดาบสายลม และรู้จักสายลมแห่งราชา นั่นย่อมหมายความว่าเขาเป็นอดีตนักรบของมหาอาณาจักรวาตะ แล้วทำไมคนพวกนี้ถึงคิดว่าเขามาจากทางใต้กัน'

“ส่วนจันทร์เสี้ยวนั้นพวกเราต่างก็ไม่มั่นใจว่าเธอเดินทางมาจากที่ใดแน่ ส่วนเรื่องที่ใครเป็นพ่อ หรือแม่ของเด็กสองคนนั้น ทั้งหมดต่างไม่เคยเล่าอะไรให้ใครฟังมาก่อนเลย”

อุดมกล่าวเสริมขึ้นในตอนท้าย ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับอดีตของคนพวกนี้เลย นั่นยิ่งทำให้มายารู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก แสดงว่าทั้งสองคนต่างมีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดาจึงไม่อาจเปิดเผยออกมาได้ นั่นทำให้เด็กสองคนนั้นยิ่งน่าสงสัยขึ้นไปอีก เธอลองเปลี่ยนคำถามของเธอดูอีกครั้ง

“ทั้งสองคนนั้นมีอะไร หรือชอบทำอะไรแปลกๆ หรือเปล่า ระหว่างที่อยู่ในหมู่บ้านนี้”

“นอกจากเรื่องฝีมือพรานที่เก่งกาจของกล้าณรงค์แล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา”

พอหัวหน้าหมู่บ้านพูดจบ อุดมก็กล่าวเสริมขึ้นบ้าง

“สำหรับจันทร์เสี้ยวนั้นจะว่ามีอะไรแปลกๆ ก็ได้เหมือนกัน ในตอนแรกที่เธอมาอยู่ที่นี่เธอทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง พวกฉันต้องคอยช่วยสอนเธอในเกือบจะทุกเรื่อง”

เขาทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“...เหมือนกับว่าเธอไม่เคยต้องทำงานอะไรพวกนี้มาก่อนเลย ตอนนั้นพวกฉันก็เคยแอบคิดกันว่า เธออาจจะเคยแต่ใช้ชีวิตอย่างสบายมีคนคอยดูแลให้หมดทุกอย่างอะไรแบบนั้น แต่เธอก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และทำงานอย่างขยันขันแข็ง พวกฉันเองก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่”

'ถ้าไม่ใช่พวกคนรวย เป็นขุนนาง หรือไม่ก็มีเชื้อจ้าว แต่มันก็ยังกว้างเกินไป น่าเสียดายที่ไม่เคยได้พบหน้ากับเธอสักครั้ง แต่ถ้าดูจากลักษณะของเด็กคนนั้นแล้ว เธอน่าจะเป็นอย่างหลังสุดเสียมากกว่า' มายาพลันคิดถึงดวงตาที่แปลกประหลาดคู่นั้นขึ้นมาอีกครั้ง

“ในหมู่บ้านนี้มีใครที่มีตาสองสีบ้างไหม”

ทั้งหมดต่างหันมองหน้ากัน ก่อนที่หัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นคนตอบ

“ไม่มีหรอก ส่วนใหญ่ก็เป็นสีดำ หรือไม่ก็น้ำตาลเข้มกันทั้งนั้นแหละ ฉันไม่เคยเห็นใครมีตาสองสีมาก่อนเลย”

มายารู้สึกแปลกใจ เธอหันไปถามอุดมดูบ้าง

“คุณเคยมองตาของเด็กที่ชื่อรัตติกาลบ้างไหม”

อุดมทำหน้างงกับคำถามนั้น

“เคยสิ ผมเห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆ สีตาของเขาแปลกกว่าพวกเราก็จริง เพราะมันมีสีออกเหลืองเหมือนกับแม่ของเขา แต่มันก็เป็นสีเดียวกันทั้งสองข้างนะ”

