Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
25 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
ฝันโคตรโคตร : จุดจบคือการเริ่มต้น – การเริ่มต้นคือจุดจบ



ตีพิมพ์ใน นิตยสาร Filmax ตุลาคม 2552 ในชื่อ ยัติภังค์(แก้ไขแล้ว)

หากจะกล่าวถึง ฝันโคตรโคตร โดยไม่อ้างอิงชีวิตส่วนตัวของผู้กำกับ ภูพิงค์ พังสอาด หรือ พิง ลำพระเพลิง บวกรวมกับผลงานการกำกับสองเรื่องก่อนหน้าของเขาคงเป็นเรื่องลำบากเอาการ (อย่างไรก็ดีการชมภาพยนตร์เรื่องนี้โดยไม่เคยผ่านการชมงานก่อนหน้าของเขามาก่อนก็ย่อมจะได้อรรถรสอีกแบบหนึ่ง)

พิง ลำพระเพลิง เคยผ่านงานทั้งช่างศิลป์, นักเขียน, นักแสดง, นักพูด, พิธีกร, คนเขียนบทและผู้กำกับละครโทรทัศน์ ก่อนจะมาได้มีโอกาสเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่เขียนบทเองดังที่เขาวาดฝันไว้ร่วม 15 ปี เขาเคยเปิดเผยอยู่บ่อยๆ ว่าตนเองอยากเป็น ‘คนดัง’ ซึ่งก็เป้นความใฝ่ฝันของศิลปินอีกหลายคน อันเป็นปัจจัยบ่งชี้ความสำเร็จประการหนึ่ง

อย่างไรก็ตามสำหรับผม และอีกหลายคน ตัวเขาได้เป็นที่รู้จักในกับสาธารณชนจริงๆ จากการออกรายการโทรทัศน์ ‘เจาะใจ’ ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อปี พ.ศ.2544 เปิดเผยถึงความโศกเศร้าในชีวิตที่ต้องสูญเสียภรรยาไปเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยไม่มีโอกาสบอกความรู้สึกอีกหลายอย่าง นับเป็นตลกร้ายซึ่งมักเกิดขึ้นในชีวิตจริงที่หลังจากนั้นตัวเขาประสบความสำเร็จก้าวหน้า มีงานไม่ขาดสาย และสถานภาพ ‘คนดัง’ ก็มากขึ้นกว่าเดิม ราวกับของอย่างหนึ่งต้องแลกกับการสูญเสียอีกสิ่งหนึ่งก็ไม่ปาน

ใน โคตรรักเอ็งเลย(2549) เป็นชีวิตของ รงค์ นักเขียนบทที่วันหนึ่งเขาพบว่าภรรยาได้หมดรัก เช่นเดียวกับตัวเขาที่การครองคู่ชีวิตสมรสไร้ความสุขตามวันเวลา จนภายหลังพวกเขามีปากเสียงกัน ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุ และเรื่องราวที่คาดไม่ถึง

งานชิ้นที่สอง คนหิ้วหัว(2550) เล่าถึงพ่อผู้ไม่เอาไหน แต่ด้วยความรักลูกเขาจึงบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะหาเงินค่าเทอมมาให้ได้ จนแม้ตัวตายชนิดหัวหายก็ยังต้องหาคนมาช่วยให้ศรัทธาของเขานั้นสำเร็จลุล่วง

จากการเทียบเคียงกับชีวิตจริงของ พิง ลำพระเพลิง อาจกล่าวได้ว่าหนังสองเรื่องแรกนอกจากเป็นการอุทิศให้กับภรรยาที่เสียชีวิต และภาระการเลี้ยงดูบุตรชายคนเดียว ตามลำดับ มันยังห่อหุ้มไว้ด้วยประเด็นสำคัญอย่าง ความรัก ความศรัทธา ความฝัน และความเชื่อ ดังที่ตัวเขาเองได้เปิดเผยไว้ ผ่านการถ่ายทอดอันลักลั่น เนื้อเรื่องที่เหมือนๆ จะซ้ำซากแต่ก็หาทางสร้างความซับซ้อนยอกย้อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะปิดด้วยการเร้าอารมณ์อย่างซาบซึ้งฟูมฟาย ขณะเดียวกันตัวหนังยังอบอวลด้วยอารมณ์ขันเฉพาะตัวที่บางคนอาจขำ แต่บางคนอาจส่ายหน้า

