ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
12 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ เศษเสี้ยวจากอดีต (22)

“ลูกว่าอะไรนะ”

อุดมมองหน้าลูกชาย แต่ท่าทางของเขาดูเหมือนจะไม่ได้แปลกใจสักเท่าใดนัก

“ผม...ผมขอไปกับน้องขวัญด้วยนะครับ”

สองสามีภรรยาหันไปมองนักมายากลที่ยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน เธอยังไม่ได้เปิดปากพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เธอยืนนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง คล้ายกับกำลังใคร่ครวญคำขอนั้น แต่ความจริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่เธอกำลังรอคอยอยู่ และเธอก็มีคำตอบเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

“...ฉันไม่ขัดข้อง”

'ผ่านไปได้หนึ่งล่ะ' ข้าวเขียวพยายามที่จะข่มรอยยิ้มเอาไว้ เขารู้สึกว่าท่าทีของทั้งบิดา กับมารดานั้นดูจะผิดปกติไปจากเดิม ทั้งสองไม่ค่อยจะตกใจเท่าใดนักกับคำขอของเขา มันเหมือนกับว่าทั้งคู่ต่างรับรู้ และได้ขบคิดในเรื่องนี้มาก่อนแล้ว นั่นอาจจะเป็นในตอนที่ทั้งสองได้พูดคุยกับมายาอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะเข้ามาในบ้านก็เป็นได้

“ถ้าอย่างนั้นก็...ตกลง”

คำตอบสั้นๆ จากปากของอุดมทำให้รอยยิ้มผลิบานขึ้นบนใบหน้าของข้าวเขียว แต่แม่ของเขากลับหันไปอีกด้านหนึ่งพร้อมกับเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา และนั่นทำให้รอยยิ้มของเขาหายวับไปด้วยเช่นกัน อุดมพยายามที่จะปลอบใจภรรยา ส่วนพวกเด็กๆ ต่างพากันเงียบทำตัวไม่ถูก

มายาไม่คิดอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยทั้งสิ้น ตอนนี้เป้าหมายของเธอก็บรรลุผลเกือบหมดแล้ว 'เหลือรัตติกาลอีกเพียงคนเดียวเท่านั้น' แต่เธอคาดว่าเด็กคนนั้นคงกำลังรอคอยที่จะขอติดตามเธอไปด้วยเช่นกัน

มายามองภาพความรัก ความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเฉยเมย เธอไม่เคยมีโอกาสรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้มาก่อน และไม่เคยคิดอยากจะรู้ด้วย ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่มีครอบครัว เธอเองก็มีมารดาอยู่คนหนึ่ง แต่มันคงไม่เหมือนกับที่คนทั่วไปเขามีกัน

มายาค่อยๆ ปลีกตัวออกไปนอกบ้าน และที่นั่นเองเธอก็ได้พบกับเป้าหมายสุดท้าย รัตติกาลกำลังยืนใช้มือลูบหัวม้าดำตัวหนึ่งอยู่ พวกมันทั้งคู่ต่างแสดงท่าทางที่นอบน้อมด้วยการก้มหัวลงมาหาเขา 'เหมือนกับเวลาที่อยู่กับวาณิชไม่มีผิด พวกมันก็ให้ความเคารพเขาแบบเดียวกันนี้'

มายาจ้องดูดวงตาของรัตติกาลอีกครั้ง มันเป็นสีเหลืองทั้งสองข้าง และไม่ได้ส่องประกายแปลกๆ ออกมาเหมือนกับเมื่อคืนนี้ 'ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ แสดงว่าในบางโอกาสดวงตาของเขาถึงจะเปลี่ยนสี หรือเปล่งประกายออกมาได้' อาจจะเป็นในช่วงเวลาที่คับขัน หรือในเวลาที่อารมณ์ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง 'ฉันจะต้องค้นหาความจริงในเรื่องนี้ให้ได้'

รัตติกาลหันมาหามายา เขาแบกห่อข้าวของสำหรับการเดินทางมาพร้อม รวมถึงดาบของกล้าณรงค์เล่มนั้นด้วย คำถามแรกของเขาทำให้มายาต้องรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

“คุณวาณิชหายไปไหนครับ ไม่มีใครเห็นเขาอีกเลยตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เขาคงไม่ได้ถูกเจ้าแมงมุมยักษ์นั่น...จัดการไปแล้วหรอกนะครับ”

ความสนใจของรัตติกาลกลับมุ่งไปที่วาณิช 'ใช่แล้ว คงเป็นเพราะเพลงดาบของนิลวายุนั่นเอง เด็กคนนี้อยากที่จะเก่งขึ้น จึงคิดที่จะขอเรียนเพลงดาบจากเขา' มายารีบขบคิดอย่างรวดเร็ว

