Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
2 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

ร้อยรวงใจ ๕๖ (ธัญรัตน์)




“น้าข้าวไปนั่งพักก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวด้วงจะเกี่ยวแทนเอง”
ด้วงบอกเพราะคิดว่าเธอคงจะเหนื่อยไม่น้อย
“นั่นสิหนูข้าว ขึ้นไปบนกระท่อมเถอะ อีกหน่อยก็จะพักกินข้าวแล้วล่ะ ยายบัวแกไปกับหนูข้าวเถอะเดี๋ยวฉันกับเจ้าด้วงจะเกี่ยวต่อให้เสร็จเอง” ลุงแดงหันมาบอก
“ค่ะลุงแดง”
เธอรับคำแต่โดยดี เพราะรู้สึกเหนื่อยและเหมือนจะหน้ามืดขึ้นมา ผ้าคลุมหัวผืนที่เธอใช้ตอนหว่านข้าว ถูกดึงออกจากใบหน้าที่ตอนนี้แดงกร่ำเพราะความเหนื่อย

“หนูข้าวไปกันเถอะค่ะ ป้าจะไปทำกับข้าวรอ”
ป้าบัวบอกและเดินขึ้นไปกระท่อมโดยมีเธอเดินตามไปติด ๆ แล้วป้าบัวก็จัดการหุงข้าวด้วยความรวดเร็ว แล้วก็ติดไฟที่เตาถ่านเพื่อทำกับข้าว เพราะวันนี้แก๊สหมดพอดี เธอจะเป็นคนเอาติดรถไปเปลี่ยนที่ร้านในเมืองให้ในตอนเย็น

“ป้าจะแกงเผ็ดไก่หนูข้าวกินเผ็ดได้มั้ยคะ”
ป้าบัวถามหลังจากที่หิ้วเอาข้าวของที่เธอเป็นคนซื้อมาให้เมื่อเช้าออกมาจากตู้เย็น ซึ่งมันเก่ามากพอ ๆ กับอายุของด้วง เพราะป้าบัวบอกว่าลูกสาวเป็นคนซื้อข้าวของพวกนี้มาไว้ให้ใช้ตอนที่มาอยู่ที่นี่

“กินได้นิดหน่อยค่ะป้าบัว แต่ไม่ต้องห่วงข้าวนะคะ ข้าวเจียวไข่กินก็ได้”
เธอบอกเพราะรู้สึกเกรงใจที่จะต้องเป็นภาระให้ป้าบัวทำให้อีก แต่แกก็ไม่ยอมให้เธอทำ ให้นั่งพักแทน อาหารเที่ยงเป็นไปอย่างเงียบ ๆ ไม่เหมือนบรรยากาศที่เถียงนาของเธอ ที่มักจะมีเขาคอยว่าโน่นนี่ให้เธอได้ถกเถียงบ่อย ๆ

หลังจากเสร็จข้าวเที่ยงแล้ว การเกี่ยวข้าวจะหยุดเอาไว้แค่นั้น เพราะลุงแดงจะต้องไปมัดข้าวที่เกี่ยวและตากเอาไว้ที่ซังข้าวเมื่อวาน ส่วนป้าบัวและด้วงก็จะต้องหาบข้าวที่ลุงแดงมันเอามารวมไว้ที่ลานข้าง ๆ กระท่อม เพื่อรอการนวดด้วยมือ ภรัณยาอยากจะช่วยหาบบ้าง แต่แค่ยกคันหลาวที่ใช้หาบข้าว ที่ทำจากไม้ยาวสองวาเห็นจะได้ แล้วก็มีขาหยั่งสูงระดับเอวเอาไว้ทั้งสองข้างแค่นั้น เธอก็ยกมันขึ้นบ่าไม่ไหว เพราะมันหนักไม่น้อย

เธอจึงทำได้แค่ช่วยเอามัดข้าวออกจากคันหลาวและนำไปเรียงไว้ที่กองแทน แต่ก็ทำได้ไม่นาน ป้าบัวก็ให้เธอกลับเพราะจะต้องรีบกลับเข้าเมืองก่อนที่จะค่ำ และทันทีที่เธอเข้ามาถึงห้อง ก็รีบอาบน้ำและล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลียทันที หญิงสาวรู้สึกดีใจไม่น้อยที่อยู่ช่วยงานป้าบัว เพราะมันทำให้เธอไม่มีเวลามาคิดถึงเขา พอกลับเข้าห้องเธอก็หลับเป็นตายด้วยความอ่อนแรง