มายากลับเป็นฝ่ายที่ต้องงงกับความมั่นใจในคำตอบของเขา 'แล้วที่ฉันเห็นนั่นมันคืออะไรกันแน่ ตาข้างซ้ายของเขาเป็นสีเหลืองก็จริง แต่มันก็เปล่งประกายแปลกๆ ออกมาด้วย ในขณะที่ตาข้างขวานั้นเป็นสีน้ำตาลแดง ฉันอาจจะเข้าใจผิดในเรื่องสีของมันเพราะอยู่ในความมืด แต่ถึงยังไงมันก็ต้องมีสีเข้มกว่าอีกข้างหนึ่งแน่ พรุ่งนี้เช้าฉันจะต้องลองตรวจสอบเรื่องนี้ดูอีกครั้ง'

แต่อย่างน้อยเธอก็ได้รู้ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จันทร์เสี้ยวนั้นมีดวงตาสีเหลือง เธอคิดว่ามีคนอยู่ไม่มากนักที่จะมีตาสีนั้น และนั่นอาจจะทำให้การสืบสาวเรื่องราวทำได้ง่ายขึ้น

ตอนนี้เธอจึงเปลี่ยนมาถามเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กอีกสองคนที่เหลือ ส่วนคนที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดก็ย่อมต้องเป็นอุดม บิดาของพวกเขานั่นเอง เธอเริ่มต้นด้วยคำถามที่ทำให้อุดมต้องสะอึก

“เด็กสองคนนั้นเป็นฝาแฝดกันใช่ไหม”

อุดมต้องแอบเหลือบไปมองหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อเห็นผู้เฒ่าพยักหน้า เขาจึงค่อยตอบคำถามนี้

“...ถูกแล้ว พวกเขาเป็นฝาแฝดกัน”

“แล้วทำไมต้องบอกว่าข้าวขวัญเป็นน้องที่มีอายุอ่อนกว่าข้าวเขียวหนึ่งปีด้วยล่ะ”

หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนที่ทำหน้าที่ตอบคำถามนี้แทน เขาเล่าถึงเรื่องราวความเชื่ออย่างหนึ่งที่ยึดถือกันมาแต่โบราณในแถบนี้ ลูกแฝดนั้นจะเป็นที่ต้องการของปีศาจ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ดังนั้นถ้าได้ลูกแฝดที่เป็นผู้ชายทั้งคู่ก็ไม่เป็นไร แต่หากมีลูกแฝดที่เป็นหญิงเกิดขึ้น พวกเขาจะต้องแยกเด็กหญิงคนหนึ่งให้ญาติ หรือคนรู้จักนำไปเลี้ยงเป็นเวลาหนึ่งปี

พอพ้นเวลาแล้วจึงค่อยนำกลับมาเลี้ยงรวมกันอีกครั้ง โดยให้คนที่ถูกแยกไปจะต้องเป็นน้อง และถือว่าพึ่งเกิดในปีนั้น จึงมีอายุอ่อนกว่าอีกคนอยู่หนึ่งปี เพื่อให้ปีศาจเข้าใจว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้เป็นฝาแฝดกันแต่อย่างใด

“มีเรื่องเล่าที่น่ากลัวกว่านี้อยู่อีก ในบางแห่ง...เขาให้เลือกเด็กเอาไว้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เด็กผู้หญิงอีกคนจะถูกใส่ลงในตะกร้าแล้วลอยไปตามแม่น้ำ เพื่อให้ปีศาจที่ติดตามมาออกจากหมู่บ้านไป...”

มายารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ ความเชื่อพวกนี้ล้วนเกิดขึ้นมาจากความจริงข้อหนึ่งที่พวกเขาต่างลืมเลือนไปนานแล้ว เด็กฝาแฝดนั้นมีแนวโน้มที่จะมีพลังมายากลสถิตอยู่มากกว่าเด็กทั่วๆ ไปหลายเท่า พวกเขาจึงเป็นที่ต้องการตัวของนักมายากล หรือก็คือปีศาจที่จะคอยติดตามมาเอาตัวเด็กแฝดหญิงไปนั่นเอง

