Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
16 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 
Brokeback Mountain เมื่อคาวบอยตกยุค



ในฤดูร้อนปี 1963 แจ๊ค ทวิสต์(เจค กินเลนฮาล) และ เอนนิส เดลมาร์(ฮีธ เล็ดเจอร์) สองคาวบอยหนุ่มมาที่ไวโอมิ่ง หน้าที่ทำงานเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์เพื่อของานทำ ราวกับเป็นชะตากรรมให้ทั้งคู่มาพบกัน และทำงานต้อนแกะบนเทือกเขาโบรคแบ็คเพียง 2 คน

กว่าที่ทั้งคู่จะเปิดเผยเรื่องราวของกันและกันก็นานพอสมควร แจ๊คเป็นนักควบวัวที่นิสัยช่างพูด และเปิดเผยกว่า เขากล้าบ่นเรื่องงานที่ทำ อาหารการกิน หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในฐานะที่เคยทำงานที่นี่มาครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากเอนนิสเกิดอุบัติเหตุเขาจึงกล้าเปิดเผยเรื่องราวแต่หนหลัง ซึ่งแทบไม่มีอะไรรื่นรมย์ในชีวิต ไม่แปลก...ที่เขาจะเก็บงำมันอย่างเงียบๆ จนถึงกับเอ่ยว่าที่เล่าให้ฟังนี้ก็เป็นการพูดมากที่สุดของตนแล้วด้วยซ้ำ



สิ่งที่เหมือนกันในความต่างของทั้งคู่ นอกจากภาพลักษณ์ความเป็นหนุ่มคาวบอย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มีความสุขกับครอบครัวเท่าไหร่นัก แจ๊คพยายามหนีให้ไกลจากพ่อ ขณะที่เอนนิสแย่กว่านั้นเพราะเขาโตมาอย่างแร้นแค้น ปัจจุบันก็แทบจะไม่มีที่ให้กลับเสียด้วยซ้ำ

ในคืนอันหนาวเหน็บระหว่างรอไปตรวจดูแกะในยามรุ่งเช้า ทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ทางเพศกัน มันเป็นไปอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้ผู้กำกับอังลี่จะปูความใกล้ชิดของทั้งคู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เหตุการณ์ที่เกิดในคืนนั้นก็เกิดขึ้นราวกับชะตากรรม ทันทีที่เอนนิสตื่นมา เขาควบม้าออกไปพบกับซากแกะที่ตายอย่างน่าสยดสยองราวกับเป็นคำเตือนว่าเขายืนอยู่ในจุดที่หมิ่นเหม่เพียงใด

ทั้งแจ๊คและเอนนิสพยายามให้มันเป็นแค่ “รักคืนเดียว” ถึงกระนั้น แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในป่าอันแสนงดงามราวกับโลกอุดมคติ มีเพียงฝูงสัตว์ และงานซ้ำๆ ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นอีกจนได้...หลังลงจากหุบเขา เอนนิสเลือกที่จะไม่กลับมาที่นี่อีก เขารีบแต่งงานกับอัลมา(มิเชล วิลเลี่ยมส์) ส่วนแจ๊คนั้น หลังจากที่วนเวียนกลับมาเพื่อพบกับความผิดหวัง เขาก็เหมือนตกถังข้าวสารพบรักกับสาวสวยมาดคาวบอย ลูรีน นิวซัม(แอนน์ แฮททาเวย์) ลูกของเศรษฐีขายเครื่องมือการเกษตร

แต่เหตุการณ์ในหุบเขาครั้งนั้นราวกับเป็นคำสาปที่วนเวียนในใจพวกเขาให้เปลี่ยนไปตลอดกาล 4 ปีผ่านไป ทั้งคู่ก็นัดเจอกันอีกครั้ง และสานต่อความสัมพันธ์เป็นคู่รักอย่างลับๆ เป็นเวลากว่า 20 ปี