“เขายังไม่ตายหรอก แต่เขาแยกจากฉันไปแล้ว”

“...ไปไหนหรือครับ”

“ไปตามความฝันของตัวเอง เขาได้ราชาแห่งสายลมคืนไปแล้ว ก็เลยไม่จำเป็นต้องติดตามฉันอีกต่อไป”

รัตติกาลมีท่าทางผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด มายาจึงรีบพูดโน้มน้าวเขาทันที

“เขาเคลื่อนไหวอย่างลึกลับ การติดตามเขาคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ฉันรู้ว่าเราต้องได้เจอกันอีกแน่ เพราะจุดหมายสุดท้ายของเราทั้งสองเป็นสิ่งเดียวกัน”

'เธอคงเข้าใจใช่ไหม หากเดินทางไปกับฉันเธอก็จะมีโอกาสได้พบเจอกับเขานั่นเอง' แม้จะเป็นเพียงหลุมพรางที่มายาคิดขึ้นเพื่อให้รัตติกาลขอร่วมเดินทางไปกับเธอ แต่เธอก็รู้สึกมั่นใจเช่นนั้นจริงๆ ว่าจะต้องได้พบเจอกับนิลวายุอีกในไม่ช้า และเขาจะได้รับรู้ว่าต้องขาดทุนไปมากมายเพียงใดจากคำสัญญากับนักมายากลคนนี้

“ผม...ผมขอไปกับพวกคุณด้วยได้ไหมครับ ผมเป็นห่วงเพื่อนๆ ครับ”

ในที่สุดคำถามที่มายารอคอยอยู่ก็หลุดออกมาจากปากของรัตติกาลจนได้ เธอแกล้งทำเป็นขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า ซึ่งในตอนนั้นเองเขาก็จ้องตรงไปยังใบหน้าของเธอ เขาคิดว่าได้เห็นรอยยิ้มในความมืดภายใต้หมวกคลุมของเธอด้วย มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลย

ข้าวเขียว กับรัตติกาลช่วยกันแบกร่างของกล้าไพรขึ้นไปบนรถสินค้า ความว่างเปล่าที่อยู่ภายในทำให้ข้าวเขียวต้องแปลกใจ เขาจำได้ว่าเมื่อวานนี้มันยังคงมีสินค้าต่างๆ มากมายหลายชนิดอยู่เต็มภายในนี้ และเขาก็นึกได้ว่ามันคงเป็นฝีมือของมายานั่นเอง 'นางคงทำให้ข้าวของทั้งหมดหายไป'

หลังจากนั้นเด็กชายทั้งคู่ก็ช่วยกันขนข้าวของทั้งหมดขึ้นไปเก็บไว้ภายในรถสินค้า ก่อนที่จะกลับลงมาเพื่อทำการกล่าวคำอำลากับบิดามารดาเป็นครั้งสุดท้าย สองพี่น้องสลับกันเข้าไปกอดบิดามารดาพร้อมกับกล่าวคำอำลา ข้าวขวัญ กับมาดาของเธอนั้นถึงกับร้องไห้เบาๆ ไปด้วยตลอดเวลา

หัวหน้าหมู่บ้าน กับเหล่ากรรมการต่างก็มารวมตัวกันเพื่อรอส่งนักมายากล พวกเขายังคงมีงานต่างๆ ที่ต้องทำอีกมาก แต่การส่งนักมายากลออกจากหมู่บ้านนั้นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

หัวหน้าหมู่บ้านเดินเข้ามาหารัตติกาลที่แยกตัวออกมายืนรออยู่เพียงลำพัง พร้อมกับถามขึ้นเบาๆ

“เธอคิดดีแล้วหรือ”

ขณะที่ถามหัวหน้าหมู่บ้านก็เหลือบมองไปยังนักมายากลที่กำลังยืนรออยู่ข้างๆ รถสินค้าไปด้วย เมื่อไม่มีมารดาคอยดูแลแล้ว มันก็ถือเป็นหน้าที่ของเขา ความจริงแล้วรัตติกาลนั้นยังไม่โตพอที่จะปล่อยให้ตัดสินใจในเรื่องแบบนี้ได้เอง หากไม่มีมายาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาคงจะคัดค้านไปแล้ว แต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้จึงต้องออกปากถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง

“ครับ ผมตัดสินใจแล้ว”

แววตาที่เด็ดเดี่ยวของรัตติกาลทำให้หัวหน้าหมู่บ้านไม่ถามอะไรต่อไปอีก เขาเพียงแค่กล่าวคำอวยพรขอให้การเดินทางปลอดภัยราบรื่น สุดท้ายเขาก็กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า