ความทรงจำแปลกๆ ชุดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวของเธอ ตะกร้าไม้ไผ่ กล่องเก่าๆ ใบหนึ่ง จี้รูปร่างคุ้นตา แมลงตัวเล็กๆ ที่ไต่ไปมาอยู่บนมือ เสียงหัวเราะ ความเจ็บปวด และน้ำตา แล้วทั้งหมดก็หายวับไป 'เกิดอะไรขึ้นกันนี่' ไม่มีใครสังเกตุเห็นความผิดปกติของเธอ เพราะไม่มีใครสามารถมองผ่านเสื้อคลุมแห่งราตรีที่เธอสวมใส่อยู่ได้ ที่พวกเขามองเห็นภายใต้เสื้อคลุมตัวนี้ คงมีเพียงความมืดมิดแห่งยามราตรีเท่านั้น

ในบันทึกโบราณที่มายาได้พบพร้อมกับเสื้อคลุมตัวนี้ระบุเอาไว้ว่า 'มีเพียงแสงจันทร์ของเดือนเต็มดวงเท่านั้นที่จะสามารถสาดส่องผ่านความมืดมิดของมันเข้าไปได้' แต่เมื่ออยู่ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเข้าจริง ก็ยังคงไม่มีผู้ใดสามารถมองผ่านมันได้อยู่เช่นเดิม เธอจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นการเปรียบเปรย และไม่ได้หมายความถึงดวงจันทร์จริงๆ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็เป็นได้

จากเรื่องเล่าทั้งหมดนี้สามารถตอบความสงสัยของมายาได้อย่างหนึ่ง เด็กสองคนนั่นเป็นฝาแฝดจริงๆ พลังมายากลในตัวของข้าวขวัญจึงแสดงออกมาตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งเธอ และคนรอบข้างต่างพากันคิดว่า ที่สิ่งของต่างๆ หายไปนั้น เกิดจากความซุ่มซ่ามที่มากจนผิดปกติของเธอ แต่ทั้งหมดนั้นมันเป็นเพราะเธอยังไม่สามารถควบคุมพลังที่มีอยู่ได้ต่างหาก

พลังมายากล หรือสัญญาแห่งจันทรา คือพลังที่จะพบเฉพาะในผู้หญิงเท่านั้น พลังที่สามารถทำให้สิ่งของหายไป และกลับมาปรากฎขึ้นอีกครั้งได้ตามความต้องการ โดยใช้มือเป็นสื่อในการกระทำนั้น แต่มันไม่สามารถใช้กับสิ่งที่มีชีวิต และไม่อาจใช้กับสิ่งที่คนผู้นั้นไม่อาจยกขึ้นด้วยมือของตนเองได้ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญอยู่อีกประการหนึ่ง นั่นก็คือปริมาณของสิ่งต่างๆ ที่สามารถเก็บเอาไว้ได้นั่นเอง

'พลังนี้จะพาเธอไปยังที่แห่งใดกัน หวังว่ามันคงจะเป็นที่ๆ ฉันต้องการ นั่นคือนำไปสู่เข็มทิศ หรือกุญแจที่อยู่ในคำทำนาย' หรือจะให้ดียิ่งกว่านั้น 'ตัวเธอก็ควรจะเป็นกุญแจดอกนั้นที่ฉันต้องการเสียเลย'

มายาถามคำถามสุดท้ายของเธอออกไป

“แล้วข้าวเขียวเคยทำอะไรแปลกๆ เหมือนกับน้องสาวของเขาบ้างหรือเปล่า”

อุดมส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“รายนั้นน่ะหรือ นอกจากที่พอจะช่วยทำงานการได้บ้าง วันๆ ก็เอาแต่เที่ยวเล่นไปทั่ว แค่ไม่สร้างเรื่องเดือดร้อนมาให้ก็ดีแล้ว”

แกนนำคนหนึ่งในกลุ่มพลันพูดแทรกขึ้น

“เรื่องนั้นไง เรื่องตอนที่เขายังเล็กๆ จำได้ไหม”

“อ้อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ คือข้าวเขียวเป็นเด็กที่พูดได้ช้ากว่าคนอื่นๆ แต่ในตอนที่เขายังพูดไม่ได้นั้น มีอยู่วันหนึ่ง...จู่ๆ เขาก็พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้เป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว จึงทำให้ทุกคนพากันตกอกตกใจ หลังจากนั้นเขาก็กลับมาพูดไม่ได้เหมือนเดิม แต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ หัดพูดได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ผมเองก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย”