พิจารณาจากหนังทั้งสามเรื่องแล้ว เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งสี่อย่างในชีวิตนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น แต่หากพอจะเทียบได้ว่า โคตรรักเอ็งเลย มีเรื่องความรัก และ คนหิ้วหัว มีเรื่องความศรัทธาในปริมาณหลักแล้ว ใน ฝันโคตรโคตร ก็อัดแน่นด้วยปริมาณเรื่องความฝัน ผ่านตัวเอกผู้ที่เลือกจะดำรงมันไว้เฉพาะในยามหลับไม่ใช่ความจริง และครั้งนี้มันเป็นหนังที่อุทิศให้กับตัวเขาเอง

หนังเล่าเรื่องของ ไอ้ด่าง(แสดงโดย พิง ลำพระเพลิง เอง อย่างไรก็ตามตัวหนังแสดงให้เราเห็นเขามีชื่อ-สกุลว่า ภูพิงค์ พังสอาด ไม่ต่างจากในชีวิตจริง) นักแสดงข้างถนนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ภายหลังจากที่ภรรยาได้เสียชีวิต วันหนึ่งเขาได้รู้จักกับ เปิ้ล(ภาวิณี วิริยะชัยกิจ) ดาราชื่อดังซึ่งมาติดตามชีวิต และตกหลุมรัก พร้อมๆ กับพบเรื่องประหลาดที่ว่าในห้วงนิทราเขาและเธอมีความฝันเรื่องเดียวกัน และมันยังส่งผลซ้อนทับในโลกความเป็นจริง

ชื่อตัวละครเป็นสิ่งที่ผู้กำกับและเขียนบทคนนี้ให้ความสำคัญมาตั้งแต่ โคตรรักเอ็งเลย ดังที่ชื่อเรื่องดั้งเดิมของมันคือ รัก รงค์ แดง อันเป็นการเทียบเสียงกับคำว่า ‘รักลงแดง’ หากคราวนี้ชื่อตัวละครหลักของเรื่อง คือ “ไอ้ด่าง”นั้นตลอดทั้งเรื่องเราแทบไม่เห็นการเอ่ยถึงชื่อชายคนนี้ แต่เป็นชื่อที่อ้างอิงในเรื่องย่อของภาพยนตร์ และสิ่งที่พอจะเทียบเคียงได้กับชื่อดังกล่าวปรากฎเพียงสุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยนในความฝันของเขา จากลักษณะจุดด่างดำตามตัวของมัน

กลวิธีดังกล่าวเป็นกลวิธีสำคัญของเรื่อง มันคือการทำลายเส้นบางๆ ระหว่างความจริงและความฝัน จากเริ่มต้นที่หนังเหมือนจะพยายามแยกมันออกจากกันด้วยความตื่น-หลับ เส้นแบ่งดังกล่าวก็ค่อยๆ พังทลายจนเราแยกไม่ออกอีกต่อไป