ภรัณยาเดินเข้ามากระท่อมก็ให้สงสัยเป็นที่สุด เพราะมีกลุ่มคนไม่น้อยกว่าสิบคนนั่งเรียงแถวอยู่หน้ากระท่อม แต่ความสงสัยก็คลี่คลายในเวลาต่อมา เมื่อป้าบัวบอกว่าเพื่อนบ้านระแวกใกล้ ๆ จะมาช่วยเกี่ยวข้าว หลังจากที่แต่ละคนต่างก็เพิ่งจะเสร็จจากนาตัวเอง จึงเพิ่งจะได้มีเวลาว่างมาช่วย ซึ่งป้าบัวบอกอีกว่ามักจะเป็นแบบนี้ทุก ๆ ปี เพราะถ้าไม่ได้เพื่อน ๆ มาช่วย ข้าวที่เกี่ยวกันแค่สองคนก็คงจะแห้งกรอบคาต้นข้าวนั่นล่ะ

บรรยากาศวันนี้จึงดูคึกคักไม่น้อย ภรัณยาถูกมอบหมายหน้าที่ให้เป็นคนพาป้าบัวไปซื้อหาอาหารเอามาไว้เลี้ยงเพื่อนบ้านก่อน พอเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว เธอจึงเดินลงไปที่นา เพื่อช่วยเกี่ยวอีกแรงหนึ่ง ต้นข้าวที่รอการเก็บเกี่ยวที่เหลือเป็นเวิ้งใหญ่ ๆ เมื่อวานนี้ วันนี้มันถูกเกี่ยวเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว และพรุ่งนี้ชาวบ้านก็จะมาช่วยนวดข้าวอีกจนกว่าจะเสร็จ

แล้วกองข้าวที่ทั้งใหญ่และสูงท่วมหัวก็ถูกเพื่อนบ้านชายไม่น้อยกว่าหกคนมาช่วยกันนวดด้วยมือ ทำให้ภรัณยาได้เห็นว่าการนวดข้าวด้วยมือก็ลำบากไม่น้อย เพราะว่าจะต้องเอาไม้แข็ง ๆ ยาวประมาณแขนคนสองท่อน แล้วมีเชือกเส้นใหญ่ผูกไว้กับปลายไม้ทั้งสองท่อน แล้วนำไปตึงกับมัดข้าวด้วยการเอาไม้ไขว้กันไว้ แล้วก็ยกไม้ที่ตึงมัดข้าวฟาดลงไปกับลานข้าว ที่ลุงแดงเป็นคนลาดเอาไว้

หญิงสาวก็เพิ่งจะรู้ว่าลานข้าวที่ลาดเตียน ๆ เอาไว้นั้น ใช้มูลควายผสมกับน้ำและดินบางส่วนแล้วก็เทราดไปที่พื้นดินที่ปรับเรียบ ๆ เอาไว้ แล้วก็เกลี่ยให้เรียบ ๆ ไปทั่วบริเวณ หลังจากที่ปล่อยให้มันแห้งแล้ว ลุงแดงก็จะได้ลานข้าวสำหรับไว้รอนวดข้าวแบบนี้ คิด ๆ แล้วเธอก็ให้อึ้งกับภูมิปัญญาชาวบ้านไม่น้อยเลย ที่คิดหาอุปกรณ์ที่ใกล้ ๆ ตัวมาช่วย

ข้าวของป้าบัวถูกชาวบ้านช่วยกันใช้ถังสังกะสีตักจากลานไปเทลงกระสอบและพ่อค้าที่มารอรับซื้อข้าวก็ให้ลูกน้องแบกขึ้นรพปิ๊กอัพที่มาจอดเทียบไว้ที่ลานข้าวอยู่ก่อนแล้ว ข้าวอีกส่วนชาวบ้านช่วยกันแบกใส่กระสอบปุ๋ยขึ้นไปเก็บไว้ที่ยุ้งข้าวให้ลุงแดง เพื่อเก็บเอาไว้ทำพันธุ์และเอาไว้กินต่อไป อาหารเที่ยงในเวลาสี่โมงเย็นจึงเริ่มขึ้นคล้าย ๆ เป็นการฉลองเล็ก ๆ กับชาวบ้านที่มาช่วยงานอยู่ที่กระท่อมนั้น ภรัณยาให้ภูมิใจที่สุดที่ได้มีส่วนร่วมในงานนี้ด้วย



