หุบเขาแสงตะวัน
ผู้แต่ง: พิบูลศักดิ์ ละครพล พิมพ์ครั้งแรก สตรีสาร พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก สนพ. ดอกไม้ ปี 2519 (ภาพปกมาจาก: toulo)
งานเขียนเล็กๆ เป็นเสมือนประกายหนึ่งของไฟแห่งความหวัง เป็นช่อหนึ่งของดอกไม้ที่ปรารถนาจะยังความรักในมนุษย์ให้งอกงาม เรื่องราวของผู้คนถูกถ่ายทอดออกมาด้วยลีลาการเขียนที่ชวนอ่านของภาษากวี ทำให้เพลิดเพลินและสะเทือนใจไปกับชีวิตชาวบ้าน
* * * * * *
เป็นงานชิ้นแรกของคนแต่งที่เลือกเพราะมันเป็น 'นิยาย' แต่อ่านแล้วกลับรู้สึกเหมือนอ่านเรื่องสั้นมากกว่าแฮะ
เนื้อเรื่องไม่มีอะไร เหตุการณ์หลักในเรื่องคือกำลังจะมีการตัดถนนเข้าไปในห้วยคำเซิง ชาวบ้านหันมารับจ้างและวาดหวังกับความเจริญใหม่นี้ มีเพียงครูมาชา..ครูจากบางกอก..ที่รู้ดีกว่านั้น (ครูมาชาเป็นเหมือนผู้สังเกตการณ์ในเรื่อง เขาเห็นทั้งฝ่ายชาวบ้านและฝ่ายผู้ได้รับผลประโยชน์)
แต่จุดเด่นของเล่มนี้ไม่ใช่เนื้อเรื่อง--ซึ่งเดินช้ามาก แทบไม่มีอะไรให้เล่า ถ้าจะเก็บเล่มนี้ขึ้นหิ้ง ก็คงเพราะเนื้อหาแทบทั้งเล่มที่บรรยายถึงหมู่บ้านบนดอย ธรรมเนียมประเพณีของคนไต ธรรมชาติ สิงสาราสัตว์ทั้งหลายแหล่...ด้วยสำนวนง่าย ๆ แต่สละสลวย ละเอียดและละไม อ่านแล้วมองเห็นภาพ ได้ยินเสียง ราวกับขึ้นไปอยู่บนนั้นก็ไม่ปาน
ตัวอย่างบรรยากาศในเรื่อง เช่น เริ่มเรื่องจะพูดถึงรุ่งสาง ไก่ขัน เอ้กอีเอ้ก เอ้กอีเอ้ก อยู่ในเล้าใต้ยุ้งข้าว ควายในคอกสะบัดหางไล่ริ้น มีเสียงกุกกักจากส่องไฟ (ครัวไฟ) ทุกบ้านจุดตะเกียงก่อนที่ตีนฟ้าจะยกแสงเงินแสงทองจับทั่วขอบฟ้า เสียงตั้งมองตำข้าว ก่อนจะมีเสียงย่ำมอง "โจ้ะจงลง โจ้งจงลง" แข่งกันจากที่นั่นที่นี่ ... พื้นดินชุ่มฉ่ำ ใบไม้เขียวไสว หมอกบาง ๆ เอื่อย ๆ เสียงนกเขาขันจากระเบียงบ้าน แมงเม่ากรูกันออกมา นกแซวบินปาดหน้าไป นกกระถาบเริงร่าถลาปีกโฉบตวัดไปมาระหว่างทุ่งนา พลางส่งเสียงร้อง "แอ้บๆ" แสบหู บนยอดสักใบใหญ่ การ้องก้าก ๆ แล้วก็โผลงมาชายทุ่งไต่เตาะแตะไปตามคันนา แซงแซวหางยาวร้องเป็นเพลงแปลก ๆ ติด ๆ กันเพลงแล้วเพลงเล่า นกหัวขวานมากันเป็นคู่ ๆ อวดหงอนสีทอง ฯลฯ
นอกจากจะอ่านได้บรรยากาศเต็มอิ่มแล้ว เรื่องยังแฝงเกร็ดความรู้ไว้อ่านสนุก ๆ เช่น