“ถ้าบังเอิญพวกเราได้พบเจอกับ...แม่ของเธอในระหว่างทาง เราจะขอให้นางเดินทางไปกับพวกเราด้วย ดังนั้นก็อย่าลืมแวะกลับไปหาพวกเราที่มหาอาณาจักรวาตะด้วยก็แล้วกัน”

เด็กๆ ทั้งสามคนทยอยเข้าไปในรถสินค้า มายาขึ้นนั่งประจำในตำแหน่งคนขับภายใต้รูปของจันทร์เต็มดวง ม้าคำทั้งคู่ค่อยๆ เหยาะย่างก่อนที่จะเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสุดท้ายที่ทุกคนได้เห็นคือภาพของเมืองอันแปลกประหลาดที่ถูกวาดอยู่เต็มท้ายรถ มันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยหอคอยสูงจำนวนมากมายที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน

#####

“ท่านนายกอง หน่วยลาดตระเวนตรวจพบกองกำลังของวารีครับ”

“เท่าไร”

“เป็นทหารราบประมาณสองร้อยนาย กับทหารม้ายี่สิบม้าครับ”

'น้อยกว่าของเราไม่มากนัก' นายกองแสงชัยขบคิด พร้อมกับมองดูเหล่าทหารหาญภายในหน่วยของเขา ทั้งหมดต่างอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำแบบเดียวกัน และได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับทหารของมหาอาณาจักรวารีที่ส่วนใหญ่จะเป็นการรวมตัวกันของชาวบ้านจากในแต่ละพื้นที่เท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้นหากคิดจะเข้าตีซึ่งๆ หน้าอย่างน้อยก็ต้องมีจำนวนมากกว่าฝ่ายตรงข้ามสักสองถึงสามเท่า หากมีกำลังสูสีกันเช่นนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความเสียหายอย่างหนักที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อตำแหน่งหน้าที่ในกองทัพของเขา

“ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นพวกเราหรือยัง”

“คาดว่ายังครับ”

นายกองแสงชัยยกมือขึ้นลูบคางอย่างลืมตัว 'ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะพอวางกับดักได้' การสร้างผลงานที่โดดเด่นจากการรบในครั้งนี้จะทำให้เขาได้พบกับความก้าวหน้า การเสี่ยงเพื่อให้ได้รับชัยชนะอย่างงดงามจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เขารีบทบทวนสภาพพื้นที่โดยรอบเพื่อคิดแผนทันที

#####

“ท่านหัวหน้า หน่วยลาดตระเวนตรวจพบกองกำลังของสุริยันครับ”

“มีจำนวนเท่าไร”

“ทหารราบประมาณหนึ่งร้อยนายครับ”

“พวกมันอยู่แถวไหน”

“ที่ราบชายป่าทางทิศเหนือ ดูเหมือนกำลังเตรียมหยุดพักแรมกันครับ”

หัวหน้าน้ำเชี่ยวอมยิ้มนี่นับเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้สั่งสอนพวกทหารของมหาอาณาจักรสุริยัน พวกนั้นมักชอบคิดว่าตัวเองมีกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกเหล่านั้นยังไม่เคยได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของธนูสายฝน อาวุธที่ชาวบ้านทุกคนในแถบนี้ต่างต้องฝึกฝนการยิงมาตั้งแต่เด็กๆ กองธนูที่ประกอบด้วยชาวบ้านอย่างพวกเขา คือกำลังสำคัญของมหาอาณาจักรวารี

“รีบเตรียมกองธนูของเราให้พร้อม เราจะเข้าโจมตีก่อนค่ำวันนี้”

#####

นายกองแสงชัยซุ่มซ่อนกองกำลังส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในชายป่า แผนของเขาคือปล่อยให้ทหารของมหาอาณาจักรวารีที่คิดว่ามีกำลังมากกว่ายกเข้าตีหน่วยล่อที่เขาจัดวางเอาไว้ หากเป็นไปได้เขาคงใช้เหยื่อให้น้อยกว่านี้ แต่หากน้อยเกินไปก็อาจทำให้ข้าศึกไหวตัวทันเสียก่อน

ในที่ราบเช่นนี้ทหารม้าย่อมสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว ดังนั้นนายกองแสงชัยจึงคาดว่าศัตรูจะใช้ทหารม้าทั้งหมดเข้าจู่โจมก่อกวนด้วยความรวดเร็ว แล้วจึงค่อยตามด้วยทหารราบที่เหลือ