เปลวเพลิงค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นประกาย เมื่อฟืนท่อนใหม่ถูกโยนลงไปในกองไฟที่ถูกปล่อยให้ร้างฟืนมาได้พักใหญ่ ๆ แล้ว ลมยามดึกช่วยพัดพาให้เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นอีกครั้ง โดยที่เจ้าของร่างสูงใหญ่ แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เขาเอนหลังไปพิงกับพนักเก้าอี้อย่างช้า ๆ แล้วก็เหม่อมองออกไปยังท้องทุ่ง ที่ตอนนี้ถูกความมืดมิดเข้ามาปลกคลุมเอาไว้ด้วยความรู้สักที่เดียวดาย

เสียงจิ้งหรีดส่งเสียงร้องเรไรมาตั้งแต่ช่วงค่ำ ประสานกับเสียงกบ เขียด ที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เจ้าปุกปุย กับเจ้าไข่ตุ๋นที่แนบร่างอยู่ข้าง ๆ กองไฟมาพร้อม ๆ กับเขา ต่างพากันเบียดกายเข้าหากันเพื่อหาไออุ่นจากร่างของอีกฝ่าย แล้วทั้งคู่ก็หลับปุ๋ยอย่างสบายไปแล้ว ทิ้งให้เจ้าของได้แต่มองเจ้าสองตัว ที่จากเมื่อก่อนเป็นคู่กัดกันแทบเป็นแทบตาย แต่ไป ๆ มา ๆ กลับมาเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้ว พลอยดึงให้ความคิดถึงเธอมันเริ่มทวีขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่ ๆ คนบ้า คุณว่าฉันหาแต่ทุกข์มาให้คุณเหรอ คอยดูนะฉันจะทำให้คุณรู้ว่า การที่ไม่มีฉันอยู่ใกล้ ๆ มันเป็นยังไง แล้วก็ไม่ต้องโทรไปตามที่บ้านด้วย จ้างให้ก็ไม่มา”
เขาได้ตระหนักดีแล้วว่า การที่ไม่มีเธออยู่ใกล้ ๆ มันทำให้รู้สึกยังไง น้ำตาแห่งความเจ็บปวดค่อย ๆ ไหลออกมา เมื่อเขาเผลอคิดไปว่า ชาตินี้จะมีโอกาสได้เห็นเธออีกหรือไม่ เขาต้องรีบเช็ดน้ำตาให้เหือดแห้งไป เมื่อเห็นพ่อเดินลงมาจากบ้าน และทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ เขา

“มาถึงวันนี้แล้ว แกพอจะรู้หรือยังว่าทำไมน้าฑลถึงได้เขียนพินัยกรรมไว้แบบนั้น”
เขมถามลูกชายขึ้นเบา ๆ หลังจากที่เฝ้าดูอาการที่ซึมเศร้าของลูกชายมาเป็นแรมเดือน
“น้าฑลคงอยากจะให้ข้าวได้มาใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และมารับรู้ว่าอาชีพชาวนามันลำบากหรือมีความสุขยังไงมั้งครับ”
เขาตอบพ่อไปตามที่ตัวเองคิดเอาไว้
“มันก็ใช่แต่แค่บางส่วนเท่านั้นล่ะ จุดประสงค์ที่แท้จริงมันมีมากกว่านี้”
“พ่อรู้อะไรมากกว่านี้เหรอครับ” เขาให้สงสัย
“พ่อไม่แน่ใจหรอก แต่ก็พอจะเดาได้”
เขาตอบลูกชายพร้อม ๆ กับภาพที่เขาและมนฑลนั่งพูดคุยกันอยู่หน้ากองไฟแบบนี้ ก็ผุดขึ้นมาอยู่ตรงหน้า