ใน โคตรรักเอ็งเลย ความตายของภรรยาในชีวิตจริงคือ คุณชฎาพร พังสอาด ถูกนำไปใช้กับเนื้อเรื่อง เช่นเดียวกับตัวละครที่แสดงโดย พิง ลำพระเพลิง เองก็ปรากฎเพียงในความฝันเท่านั้น แต่สำหรับใน ฝันโคตรโคตร ภาพถ่ายของภรรยาในชีวิตจริงของเขาได้กลายเป็นส่วนสำคัญตั้งแต่เปิดเรื่องกันเลยทีเดียว ไม่ต่างกับหนังสองเรื่องแรกที่ได้กลายเป็นอีกเครื่องมือในการเปิดเผยตัวตน ทั้งการใส่เพลงประกอบจากเรื่องเดิม(คิดถึงคนบนฟ้า และ ความรักทำให้คนหัวขาด) ฉาก -อุปกรณ์ประกอบฉาก และลูกเล่นซ้ำๆ ทั้ง บ้าน, โซฟา, เปียโน, ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตจริง , ไปจนฉากห้องส้วม, การหางาน หรือเพลง Happy Birth Day

สภาวะหนึ่งที่เกิดจากตัวละครนี้นอกเหนือจากความฝัน ยังรวมถึงอาการเดจาวู หรือการเห็นนิมิตภาพที่ราวกับเคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยตัวคุณพิงได้นำวัตถุอีกอย่างมาหยิบใส่ นั่นคือบันทึกภาพเคลื่อนไหวจากเหตุการณ์จริงอย่างงานเปิดตัว และการจัดฉายภาพยนตร์รอบสื่อมวลชนสองเรื่องก่อนหน้าอย่าง โคตรรักเอ็งเลย และ คนหิ้วหัว มาใส่เป็นนิมิตภาพดังกล่าว ซึ่งชวนให้นึกถึงเทคนิคแบบเดียวกันอย่างในหนังเรื่อง The Queen(2006) หรือ Frost/Nixon(2008) แต่ผิดกันตรงที่ พิง ลำพระเพลิง อาจไม่ใช่ผู้ที่คนทั่วไปคุ้นเคยเช่นเดียวกับ เจ้าหญิงไดอาน่า หรือ ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน จุดประสงค์ของมันจึงถูกเปลี่ยนจากการสร้างความน่าเชื่อถือ หากเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือระหว่างกรอบโลกในหนังและโลกที่มีอยู่

แล้วอะไรล่ะคือความจริงบ้าง ? ความจริงนั้นอาจมีเพียงแค่ว่า ไอ้ด่าง เชื่อลมๆ แล้งๆ ว่าเงินที่เขาเคยอุปการะเลี้ยงดูเด็กสาวคนหนึ่งผ่านมูลนิธิศุภนิมิตฯ ให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น จนกลายเป็นดาราซึ่งมาผลักดันให้กับตนเองอีกที หรืออธิบายเป็นนามธรรมก็คือ ชายคนนี้ได้พบความหวังที่เคยคิดว่าไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ จากสิ่งที่เขาเคยหยิบยื่นให้ผู้อื่นนั่นเอง ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นจินตนาการที่นำเอาความจริงมาเชื่อมร้อยสร้างความหมายใหม่ หนังจึงจงใจเปิดเรื่องโดยคำพูดของ ไอ้ด่าง และเปิ้ล ในร้านนาฬิกาที่มีทัศนคติต่างกันในแง่มุมของความรัก รวมไปถึงการใช้สัญลักษณ์เกี่ยวกับ เวลา มาเล่น ไม่ว่าจะเป็น หนูถีบจักร หรือนาฬิกาทรายที่หยุดเดิน มาเปรียบเทียบกับความฝันของไอ้ด่าง ส่วน เปิ้ล ผู้ที่ตามตื๊อเขาอยู่ตลอด คือตัวตนอีกฟากด้านที่คอยบอกให้เขาเดินหน้าอีกครั้ง ทั้งจากการบอกแบบอ้อมๆ ในยามตื่น และบอกแบบตรงๆ ในยามหลับ