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงทหารม้าเหล่านั้นก็จะได้พบกับหลาวดักม้าหลายสิบอันที่หน่วยล่อได้ซุกซ่อนเอาไว้ ไม้ยาวเหลาแหลมที่จะถูกยกขึ้นยันกับพื้นด้วยความสูงที่พอเหมาะ ม้าที่วิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วจะไม่อาจหลบหรือกระโดดข้ามได้โดยง่าย และนั่นจะหมายถึงจุดจบของเหล่าทหารม้า

หลังจากนั้นกองกำลังที่ซ่อนอยู่ของเขาก็จะออกตีทหารราบที่กำลังระส่ำระส่ายจากการแตกพ่ายของทหารม้า โดยหน่วยล่อนั้นก็จะทำการตีกระหนาบเข้ามาด้วย หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ข้าศึกจะต้องแตกพ่ายอย่างยับเยิน

กองกำลังของข้าศึกเคลื่อนตัวเข้ามาตามทิศทางที่นายกองแสงชัยคาดเอาไว้ แต่สิ่งที่อยู่ในมือของคนเหล่านั้นทำเอาเขาต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา 'นั่นมันอะไรกัน' เขารู้ดีว่ามันเป็นคันธนู แต่เขาไม่เคยเห็นธนูที่มีรูปร่างแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต พวกเหล่านี้ไม่ใช่ทหารราบ กลุ่มคนไร้เครื่องแบบพวกนี้เป็นพลธนูกองหนึ่ง และที่สำคัญทหารม้าของศัตรูก็ไม่ได้พุ่งจู่โจมออกไปอย่างที่เขาคิดเอาไว้

พวกทหารของข้าศึกเริ่มปักปลายของคันธนูที่มีความยาวกว่าปกติเกือบสองเท่าเหล่านั้นลงบนพื้น ปลายของพวกมันถูกทำให้แหลมอย่างตั้งใจ เพื่อให้สามารถใช้งานแบบนี้โดยเฉพาะ ลูกธนูยาวถูกวางขึ้นพาดสาย พลธนูทุกคนต่างโน้มตัวมาทางด้านหลังเพื่อใช้น้ำหนักตัวทั้งหมดในการโก่งคันธนูใหญ่นั้น

นายกองแสงชัยมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความรู้สึกสยดสยอง พลธนูเหล่านี้ต่างคุ้นเคยกับอาวุธประหลาดของพวกเขา แสดงให้เห็นว่าได้ผ่านการฝึกยิงพวกมันมาจนเกิดเป็นความชำนาญ ด้วยวิธีการยิงที่ไม่เหมือนใคร บวกกับธนูที่ถูกออกแบบมาอย่างแปลกประหลาด กลายเป็นส่วนผสมที่น่ากลัวขึ้นมา

'ยังอยู่ห่างจากระยะยิงของธนูปกติเกือบสองเท่า อย่าบอกนะว่า' ลูกธนูที่พุ่งลงมาเต็มท้องฟ้าเข้าใส่กองทหารที่ไม่ทันตั้งตัว ย่อมหมายถึงความพินาศอย่างไม่ต้องสงสัย นายกองแสงชัยต้องรีบตัดสินใจทันที แผนของเขาผิดพลาดไปแล้ว แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เขายังหวังว่าอาจจะพอรักษาชีวิตของเหล่าทหารในหน่วยล่อเอาไว้ได้บ้าง

“โจมตี”

นายกองแสงชัยตะโกนออกคำสั่ง ถึงแม้มันจะไม่เป็นไปตามแผนที่ได้ตกลงกันเอาไว้ แต่เหล่าทหารต่างตอบสนองต่อคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงโห่ร้องกึกก้องดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง กองทหารนับร้อยที่พุ่งทะยานออกมาจากตำแหน่งที่คาดไม่ถึงสร้างความระส่ำระสายให้เกิดขึ้นในกองกำลังของข้าศึกได้ในทันที

การตัดสินใจของนายกองแสงชัยนั้นยังคงชักช้าไปวูบหนึ่ง ลูกธนูชุดแรกได้ถูกยิงออกไปแล้ว พวกมันพากันโบยบินสูงขึ้นไปก่อนที่จะวาดตัวเป็นวงโค้งบนท้องฟ้า เมื่อเหล่าทหารที่อยู่ในหน่วยล่อเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย สิ่งที่พวกเขาได้พบเห็นก็คือสายฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นความตาย

นี่เป็นครั้งแรกที่ธนูสายฝนได้สำแดงอานุภาพอันร้ายกาจของมันออกมาในสนามรบ ทหารในหน่วยล่อเกือบครึ่งหนึ่งถูกลูกธนูเสียชีวิตในทันที และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก

ทหารราบหนึ่งร้อยห้าสิบนาย กับทหารม้าอีกสามสิบม้าภายใต้การนำของนายกองสุริยันพุ่งเข้าใส่ พลธนูสองร้อยนาย กับทหารม้ายี่สิบม้าภายใต้การนำของหัวหน้าน้ำเชี่ยวอย่างไม่ทันตั้งตัว ภายใต้การรบในระยะประชิดเช่นนี้ธนูสายฝนก็ไม่อาจใช้งานได้อีก โดยไม่ต้องรอคำสั่งเหล่าพลธนูต่างรีบเก็บคันธนูพร้อมกับชักดาบออกมาแทน

นายกองสุริยันฉวยโอกาสจากการบุกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้น ทำให้หัวหน้าน้ำเชี่ยวต้องสูญเสียกำลังพลไปพอสมควร การรบตามแบบแผนของมหาอาณาจักรสุริยันสามารถแสดงศักยภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ความสามารถเฉพาะตัวในการต่อสู้ของทหารชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน สุดท้ายแล้วสภาพการรบก็กลับกลายเป็นอย่างที่นายกองสุริยันไม่ต้องการเห็นมาตั้งแต่ต้น

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเวลาพลบค่ำ แสงสว่างกำลังค่อยๆ หมดไปแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงไม่ยอมเลิกรา เสียงร่ำร้อง เสียงอาวุธปะทะกันเริ่มเบาบางลงแต่ก็ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง กลิ่นคาวโลหิตที่โชยไปในสายลมกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

กองกำลังที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบคนจากทั้งสองฝ่ายต่างมาถึงขีดจำกัดของตน การต่อสู้กำลังจะสิ้นสุดลงพร้อมกับความเสียหายอย่างยับเยินของทั้งสองฝ่าย ไม่มีฝ่ายใดที่จะอ้างได้ว่าตนเองได้รับชัยชนะ นั่นคือผลสรุปจากการต่อสู้โดยส่วนใหญ่ที่เหล่านายพลมักแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นอยู่เสมอ

เงาดำแปลกประหลาดค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าล้อมรอบสมรภูมิแห่งนี้อย่างช้าๆ คล้ายกับว่าพวกมันติดตามกลิ่นคาวเลือดมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เสียงการปะทะกันของอาวุธได้ยุติลง ในที่สุดเหล่าบรรดาทหารที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นร่วมกัน พวกเขากำลังจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริงเป็นครั้งแรก

ทุกคนที่ยังคงรอดชีวิตอยู่ต่างร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้กับกองทัพเงาของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรี ไม่มีความแตกต่างใดๆ หลงเหลืออยู่อีก ไม่มีอาณาจักร ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ ทั้งหมดต่างมีเพียงชีวิตที่เท่าเทียมกัน นายกองสุริยันหันหลังชนกันกับหัวหน้าน้ำเชี่ยว พวกเขาทั้งสองต่างต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันจนถึงวาระสุดท้าย

เมื่อยามเช้ามาเยือน แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ได้เผยให้เห็นถึงภาพอันน่าสยดสยองของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีผู้ใดรอดชีวิต และไม่มีร่างของผู้ใดที่เหลืออยู่ครบสมบูรณ์เลยแม้แต่ร่างเดียว การรบในครั้งนี้ถูกเรียกขานเป็น 'การเข่นฆ่าอันน่าสยดสยอง ณ ชายป่า' ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างนำไปใช้ในการกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่ามีการกระทำที่ไม่อาจยอมรับได้

ไม่มีใครรู้ถึงการกระทำอันสุดแสนเหี้ยมโหดของกองทัพลึกลับ ที่มีเงาของแมงมุมร้ายแอบซ่อนคอยชักใยอยู่ทางเบื้องหลัง การปะทะกันในครั้งนั้นเปรียบเสมือนกับประกายไฟที่จุดชนวนการต่อสู้ระหว่างมหาอาณาจักรสุริยัน กับมหาอาณาจักรวารีขึ้นอย่างเป็นทางการ

มายากับพวกเด็กๆ ก็ได้ออกเดินทางไปในท่ามกลางการประทุขึ้นของเปลวไฟแห่งสงครามนั่นเอง




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2553
1 comments
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 8:17:24 น.
Counter : 520 Pageviews.

 

โห...สุดยอดอ่ะ

พลิกผันไปจากที่เราคิดเลยนะเนี่ยยยยย

 

โดย: (ขพจ.) (บ้านที่ไม่มีอะไร ) 12 กรกฎาคม 2553 18:31:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.