“คิดอะไรอยู่เหรอฑล เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตั้งแต่หัวค่ำแล้วนะ” เขมถามเพื่อนต่างวัย
“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่เขม ผมขำเจ้าน้ำกับยายข้าวหน่ะ ดูสิวิ่งเล่นคลุกฝุ่นมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ยังไม่ยอมเลิกเลย จะพากลับบ้านยายข้าวก็ไม่ยอม จะเล่นแต่กับพี่น้ำ ๆ สงสัยนาคงจะบ่นผมเป็นกระบุงโกยแน่ ๆ ที่ปล่อยให้ลูกเล่นจนมอมแมมแบบนี้”
มนฑลบอกให้เขมหันไปมองเด็กน้อยสองคนที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ไม่ห่างจากกองไฟนัก
“อืม จริงด้วย แต่พี่ว่าปล่อย ๆ ให้เล่น ๆ กันไปเถอะ เพราะอีกหน่อยพอเจ้าน้ำต้องไปอยู่โรงเรียนประจำแล้ว ยายข้าวก็จะไม่มีเพื่อนเล่นหรอก ไม่รู้ว่าจะร้องหาพี่น้ำอีกหรือเปล่า ” เขมว่า

“พี่เขม ขอผมพูดอย่างไม่อายกับพี่จะได้มั้ย” มนฑลหันไปถาม
“อะไรว่ามาสิ แล้วทำไมจะต้องอายด้วยล่ะ”
“ผมว่าผมชักจะชอบใจและถูกชะตากับเจ้าน้ำมันมากขึ้นทุกวัน ๆ แล้ว ส่วนยายข้าวก็ดูท่าทางจะรักพี่ไม่น้อย และคนพี่ก็คงจะเอ็นดูน้องไม่แพ้กัน มันจะเป็นไปได้มั้ย ถ้าเราสองครอบครัวจะหมั้นเด็กสองนี้เอาไว้ แล้วโตมาก็ให้แต่งงานกัน”
มนฑลบอกความตั้งใจออกไปให้เพื่อนรุ่นพี่รับรู้

“เฮ้อ ลำพังความคิดของเรามันก็ดูดีอยู่หรอกนะฑล แต่เด็ก ๆ นี่สิ ไม่รู้พอโต ๆ มาแล้ว จะทำตามที่เราตั้งใจเอาไว้ได้หรือเปล่า หรือถ้าทำได้ก็ต้องมาดูว่าเขาทำเพราะความสมัครใจหรือว่าถูกพวกเราบังคับ”
เขมเห็นด้วย แต่ไม่กล้าจะคิดในเรื่องของอนาคต

“แหมพี่เขม เราก็ไม่ต้องทำตรง ๆ และโจ่งแจ้งสิ ไม่รู้ล่ะ ผมชอบใจลูกชายพี่ โตขึ้นคงจะรักดีเหมือนพี่ คงพอที่จะดูแลลูกผมได้บ้างล่ะ เราสองคนมันก็พลัดถิ่นมา น่าจะเกี่ยวดองกันเอาไว้จะดีกว่า ถ้าพี่ไม่มีปัญหาอะไร ก็ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของผมก็แล้วกัน ผมรับรองว่าสองคนนี้จะต้องรักและได้เป็นคู่กันในอนาคตแน่ ๆ ส่วนพี่ก็คอยเออออไปกับผมก็แล้วกัน”
มนฑลบอกและยิ้มให้รุ่นพี่

“ตามสบายก็แล้วกัน แม่นาดีก็สะสวย ส่วนคุณมณก็ไม่เป็นสองรองใคร ยายข้าวโตมาก็คงจะไม่ขี้เหล่หรอก คงจะพอมัดใจเจ้าน้ำให้รักยายข้าวได้ไม่ยาก แต่ถ้าเกิดสองคนนี้ไม่ได้เกิดมาเป็นคู่กัน เราก็คงจะไปฝืนดวงชะตาไม่ได้หรอกนะฑล”
เขมรู้สึกยินดีไม่น้อย แต่ก็เผื่อใจเอาไว้ให้ความผิดหวังถึงครึ่งหนึ่ง
“เถอะน่าพี่ บอกแล้วไงว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม ส่วนพี่คอยช่วยอยู่ห่าง ๆ ก็แล้วกัน”
มนฑลบอกและยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อจินตนาการเห็นลูกสาวและหลานรักจะได้ครองคู่กัน

“เพราะอย่างนี้ พ่อกับหลวงตาจึงไม่อยากจะให้หนูข้าวมาขายที่นาไง”
เขมให้เหตุผลที่แท้จริงกับผู้ที่นั่งตั้งใจฟัง คำบอกเล่าในอดีต
“แถมพ่อยังสั่งให้ผมคอยมาดูแลเขาอยู่ใกล้ ๆ จะได้ทำให้ผมรักเขาด้วยใช่มั้ยครับ”
เขาเข้าใจจุดประสงค์ของพ่อและผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอย่างถ่องแท้
“แล้วมันได้ผลหรือเปล่าล่ะ” เขมหันไปถามลูกชาย