เหมือนเป็นความหลงตัวเองเอาการที่ในฝันเขามีผู้หญิงสวยๆ น่ารักเป็นดาราดังมาพะเน้าพะนอ ออดอ้อนอยู่ตลอด อาศัยในบ้านสมัยใหม่ครบครันสิ่งอำนวยความสะดวก ซ้ำยังประสบความสำเร็จนักข่าวให้ความสนใจแบบคนดังร่วมสมัย มีผู้หญิงคนอื่นมาเสนอตัวให้ ความจริงแม้ไอ้ด่างจะตกอับเป็นขี้แพ้แค่ไหน คนดูก็ได้เห็นเขาปล่อยของเป็นคนหน้าขาว แสดงละครใบ้ เดี่ยวเปียโนราวกับเป็น ชาร์ลี แชปลิน ก็ไม่ปาน(ผิดที่ว่าเขายังโชว์หุ่นฟิต และกล้ามท้องอีกด้วย) แต่มองกลับกันหากเขาเลือกจะมองค้นให้ถึงก้นบึ้งของตัวตนมากที่สุด ภาพที่เกิดขึ้นก็คือด้านมืด หรือตัณหาที่ผู้ชายแทบจะทุกคนปรารถนาไม่ใช่หรือ ?

คำถามคือนอกเหนือจากการดู “พิง ลำพระเพลิง โชว์” ครั้งนี้เราได้อะไรนอกจากความหมกมุ่นกับชีวิตในอดีตของชายคนหนึ่งจนร่ำๆ ว่ามันจะกลายเป็นหนังส่วนตัว(Private Film) อยู่แล้วนั้น

เทียบกับหนังที่เล่นกับความฝันและสภาวะความทรงจำด้วยกัน ฝันโคตรโคตร อาจไม่ได้ไปไกลในระดับเดียวกับหนังอย่าง Eternal Sunshine of The Spotless Mind(2004) ซึ่งเหนือกว่าทั้งชั้นเชิง หรือการตั้งคำถามถึงความมีอยู่ของตัวตนที่แท้ของมนุษย์ ขณะที่ผลงานชิ้นนี้อาจจบเพียงคล้ายกับชื่อภาษาอังกฤษชื่อหนึ่งของหนังว่า The Begin ซึ่งหมายถึงการเริมต้นความหวังใหม่อีกครั้งของคนๆ หนึ่ง

ในหนังจบลงคล้ายชีวิตจริงบางส่วน ไอ้ด่าง ได้ลงมือเขียนบทหนังจนสำเร็จ และมันก็ผ่านการอนุมัติจากผู้สร้างภาพยนตร์แบบง่ายดาย ไร้อุปสรรค(ราวกับความฝัน ?) เหมือนๆ กับที่เราเห็นสุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยนปรากำแต้มสีอื่นๆ แซมแทนสีดำด่าง อาจบอกเป็นนัยๆ ว่าการค้นลึกไปยังตัวตนเช่นนี้ เป็นเสมือนการบำบัดชีวิตของเขาให้ก้าวเดินต่ออีกครั้ง

ฉากที่ตอกย้ำความรู้สึกดังกล่าวได้ดียิ่งกว่าคือเมื่อ ไอ้ด่าง ได้เดินเข้าไปยังบ้านที่เขาเคยเห็นในความฝัน ระหว่างทางเดินเขาพบรูปของตนเองติดผนังแบบหมิ่นเหม่จะหลุดมิหลุดแหล่บนผนังโล่งว่างเพียงรูปเดียวลำพัง

แต่เมื่อดึงที่เปิดตรงผนังออก มันกลายเป็นห้องเก็บของซึ่งเก็บภาพถ่ายของเขาเอาไว้จนเต็มแน่น

ถ้า ไอ้ด่าง, เปิ้ล และ พิง ลำพระเพลิง คือคนๆ เดียวกัน ฉากดังกล่าวคงบอกได้อย่างดีว่า รักที่มีค่าไม่แพ้กับความรักที่เรามอบให้ใคร หรือใครหยิบยื่นให้เราคือ การรักตัวเอง และคุณจะเริ่มต้นหรือจบมัน

ก็อยู่ที่ตัวคุณเอง


Create Date : 25 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2552 9:19:23 น. 17 comments
Counter : 3796 Pageviews.