มายา เก็บความตื่นเต้นเอาไว้ในใจพร้อมกับถามช้าๆ

“...แล้วตอนนั้นเขาพูดว่าอะไร”

อุดมมองหน้ามายาแปลกๆ เขาคงคิดว่าเธอจะมาสนใจเรื่องแบบนั้นไปทำไมกัน

“...ผม...จำไม่ได้หรอก ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว...แต่พรุ่งนี้เช้าผมจะลองถามแม่ของเขาดู ว่าเธอจะพอจำเรื่องนั้นได้อยู่หรือเปล่า”

มายาปล่อยลมหายใจที่เผลอกลั้นเอาไว้ออกมา ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้เช้าจะยังคงมีบางเรื่องราวที่จะต้องสะสางให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะเร่งออกเดินทางต่อไป

อุดมมีท่าทางอึกอักก่อนที่จะตัดสินใจถามคำถามกับนักมายากลบ้าง เขากลัวว่าคำถามของเขาจะทำให้เธอโกรธจนอาจทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ เพิ่มขึ้นมาอีก

“เอ่อ...ข้าวขวัญ จะต้องไปเป็นนักมายากลจริงๆ หรือครับ”

มายาพยักหน้า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องนำมาถามซ้ำอีก

“เธอจะต้องออกเดินทางไปพร้อมกับฉันในวันพรุ่งนี้ รวมถึงกล้าไพรด้วย เพราะฉันได้รับปากพ่อของเขาไว้แล้วว่าจะต้องช่วยให้เด็กคนนั้นฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง”

'ทั้งรัตติกาล กับข้าวเขียวก็ด้วย แต่เรื่องนั้นคงต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้เสียก่อน' กับรัตติกาลคงไม่มีปัญหาอะไรเพราะแม่ของเขาไม่อยู่แล้ว หากเด็กนั่นตัดสินใจที่จะไปเองก็คงไม่มีใครคัดค้าน สำหรับข้าวเขียวอาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่เธอก็คิดว่าน่าจะจัดการได้

หัวหน้าหมู่บ้านถามขึ้นบ้าง

“เรื่องการหนีภัยสงคราม...พอจะมีคำแนะนำอะไรบ้างไหมครับ”

“...ไปทางเหนือเป็นอย่างไร”

สงครามระหว่างมหาอาณาจักรสุริยันทางทิศตะวันออก กับมหาอาณาจักรวารีทางทิศใต้ คงทำให้เกิดการรบพุ่งไปทั่วบริเวณนี้ มหาอาณาจักรวาตะที่ยังคงสงวนท่าทีจึงน่าจะปลอดภัยที่สุด แต่ก็เฉพาะในช่วงเวลานี้เท่านั้น เพราะหากไม่อาจหยุดยั้งเคออสเอาไว้ได้ สุดท้ายแล้วสงครามก็จะแผ่ขยายไปทั่วจนนำไปสู่จุดสิ้นสุดของยุคสมัย

ความคิดเห็นของมายานี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ทุกคนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย แต่ละคนต่างพากันคิดคำนึงไปถึงเรื่องต่างๆ ที่จะต้องรีบทำในวันพรุ่งนี้ มีงานอีกมากมายรอคอยพวกเขาอยู่ การพร้อมออกเดินทางก่อนที่ไฟสงครามจะลุกลามมาถึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขา

สุดท้ายแล้วทั้งหมดต่างก็แยกย้ายกันไปนอน มายาเลือกที่จะกลับขึ้นไปนอนในรถสินค้าเพื่อหนีห่างจากคนอื่นๆ เธอยังคงสวมใส่เสื้อคลุมแห่งราตรีเอาไว้แม้แต่ในเวลานอนเช่นนี้ และโดยไม่คาดคิดสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ก่อนที่จะหลับไปกลับเป็นรอยยิ้มที่แสนจะยียวนของคนๆ นั้น


Create Date : 17 มิถุนายน 2553
Last Update : 17 มิถุนายน 2553 12:20:39 น. 0 comments
Counter : 499 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.