“เกิดคาดเลยล่ะครับ น้าฑลนี่เข้าใจเล่นนะครับ ใช้แผนล่อเสือเข้าถ้ำแล้วก็ให้ลูกสาวมาขย่ำหัวใจผมทีหลัง ไม่ไปแต่ตัวจริง ๆ เลยนะ ยังอุตส่าห์ทิ้งลายเอาไว้เล่นงานผมอีก” เขาบ่นนิด ๆ
“เฮ้อ อย่าไปว่าน้าฑลเลยเจ้าน้ำ แกกับหนูข้าวก็คงจะเกิดมาเป็นคู่กันจริง ๆ นั่นล่ะ ไม่อย่างนั้นพรหมคงจะไม่ลิขิตให้มาพบกันอีกหรอก ดูสิจากกันไปตั้งยี่สิบกว่าปี จู่ ๆ ก็มีเรื่องให้ต้องกลับมาที่นี่อีก”
“เหมือนพ่อกับคุณน้าใช่มั้ยครับ” “ก็คงจะประมาณนั้นมั้ง”

“ผมหวังว่า ผมคงจะไม่ต้องนั่งรอให้ข้าวกลับมาอีกยี่สิบปีหรอกนะครับ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงจะทนคิดถึงเขาไม่ได้แน่ ๆ ขอลาตายไปก่อนดีกว่า นี่แค่เขาหายไปไม่กี่เดือนผมยังทรมานขนาดนี้”
“อย่าไปคิดมากเลยเจ้าน้ำ คู่กันแล้วก็คงจะไม่แคล้วคลาดกันหรอก ดึกมากแล้วไปนอนเถอะนะ พรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้าไม่ใช่เหรอ เจ้าไข่มันหลับไปได้หลายตื่นแล้วนะ” เขมบอกเมื่อลุกขึ้นจากเก้าอี้

“พ่อไปก่อนเถอะครับ ผมขอนั่งอยู่สักพัก แล้วจะตามไป”
“น่า ลูกผู้ชายอกสามศอก เรื่องแค่นี้เด็ก ๆ เจ้าน้ำ”
เขมตบบ่าลูกชายไปสามสี่ที เพื่อเป็นการปลอบใจ ก่อนที่จะเดินขึ้นบ้าน ปล่อยให้เขานั่งเหงาอยู่คนเดียวอีกครั้ง
“ข้าวไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน กว่าข้าวจะกลับมา พี่ก็จะรักและรอข้าวคนเดียวเท่านั้น”
เขาบอกกับตัวเองด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น

เบาะหน้ารถข้างคนขับค่อย ๆ ถูกปรับเอนลงไปนอนด้วยความเหนื่อยเมื่อเดินทางมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เหนื่อยกายนั้นไม่เท่าไหร่แต่เหนื่อยใจที่ไม่มีปัญญาจะไปตามหาเธอที่ไหนนั้นมันยากยิ่งกว่า ไข่ขับรถไปตามถนนมุ่งหน้าขึ้นเชียงราย เขาหันไปมองเจ้านายที่ยกแขนขึ้นไปก่ายไว้ที่หน้าผากอีกแล้ว ซึ่งไข่มักจะเห็นเจ้านายทำแบบนี้มาตั้งแต่ที่คุณเข่าจากไป แต๋นและไข่เองก็สงสารเจ้านายไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง

“อ้ายน้ำไก้สิฮอดหม่องรถคุณเข่าขับมาซนเฮาแล่วลิอีกจั๊กนอยกะถึง”
ไข่บอกว่าใกล้จะถึงจุดที่รถของคุณเข่าขับมาชนรถเขาเมื่อครั้งก่อนแล้ว ทำให้เขาต้องปรับเบาะกลับขึ้นมาเป็นท่านั่งอีก
“จอดจั๊กนอยก่อนกะได้”
เขาสั่ง แล้วไข่ก็ค่อย ๆ ชะลอความเร็วและจอดตรงตำแหน่งที่เขาและเธอได้พบกันเป็นครั้งแรก เขาเปิดประตูรถลงไปช้า ๆ แล้วก็มองไปทางกระท่อมของลุงป้าที่เขาเคยได้พาเธอเดินลัดทุ่งไปขอน้ำ