 
ดูแล้วก้องง มากอ่านก้อยังงง รู้แต่ว่าซึ้งมากเลยค่ะ หนังเรื่องนี้


โดย: บางส้มเปรี้ยว วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:58:55 น.  

 
^
^
ขออภัยในการเขียนที่ยังงงๆ ครับ

แต่ถ้าดูแล้วซึ้งได้นี่ ก็น่าจะเข้าใจเรื่องบ้างนะผมว่า เพราะเห็นคนที่ไปดูแล้วไม่ชอบ ก็จะไม่อินตามหนัง


โดย: yuttipung วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:38:33 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: พิง ลำพระเพลิง IP: 58.64.85.109 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:43:57 น.  

 
^
^
เฮ้ย ตัวจริงป่ะเนี่ย

แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่รับไม่ได้กับการที่คุณพิงเล่นเป็นพระเอกเองอ้ะครับ ดังนั้นคงไม่ดู (รู้ว่าอคติ แต่มันทำใจไม่ได้จริงๆ)

แต่คุณยัติภังค์เขียนดีเหมือนเคยครับ ขอชม


โดย: แฟนผมฯ IP: 142.103.23.32, 202.134.119.218 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:28:59 น.  

 
^
^
^
ไม่ทราบว่าตัวจริงไม่จริง แต่ก็ขอบคุณไว้ก่อนครับ

ส่วนตัวผมเองเป็นคนที่นิสัยตรงข้ามครับ ผมเป็นคนที่เอียนง่ายกับพระเอกหน้าตาหล่อๆ แต่ถ้ายิ่งพระเอกหน้าตาเกินจะรับ กับนางเอกหน้าตางามๆ นี่จะชอบดูเป็นอย่างยิ่ง 555


โดย: yuttipung วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:48:47 น.  

 
ว้าว พี่พิงมาเจิมด้วยเหรอเนี้ย (ตัวจริงเปล่านะ ^-^)


โดย: ole IP: 115.67.230.219 วันที่: 1 ธันวาคม 2552 เวลา:20:39:40 น.  

 
ครับ ตามอ่านงานคุณหลายที่ มีเห็นด้วยบ้าง เห็นค้านบ้าง
แต่พอเห็นชื่อนี้ ก็อดอ่านไม่ได้ซักครั้ง ต่างคนต่างคิดเน๊อะ
พิง
//lumprapleng.hi5.com


โดย: พิง ลำพระเพลิง IP: 58.64.87.35 วันที่: 1 ธันวาคม 2552 เวลา:21:41:04 น.  

 
ยังไงก็ขอบคุณที่ตามอ่านนะครับ


โดย: yuttipung IP: 125.24.109.46 วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:8:15:22 น.  

 
เอาที่เขียนลงในสารคดี เีรื่อง Julie & Julia มาลงบล็อกสิ
อยากอ่าน


โดย: grappa วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:22:19:45 น.  

 
^
^
เกรงว่าคงยังไม่ได้ครับ ขออภัยพี่แป๊ดมา ณ ที่นี้


โดย: yuttipung IP: 125.24.105.212 วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:11:48:26 น.  

 
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกหรือป่าวคับ
เรื่องของหนังตามลำดับเวลาคือ เด็กหญิงได้รับการอุปการะจากพิง พอโตขึ้นเด็กหญิงคนนั้นได้เป็นดาราดัง และหลงรักพิงจึงตามไปทุกที่ที่พิงไป ส่วนพิงก็เป็นชายวันกลางคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เลี้ยงชีวิตไปวันๆ แต่ก็ยังช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสอยู่ (จากงานที่ไปโชว์ตัวหาทุนเด็กกำพร้า)