เรื่องราวในของ แจ๊ค และเอนนิส จะมองไปทางใดนั้นก็คงหนีไม่พ้นโศกนาฏกรรม แต่แม้จะรู้อย่างนั้น Brokeback Mountain ก็ยังเป็นหนังที่เศร้าเหลือเกิน ทั้งๆ ที่อังลี่ยังคงเลือกวิธีการกำกับโดยไม่ได้บีบคั้นอารมณ์ หรือปล่อยฉากฟูมฟายเกินเลยมาสักฉาก หากเพราะสะท้อนชะตากรรมที่คนอีกมากมายร่วมรู้สึกไปกับพวกเขาได้ไม่ต่างกัน

เช่นเดียวกับที่อังลี่สำรวจตัวละครเอกซึ่งตกในความลุ่มหลงด้านมืด และภาพที่เปลี่ยนแปลงของจอมยุทธ์ บนหนังกำลังภายใน Crouching Tiger, Hidden Dragon ใน Brokeback Mountain เขาก็ไม่ได้มองไปที่ประเด็นเกย์ และความรักแบบโศกนาฏกรรมเท่านั้น หากกำลังสะท้อนชะตากรรมของวิถีชีวิตคาวบอย ที่ล่มสลายไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของอเมริกา

ความเจริญทางด้านวัตถุ และค่านิยมยกย่องผู้มีฐานะ ได้เข้ามาอย่างรวดเร็วไม่เว้นแม้แต่เมืองห่างไกลอย่างเท็กซัส หรือ ไวโอมิ่ง แจ๊คกลายเป็นเซลส์ขายรถแทร็กเตอร์ในธุรกิจครอบครัวของลูรีนแทนการควบวัว ด้านเอนนิส แม้จะถูกอัลม่ารบเร้าให้ไปทำงานโรงงาน เขาก็กลับยกเอาความซุ่มซ่ามของตนเองมาอ้างเพื่อปฏิเสธ รวมถึงอีกหลายต่อหลายครั้งที่เขาไม่แสดงความรับผิดชอบต่อครอบครัวแม้แต่น้อย

ถัดจากการสร้างฐานะ ตามมาด้วยการสร้างครอบครัว แต่มันช่างขัดกับภาพลักษณ์และวิถีชีวิตคาวบอย สุภาพบุรุษผู้รักเสรี การผจญภัยในแดนเถื่อนไร้กฎใดควบคุม ใจกล้า อยู่กับท้องทุ่ง และรักสันโดษ ที่ติดฝังในตัวเอนนิส นั่นนำมาซึ่งการหย่าร้างของทั้งสอง และเอนนิสต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่อเดือนของครอบครัวตามตัวบทกฎหมายที่เขาไม่เคยสนใจ ช่างน่าเศร้าระคนเย้ยหยันเมื่อภรรยาของเขาแต่งงานใหม่กับผู้จัดการร้านซูเปอร์มาร์เก็ตที่เธอทำงาน พร้อมเทคโนโลยีอย่างโทรทัศน์ และเครื่องไม้เครื่องมือที่มาทดแทนสิ่งเก่าๆ ราวกับเป็นการบอกเส้นทางที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเลือกเข้ามาทดแทน…ไม่มีใครชื่นชมยกย่องคาวบอยอีกต่อไป พวกเขาถูกมองอย่างเย้ยหยัน บ้างก็เป็นการมองอย่างหมิ่นแคลนในความจน หรือความอดทน

ขณะที่ความหมายของเกย์ไม่ได้เป็นเพียงการบอกพฤติกรรมทางเพศ แต่มักถูกใช้แสดงถึงความเป็นคนนอกกรอบของสังคม ซึ่งทั้งแจ๊ค และเอนนิสก็ได้กลายเป็นตัวแทนของคนนอกจากการยึดติดกับชีวิตแบบคาวบอยบนเทือกเขาแห่งนั้น บางถ้อยคำในหนังถึงกับเชื่อว่าเหตุการณ์ในหุบเขาโบรคแบ็คของทั้งคู่ อาจเป็นเรื่องแต่ง เป็นเพียงความฝัน เป็นเพียงอุดมคติที่ไม่มีอยู่จริงเสียด้วยซ้ำ

ยังมีหลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่บอกถึงภาพของคาวบอยที่กลายเป็นคนที่สังคมไม่ต้องการ เช่น เมื่อแจ๊คเข้าไปชื่นชมตัวตลกคอยวิ่งหนีมัว แต่กลับได้รับผลตอบรับที่ตรงกันข้าม และกับฉากที่สามีของเพื่อนลูรีนนั่งคุยกับแจ๊คได้อย่างเปิดอกนั้น หนังถึงขั้นทำให้เผลอคิดไปว่าคนในชุดคาวบอยคือภาพลักษณ์ของเกย์เลยก็ว่าได้

อย่างไรก็ตามคนที่เจ็บปวดที่สุดย่อมไม่พ้นเอนนิส เพราะเขาเลือกปิดซ่อนความรู้สึกและปรารถนามากกว่าแจ๊ค หนังบอกให้เรารู้ว่าเขาเชื่อในการปิดบังความสัมพันธ์แบบนี้ไปจนวันตาย แม้จะรู้ว่าเป็นรักที่มีแต่ทำลายตนเอง เพราะความกลัวที่ติดตาแต่ครั้งยังเด็ก และมันก็ซ้อนทับในหัวของเขาถึง 2 ครั้งราวกับภาพฝันร้าย เอนนิสจึงกลายเป็นผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงท่ามกลางความเจริญ ความมาเร็วไปเร็วแบบยุคสมัย เขายังคงเป็นคาวบอยคนเดิม ที่ทนแบกรับความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่ได้รับจากการถาโถมของคนในสังคม

ขณะเดียวกันยุคสมัยของหนังเรื่องนี้ ยังถือเป็นการคาบเกี่ยวกับยุคมืดของหนังคาวบอยในอเมริกา ปลายยุค 60s หนังประเภทนี้นำเสนอภาพลักษณ์ที่ดิบเถื่อน ชะตากรรมที่สมจริงของคนคาวบอยอย่างชัดเจนมากขึ้น ทดแทนภาพลักษณ์คาวบอยในแบบอุดมคติเมื่อสมัยอดีต หนังคาวบอยในแนวทางดังกล่าวได้แก่ Hour of The Gun ของ จอห์น สเตอร์เจส , Wild Bunch ของ แซม แพคคินพาห์, หรือ Midnight Cowboy ของ จอห์น สเลซิงเจอร์ และหลังจากต้นยุค 70s เป็นต้นมา หนังคาวบอยก็ไม่ได้รัความนิยมเช่นเมื่อก่อนอีกเลย ฉากต่อสู้และบุคลิกต่างๆ ถูกทดแทนด้วยหนังตำรวจ รวมถึงหนังแฟนตาซี/แอ๊คชั่น/ไซไฟแบบ High-Concept แม้ต้นยุค 90s มีหนังอย่าง Dances With Wolves, City Slickers และ The Unforgiven จะทำเงินมหาศาล มันก็เป็นเพียงความสำเร็จที่ไม่ได้ยั่งยืนอะไร เป็นเพียงความตื่นตาตื่นใจ ที่มาถึงและหายไปอีกครั้ง

แม้ Brokeback Mountain สามารถจะจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับหนังคาวบอยยุคมืดได้ แต่เหนือกว่านั้น และมากกว่านิยามว่าหนังคาวบอย-เกย์ นี่เป็นการนำเสนอมุมมองใหม่ที่สมจริงยิ่งกว่าของคนคาวบอย เสมือนการไว้อาลัยต่อวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นรากฐานสร้างประเทศของอเมริกา ที่ได้เลือนหายไปจากชีวิตผู้คนเกือบทั้งหมดแล้ว...


Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2549 19:27:12 น. 12 comments
Counter : 1469 Pageviews.

 
มันเป็นแนวโน้มใหม่ของหนังในยุค demasculinize หรือการทำให้เป็นชายน้อยลงจากยุคที่คุณว่า ครับ บางทีผมเองก็ตกใจเหมือนกันว่าทำไมสังคมถึงตอบรับหนังเกย์ได้ดีมาก อาจเพราะต้องการเสพอะไรแปลก ๆ ใหม่ๆ บ้างก็ได้

ขอบคุณมากที่แวะไปที่บล็อคของผม ที่หนังสือเรื่อง the Respetable Prostitue ที่ผมว่าเหมือนกับเรื่อง to kill a mockingbird นั้นลืมเขียนขยายไปว่า "เหมือนกันในบางส่วน"ครับ คือคนดำถูกกล่าวหาว่าข่มขืนผู้หญิงและยังสะท้อน ความเกลียดชังคนดำของอเมริกาในยุคต้นศตวรรษที่ยี่สิบเหมือนกัน เพียงแต่ของซาร์ตร์จะเสียดสีชนชั้นกลาง แต่ใน ทูคิลฯ จะเป็นอุดมคติ


โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:20:33:52 น.  

 
เห็นด้วยตามนั้นครับ


โดย: yuttipung IP: 58.10.13.170 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:20:45:37 น.  

 
เป็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่ค่อยได้คิดค่ะ

ไม่คิดว่าจะชอบหนังเกย์เหมือนกัน
สงสัยเมื่อก่อนยังไม่เคยมีเพื่อนเป็นเกย์


โดย: PADAPA--DOO วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:22:41:31 น.  

 
ประเด็นเกี่ยวกับการจากไปของโลกแบบเก่าและการเข้ามา
ของโลกทุนนิยมนี่น่าสนใจทีเดียว

มันทำให้ผมนึก ๆ ว่าหนังเรื่องนี้มันคล้ายกับ "ข้างหลังภาพ"
ยิ่งกว่าเดิมอีก เพราะการตายของท่านหญิงกีรติ (สตรีตาม
คติของสังคมแบบเก่า) และการมาของนพพร (ลูกพ่อค้า ผู้เป็นนักเรียนนอกสาขาเศรษฐศาสตร์) มันก็คล้าย ๆ กันอยู่

ไหนจะเรื่องมีเรื่องรักต้องห้ามและ "เขามิตาเกะ" อีกเล่า

ส่วนเรื่องคาวบอยนั้น ผมกำลังนึกเล่น ๆ ว่า ปู่คลิ้นต์
(อดีตดาราหนังคาวบอย ผู้กำกับหนังอย่าง unforgiven)
ถ้าดู "เขาหลังหัก" แล้ว จะรู้สึกยังไงหนอ???

ปู่แกจะขนลุกซู่ไหนเอ่ย อิอิ


โดย: ole (trufa ) วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:1:16:47 น.  

 
เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเพราะในสังคมทุกวันนี้การจะดูหนังอะไรก็ตามก็อยากจะดูอะไรที่มันแปลกๆออกไปฃ ชีวิตคนทุกวันนี้ไม่มีอะไรให้นำเสนือในรูปแบบของหนังต่างหากเล่า คนทำหนังก็เลยหันไปทำหนังชีวิตของเกดีกว่าเพราะท มีอะไรลึกๆที่น่าสนใจกว่าชีวิตคนทำมดา


โดย: เสีย่อแหบ IP: 58.8.90.210 วันที่: 2 มีนาคม 2549 เวลา:21:46:07 น.  

 
ผมคิดว่า ผู้ชายจริงๆไม่มีวันดูหนังเรื่องนี้จบ ดูบทแล้วเลี่ยน คิดดูเถอะว่าใครจะชอบเกย์


โดย: Corleone IP: 203.149.47.182 วันที่: 7 มีนาคม 2549 เวลา:15:45:22 น.  