ซึ่งหากเขาจะหันหลังกลับไปมองอีกฟากของถนน เขาก็คงจะเห็นรถของเธอที่เพิ่งขับออกจากตำแหน่งที่เขาจอด แล้วก็ไปยูเทรินหันหน้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปตามลูกสาวป้าบัวแทน แต่เขาก็ไม่ได้ทำ และค่อย ๆ เดินลงไปยังทางที่เขาเคยเดินไปกับเธอ สะพานที่เขาพบวันนี้มันมีขนาดใหญ่กว่าเดิม กระท่อมของลุงป้าก็ดูจะเงียบกว่าเดิม ประหนึ่งว่าไม่มีใครอยู่เลย

“ลุงครับป้าครับอยู่หรือเปล่าครับ”
เขาร้องถามอยู่นอกกระท่อม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบออกมา
“คือสิบ่มีคนยูดอกอ้ายน้ำ ทางหลังกะปิดเอาไว้”
ไข่ที่เดินอ้อมไปด้านหลังเดินกลับมาบอกว่าคงจะไม่มีใครอยู่หรือ เพราะด้านหลังก็ปิดเอาไว้

เขมินท์จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปเปิดประตูที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่ได้ล็อคด้วยซ้ำ เขาก็ไม่พบใคร แต่มันก็ไม่เป็นสาระสำคัญอะไรสำหรับเขาหรอก เพราะเขาก็แค่อยากจะเดินมาเรื่อย ๆ แค่นั้น เพราะจู่ ๆ มันก็คิดถึงเธอขึ้นมา เขามองสะพานแล้วก็ยิ้มบาง ๆ ออกมา เมื่อคิดถึงวันที่เธอหงายหลังตกลงไปในคลอง โดยมีเขาตามลงไปช่วยติด ๆ

ขาที่กำลังจะก้าวไปบนสะพานเพื่อจะเดินกลับต้องหยุดชะงัก เมื่อเขาบังเอิญมองไปที่ราวตากผ้า และเตะตากับผ้าผืนหนึ่ง ที่คล้าย ๆ ว่าเขาเคยเห็นเธอใช้มันคลุมหัวเอาไว้ตอนที่ทำนาอยู่กับเขา ผ้าผืนนั้นถูกดึงมาดูใกล้ ๆ ทันที มันช่างเหมือนผ้าของเธอเหลือเกิน หรือว่าเธอจะมาที่นี่ แล้วเธอจะมาทำไม

“ไข่คึดว่าผ่าผืนนี่มันคุ้น ๆ บ่ มันคือกันกับผ่าของคุณเข่า” เขาหันไปถามไข่ที่เดินตามเขามา
“ผมกะวายูอ้ายน้ำ คือแมนคุณเข่าเลาสิมานี่บ้อ” ไข่เองก็สงสัยไม่แพ้กัน
“คันจั๊งซั่นเฮากะนังถ่าเบิงยูนี่ซะกอน ไห่ลุงกับป้ากับม่าซะกอน”
เขาบอกก่อนจะเดินไปเปิดประตูกระท่อมแล้วก็นั่งอยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็ไม่ปรากฏว่าจะมีใครมาที่กระท่อมเลยสักคน ฟ้าเริ่มจะปิดแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาเลยสักคน

“อ้ายน้ำคำแล่วสิเอาจั๊งได๋อ้าย”
ไข่ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ถามขึ้น เพราะไม่รู้เจ้านายจะเอายังไง ด้วยฟ้าเริ่มจะปิดแล้ว
“ไป๋นอนโรงแรมในเมืองซะก๊อน มื่ออื่นเฮาสิมาใหม่”
เขาตัดสินในที่จะเข้าไปนอนที่โรงแรมในเมืองก่อน พรุ่งนี้ถึงจะมารอที่นี่อีกครั้ง

“แล่วเฮาสิไปงานแตงทันบ่ล่ะอ้าย”
ไข่ถาม เพราะกลัวจะไปไม่ทันงานแต่งงาน
“ทันเฮามากอนงานตั้งหลายมื่อ”
เขาบอก เพราะว่าเขาออกเดินทางก่อนวันแต่งงานของพันธ์ถึงสามวัน เพราะกะว่าจะมาช่วยเพื่อนเตรียมงานก่อน แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว เขาจะมานั่งเฝ้ากระท่อมของลุงกับป้าแทน