วัน นึงพิงก็ไปร้านขายนาฬิกาเก่า แล้วซื้อนาฬิกาทรายมาอันนึง แล้วนาฬิกาก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น โดยพิงเมื่อหลับจะฝันถึงอนาคตและนางเอกจะฝันถึงอดีต (ดังนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดคือเรื่องจริงของพิงและนางเอก แต่การพบกันของพิงและนางเอกจากตอนนี้ถึงตอนจบเป็นความฝันและความจริง ความจริงของพิงคือชายหนุ่มไร้อนาคตเมื่อนางเอกมาโผล่มาคือนางเอกฝันถึงอดีต เมื่อพิงเป็นชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จ นั้นคือปัจจุบันของนางเอก แต่เป็นฝันอดึตของพิง)

ธีมของเรื่องจะดำเนินไปเรื่อย ทั้งเรื่องที่พิงซื้อลูกหมาดัมเมเชี่ยนให้นางเอก ตุ๊กตายางที่เมียเก่าพิงเป่าลมไว้ก่อนตาย พิงโดนยึดบ้าน ตุ๊กตาลมถูกปล่อยลมออก พิงท้านางเอกว่ากล้าออกจากวงการไม๊ จนสุดท้ายแล้ว พิงเห็นบทภาพยนตร์โคตรรักเอ็งเลย วางอยู่ในห้องอนาคต และมีการสัมภาษณ์พิงเกี่ยวกับงานชิ้นใหม่ ปรัชญามาให้สัมภาษณ์ ก่อนที่บทจะถูกเผาเนื่องจากไม่มีใครให้งบสร้าง พิงจึงเอามาเสนอให้ปรัชญา และปรัชญาตกลงดีลงานกับพิง แต่นาฬิกาแตกแล้ว จึงไม่มีการฝันอีก พิงจึงตัดสินใจไปหานางเอกที่แถลงข่าวออกจากวงการแล้ว และเข้าไปในห้องน้ำ นางเอกได้มาบอกรักพิง และพิงเดินออกมา ปัจจุบันกับอนาคตจึงมาเชื่อมกันหลังจากพิงก้าวออกมา

ถ้าถูกต้องผมยังงงกับตอนที่นางเองมาโชวแผลที่ขาแล้วไปแทงขาพิงจุดนั้นมานเป็นอดีตของนางเองใช่หรือป่าวถ้าใช่แล้วทำไมนางเองมีแผลได้อ่าคับงงอย่างแรง


โดย: ปลา IP: 207.38.211.101 วันที่: 26 ธันวาคม 2552 เวลา:15:58:19 น.  

 
ขอตอบนะครับ (ขออภัยที่ตอบช้า)

ผมคิดว่าหนังไม่ได้มีเจตนาทำให้คนดูเข้าใจตรงกันทุกคนในหลายจุดครับ คืออยากจะลำดับเรื่องราวอย่างที่คุณปลาเขียนมาก็ไ้ด้ หรืออยากจะคิดแค่ว่ามันเป็นแค่ความฝันของชายคนหนึ่งก็ได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คนสองคนไปอยู่ในฝันของกันและกันก็ได้ การไม่ลำดับเรื่องแบบ 1-2-3 ในหนัง มันเหมือนเป็นการสร้าง "ก้อนความทรงจำ" ครับ เพราะมนุษย์เราเวลาหมกมุ่นกับความคิด หรือทบทวนความทรงจำบางอย่าง ลองสังเกตดูนะครับว่ามันมาไม่ได้เป็นลำดับเวลาให้เราหรอก

ฉากนางเอกแทงขาพิง น่าจะเป็นฉากที่แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่ไม่ได้แค่ฝัน เพราะความฝันมันสัมพันธ์กับความจริงครับ ดูเหมือนฉากนี้ไม่มีอะไรมาก แต่ก็สัมพันธ์กันดีกับเรื่องที่ต้องการจะบอกว่าความฝันมีผลสัมพันธ์กับความจริง