 
^
^

ก็อคติไปมั้งครับ ผมยังไปดูกับแฟนเลย อันนี้คงเกี่ยวกับภูมิต้านทานการดูหนังมากกว่า ถ้าไปดูหนังทางฝั่งยุโรปที่มีฉากถึงเนื้อถึงตัวมากกว่านี้ หนังเรื่องนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ธรรมดาครับ

ดูจบ แฟนผมยังบอก ดีนะเนี่ย ที่เธอดูแล้วไม่ร้องไห้ ถ้าเกิดร้องขึ้นมาช็อคตายไปแล้ว


โดย: yuttipung IP: 202.44.8.100 วันที่: 8 มีนาคม 2549 เวลา:14:48:03 น.  

 
^
^
ผมไปดูกะเพื่อนผู้ชาย .... คนอื่นเขาจะคิดว่าไงเนี่ยะ


โดย: A-leX IP: 203.121.171.114 วันที่: 9 มีนาคม 2549 เวลา:16:04:54 น.  

 
ถ้าไม่มีใครมองเราตั้งแต่หัวจรดเท้าก็คงไม่มีอะไรมั้งครับ


โดย: yuttipung IP: 202.44.8.100 วันที่: 9 มีนาคม 2549 เวลา:16:07:47 น.  

 
คนเขียนนวนิยายเรื่องนี้เป็นผู้หญิง เดินเรื่องอย่างรวดเร็วจนรวบรัด แต่พอมาดูหนังที่ทำออกมาแล้วต้องยอมรับว่า ถ่ายถอดอารมณ์ และเติมจินตนาการณ์ได้อย่างมากกว่าอ่านอย่างเดียว แต่ผมรู้สึกว่ารู้นี้จะออกแนว สตรีนิยมมากไป


โดย: M.jess IP: 124.157.145.3 วันที่: 1 มกราคม 2550 เวลา:22:14:41 น.  

 
^
^
^
อ่านความเห็นตอนท้าย หมายถึงนิยายใช่ไหมครับ นักเขียนคือ อี.แอนนี่ พรูล์ซ เขาบังเอิญไปเห็นคนใส่ชุดคาวบอยในผับแห่งหนึ่งเป็นคู่รักกันจนเป็นแรงบันดาลใจครับ แน่นอนครับว่า เรื่องสั้น มันต้องสั้น เท่าที่สังเกตมา การดัดแปลงเรื่องสั้นเป็นหนังขนาดยาว จะทำได้ดีกว่าดัดแปลงนิยายมาเป็นหนังซะส่วนใหญ่ครับ เพราะขยายได้ ไม่ต้องตัด


โดย: yuttipung IP: 58.9.33.191 วันที่: 26 มกราคม 2550 เวลา:0:38:49 น.  

 
สำหรับเรื่องนี้ ผมไปดูก็ด้วยความข้องใจว่า หนังรักของเกย์
จะทำให้รู้สึกดีได้อย่างไร..

สุดท้ายยอมรับครับว่า "ทำให้คนไม่ใช่เกย์ อินกับเรื่องรักของเกย์ได้" สมควรกับหลายรางวัล


โดย: Untrue (Untrue ) วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:19:38:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yuttipung
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่งที่ติดอินเตอรเน็ต จนได้งานพอประทังเลี้ยงชีพ Blog นี้มอบให้แก่หญิงสาวที่ให้กำลังใจสำหรับความฝันอันริบหรี่ของผมมาตลอด ปัจจุบันเรียนโทจบแล้ว ทำงานหลายที่ หลักๆ ตอนนี้เพิ่งเริ่มเป็น Webmaster นิตยสารแห่งหนึ่ง ส่วนงานพิเศษคือลงข่าว และข้อมูลหนัง ดูแลเว็บให้กับ Popcornmag กับ เครือข่ายคนดูหนัง และเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ให้กับ Filmax

Friends' blogs
[Add yuttipung's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.