รถเข้ามาจอดที่โรงแรมที่เขาเคยพาเธอมานอกพัก ห้องที่เขาเปิดเข้าไปพักกับไข่หากเขาจะมาเร็วกว่านี้สักนิด เขาก็คงจะมีโอกาสได้เห็นเธอที่เดินเข้า ๆ ออก ๆ ห้องข้าง ๆ บ้าง แต่วันนี้ไม่มีเธอแล้ว เขมินท์รีบตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชิน เขาทิ้งให้ไข่นอนรอที่ห้อง ส่วนตัวเองรีบขับรถมาที่กระท่อมอีกครั้ง และนั่งปักหลักรออยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่มีใครมาจนเขารู้สึกหิว จึงกลับเข้าไปในโรงแรม และรับไข่ออกมาที่กระท่อมอีกหลังจากกินอะไรไปแล้ว

สองหนุ่มต่างก็นั่งปักหลักอยู่อย่างนั้นจนเวลาค่ำมืดของวันเข้ามาเยือน จึงได้พากันกลับไปนอนที่โรงแรมอีกคืน พอรุ่งเช้าเขาก็เช็คเอ้าส์เพื่อเดินทางไปเชียงรายต่อ แต่ก่อนจะไปเขาก็ยังไม่วายที่จะวกกลับมาดูที่กระท่อมอีกครั้ง แต่มันก็ว่างเปล่า ผ้าผืนนั้นถูกเขาเอากลับไปตากไว้ที่เดิม เพราะคิดว่ามันคงจะไม่ใช่ของ ๆ เธอแล้ว รถของเขาเคลื่อนตัวออกจากตรงนั้น

และเขาคงจะได้ยิ้มออกมาหากวันนี้เขาอดทนรออยู่ที่กระท่อมอีกสักวัน เพราะภรัณยาพาทุกคนกลับมาถึงกระท่อมในเวลาบ่าย ๆ เธออดสงสารด้วงไม่ได้ที่ต้องหอบเอาความผิดหวังกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง เพราะที่อยู่ที่ป้าบัวให้ไปตามหา มันไม่มีลูกสาวของป้าบัวอยู่อีกต่อไปแล้ว และก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าลูกสาวแกย้ายไปอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าลูกสาวแกแต่งงานใหม่แล้วก็จากที่นั่นไปหลายปีแล้ว การออกตามหาแม่ด้วงจึงต้องหยุดเอาไว้แค่นั้น เพราะเธอไม่สามารถจะช่วยไปได้มากกว่านี้แล้ว จึงพาทุกคนกลับ หลังจากที่ไปนอนพักที่บ้านเธอหนึ่งคืน

“ด้วงอย่าคิดมากนะ เรายังมีตากับยายที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วก็มีน้าข้าวอีกคน” เธอปลอบด้วง
“ครับน้าข้าว ผมขอบคุณมาก ๆ นะครับที่พาผมกับตากับยายไปหาแม่” ด้วงรับคำและยกมือไหว้เธอ
“พาตากับยายไปพักเถอะเดินทางมาไกล ๆ คงจะเหนื่อย น้าข้าวก็เหนื่อยเหมือนกัน จะไปพักหน่อย”
เธอบอกก่อนจะออกรถตรงเข้าไปยังโรงแรมที่เธอเคยพัก และเธอก็ยังคงได้ห้องเดิมที่เคยพักก่อนที่จะเข้ากรุงเทพฯ อีก

โทรศัพท์มือถือดังขึ้นเมื่อเขมินท์กำลังนั่งรวมอยู่กับแขกหลาย ๆ คนที่มาร่วมงานแต่งของเพื่อน พิธีสำคัญ ๆ เพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน ที่เหลือก็แค่ทุก ๆ คนจะมานั่งกินข้าวร่วมกัน แล้วก็เป็นอันเสร็จงาน เขมินท์ต้องรีบผละออกจากกลุ่มคน เมื่อพบว่าเจนจิราโทรเข้ามา

“คุณเจนสวัสดีครับ” เขาทักทายเธอเมื่อได้มาอยู่ตามลำพังแล้ว
“คุณน้ำคะ เมื่อกี้ป้าข้าง ๆ บ้านยายข้าวโทรมาบอกเจนว่าเห็นรถยายข้าวจอดอยู่ที่บ้านคืนก่อนค่ะ”
เจนจิราโทรมาบอก เพราะครั้งก่อนได้ไปบอกป้าข้าง ๆ บ้านไว้ ว่าถ้าเห็นภรัณยามาให้โทรไปบอกเธอทันที
“จริงเหรอครับ งั้นผมจะรีบกลับไปครับ” เขารีบบอกด้วยความตื่นเต้น