เรื่องของธีม น่าจะใช้ผิดนะครับ ปรกติธีมในภาษาภาพยนตร์จะใช้เกี่ยวกับสาระสำคัญ(สำหรับบทภาพยนตร์) หรือในด้านงานสร้างจะใช้เรียกโทนรวมของหนัง หนังเรื่องนี้สิ่งที่คุณปลาเขียนมาเป็นการใช้เปรียบเทียบระหว่างความจริง กับความฝันครับ เช่น บทภาพยนตร์ ตุ๊กตาที่เป่าลมคือความฝันที่เขาเก็บไว้


โดย: yuttipung IP: 118.173.98.127 วันที่: 29 ธันวาคม 2552 เวลา:14:00:12 น.  

 
สารภาพว่าไม่เคยดูหนังพี่พิงเลยค่ะ

แต่มาอ่านบ๊อกนี้แล้วก็ชักน่าสนนะเนี่ย

สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณท้อป
ขอให้คุณท้อปกะคุณโอ๋มีความสุขมากๆ นะคะ
ขอให้มีเงินทองเต็มกระเป๋า มีแต่ความสุขกายสบายใจทุกๆ เรื่อง
และ...มีเจ้าตัวเล็กเร็วๆ อิอิ ไม่เกี่ยวแต่ลุ้นมาก 555

ปีใหม่นี้ขอให้มีหนังดีๆ มาให้เราดูเยอะๆ ค่ะ
พูดยังกะจะได้ดู
แต่ปีที่แล้วกี๋ดูไป 4-5 เรื่องเหมือนกันนะ
ล่าสุดก็ September Issue ชอบมากๆ
เอ๊ะ...ไม่ใช่ดิ New Moon ตะหาก
อันนี้ไม่เป็นที่น่าจดจำ เลยจะไม่ได้ซะงั้น


โดย: กี๋พกแป้ง วันที่: 31 ธันวาคม 2552 เวลา:18:04:01 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะครับคุณกี๋ เดี๋ยวจะไปอวยพรต่ออีกทีที่บล็อก

ส่วนเรื่องดูหนัง ผมก็ลดการดูไปตามวิถีชีวิตที่เปลี่ยน อาชีพที่เปลี่ยนเช่นกันครับ


โดย: yuttipung IP: 202.176.160.146 วันที่: 3 มกราคม 2553 เวลา:20:24:59 น.  

 
สวัสดีค่ะ

คิดถึงหนังไทยเหมือนกันค่ะ มาอยู่ที่ฮอลแลนด์ส่วนใหญ่หนังก็จะโหลดเอานะค่ะ แต่ไม่ค่อยมีหนังไทยหรอกค่ะ

ติดตามมาจาก สารคดี ค่ะ



โดย: หนุ่ย (NuiErnik ) วันที่: 9 มีนาคม 2553 เวลา:19:18:55 น.  

 
เรียนคุณหนุ่ย

เดี๋ยวนี้หนังไทยหลายเรื่องก็โหลด หรือดูได้ทาง Youtube นะครับ หากสนใจก็ลองดูได้


โดย: yuttipung IP: 183.89.4.35 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:15:06:10 น.  

 
มาโนเกอะ


โดย: อิธีพล IP: 182.232.0.212 วันที่: 14 เมษายน 2559 เวลา:1:00:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yuttipung
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่งที่ติดอินเตอรเน็ต จนได้งานพอประทังเลี้ยงชีพ Blog นี้มอบให้แก่หญิงสาวที่ให้กำลังใจสำหรับความฝันอันริบหรี่ของผมมาตลอด ปัจจุบันเรียนโทจบแล้ว ทำงานหลายที่ หลักๆ ตอนนี้เพิ่งเริ่มเป็น Webmaster นิตยสารแห่งหนึ่ง ส่วนงานพิเศษคือลงข่าว และข้อมูลหนัง ดูแลเว็บให้กับ Popcornmag กับ เครือข่ายคนดูหนัง และเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ให้กับ Filmax

Friends' blogs
[Add yuttipung's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.