กาด (ตลาด) บนเขาไม่ได้ชั่งเนื้อด้วยตาชั่งกิโลอย่างที่เรารู้จัก ตาชั่งเขาเรียกว่า "หย่าจู" มาตราชั่งคือ..โจ้มหนึ่งเป็นสองจ้อย จ้อยหนึ่งมีสิบขัน หนึ่งขันมีสิบจาด ห้าจาดมีหนึ่งก้อนไฟฉาย เพราะงั้น เขาเลยเอาก้อนไฟฉายชั่งหย่าจู
ข้าวหนึ่งถังเท่ากับข้าวหกแป่ ข้าวแปดแป่เทียบกับข้าวหนึ่งควาย ข้าวแปดควายเป็นหนึ่งหลัง และถ้าสี่ควายคือหนึ่งขอน สองควายเท่ากับหนึ่งต๋าง (งงดีไหม? จขบ. อ่านจบก็ยังงงอยู่ดี)
เวลาไล่ควาย เขาร้องกันว่า "ฮุ้ยไฮ้ ขวาๆๆ"
เมื่ออยู่ที่ไหนไม่สบาย มีคนเจ็บคนตาย พวกกะเหรี่ยงแดงก็ต้องลงผี "กระดูกไก่" จะโยกย้ายไปที่ใหม่ตามแต่หมอผีจะบอกว่าให้ปักหลักตรงไหน หากไม่ทำจะถือเป็นมหาวิบัติ เพราะฉะนั้น บางทีถึงจะย้ายไปแค่นิดเดียว พวกเขาก็ต้องรื้อถอนหรือเผาเรือนเสีย
อีกจุดที่เพลินดีคือเรื่องของภาษา พระมหากษัตริย์คือ "เจ้าพาราขนโหคำ" หมากลางคือขนุน หมากผ้าคือมะนาว หมากซางพอคือมะละกอ เจ้าพาราคือพระภิกษุ จองคือวัด กั่นตอคือขอโทษ เยิงคือเลียงผา แยคือตำรวจ เปี่ยวแปลว่าสนุก ก๊อกไฟคือจุดไฟ ฯลฯ
นอกจากเกร็ดสนุก ๆ พวกนี้ เรื่องยังแฝงประเด็นย่อยไว้อีกมาก เช่น เรื่องของการถูกพวกนายทุนหรือผู้มีความรู้เอารัดเอาเปรียบ นโยบายการศึกษาที่ไม่ประนีประนอมกับชนพื้นเมือง ความเจริญที่มาพร้อมความเสื่อมของศีลธรรมและการรุกรานธรรมชาติ ระบบช้างเท้าหลังในครอบครัว ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ ทำให้ได้บรรยากาศการอ่านแบบภาพสวยอารมณ์ใส แต่กรุ่นกลิ่นอายเศร้าเสียดายเพราะเรารู้ว่าหมู่บ้านแบบนี้จะเป็นเช่นไรในอนาคต
** Spoiled ** (บอกช้าไปเปล่าเนี่ย?)
หากแต่คนเขียนก็ทิ้งท้ายไว้ด้วยเรื่องของก๊างโจบนห้วยภูเทาที่ถูกกะเหรี่ยงอิสระจับไป และครูมาชาที่บอกลาห้วยคำเซิงเพื่อขึ้นไปเปิดโรงเรียนแห่งใหม่ให้ชาวกะเหรี่ยงที่ตัดสินใจเลิกทำสงคราม เหมือนจะบอกว่ายังมีความหวัง ตราบใดที่คนเรายังมีอุดมคติ ยังมีไฟอยู่
นอกเรื่อง: อ่านจบถึงรู้ว่าหาซื้อเล่มนี้ยากแล้ว? ลองเสิร์ชดู พบว่าเคล็ดไทยมีพิมพ์ใหม่ออกมา ราคา 140 บาท (แต่ในเว็ปบอกว่าของหมด) ... อยากได้แบบกระดาษปอนด์จัง
Create Date : 28 พฤษภาคม 2549 |
|
1 comments |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2549 23:11:53 น. |
Counter : 1735 Pageviews. |
|
|
|
พอดีว่าใช่หนังสือนี้ทำรายงานนะคะ อ่านแล้วแต่ไม่เข้าใจเลย รบกวนหน่อยนะค่ะ