“เดี๋ยว ๆ ค่ะคุณน้ำ แต่ตอนนี้ไม่มีรถยายข้าวแล้วนะคะ ป้าบอกว่าเห็นแต่รถยายข้าวตอนกลางคืนดึกมากแล้ว พอตอนเช้าก็ไม่เห็นรถแล้วค่ะ ไม่รู้ว่ายายข้าวจะไปที่ไหนอีก นี่เจนก็บอกให้ป้ารอดูเผื่อยายข้าวจะกลับเข้ามาอีก แต่ป้าแกรอดูมาตั้งวันหนึ่งแล้ว ก็ไม่เห็นยายข้าวกลับเข้าไปอีกเลยค่ะ” เสียงเจนจิราบอกตามสายมา

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ผมจะไปนั่งรอข้าวที่นั่นจนกว่าจะกลับมา ให้มันรู้ไปสิครับว่าเขาจะไม่ยอมกลับบ้านตัวเอง”
เขาบอกด้วยความมุ่งมั่น แล้วก็เดินเข้ามาอวยพรเพื่อนรักและลาจากไปในเวลาอันใกล้ ๆ กัน แรกทีเดียวเขาอยากจะขึ้นเครื่องไปที่กรุงเทพฯ เลย แต่คิด ๆ อีกทีก็เห็นว่าเอารถไปจะดีกว่า เพราะมีไข่ช่วยขับอยู่แล้ว

“ไข่แวกระท่อมลุงกับป้าซะก๊อน”
เขาสั่งไข่เมื่อใกล้จะถึงกระท่อม ไข่จึงรีบยูเทรินกลับมาตามคำสั่งทันที เขารีบวิ่งไปที่กระท่อม และก็ไม่ผิดหวังเพราะครั้งนี้เขาได้พบกับลุงและป้าแล้ว ผ้าผืนนั้นถูกเขาดึงมาถามลุงกับป้าทันที
“ของหนูข้าวค่ะ ก็คนที่มากับพ่อหนุ่มคราวก่อนนั่นไงคะ” ป้าบัวบอก ทำให้เขานั้นยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“จริงเหรอครับป้า แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนครับ ป้าบอกผมมาเร็ว ๆ ครับ” เขารีบซักป้าทันที

“ป้าไม่รู้ว่าหนูข้าวอยู่ที่ไหนตอนนี้ ไม่รู้ว่ากลับกรุงเทพฯ ไปหรือยัง เพราะเมื่อวานนี้หนูข้าวไม่ได้มาที่นี่เลย”
“อะไรนะครับ แล้วเขามาอยู่ที่นี่นานหรือยังครับ แล้วเขามาทำอะไรอยู่กับลุงและป้าครับ....”
แล้วคำถามร้อยแปดก็ถูกเขาป้อนถามลุงและป้า ไม่นานรถของเขาก็ขับออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เพราะเขาคาดเดาเอาว่าเธอจะต้องพักอยู่ที่โรงแรมที่เขาเคยพาเธอไปพักเป็นแน่

ระยะทางจากกระท่อมไปหาโรงแรมตอนนี้มันช่างยาวไกลสำหรับเขาเหลือเกิน ไข่นำรถเข้าไปที่ประตูทางเข้า และหากเขาจะหันไปมองทางออกก็คงจะเห็นรถของเธอกำลังเคลื่อนออกไปจากโรงแรมพอดี เพราะวันนี้เธอเช็คเอ้าส์แล้ว และกะว่าจะขับรถไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมายต่อไป แต่เขมินท์ก็ไม่ได้มองไปทางไหนนอกจากรีบลงจากรถและวิ่งไปหาประชาสัมพันธ์ทันที
แล้วเขาก็ให้โกรธตัวเองนักที่คลาดกับเธอไป ๆ มา ๆ เมื่อรู้จากประชาสัมพันธ์ว่าเธอมาพักที่นี่ และอยู่ห้องข้าง ๆ เขาตั้งหลายคืน และตอนนี้เธอก็เพิ่งจะเช็คเอ้าส์ออกไปแล้ว

“แล้วเขาจะไปที่ไหนคุณพอจะรู้มั้ยครับ”
คำถามที่ฟังดูจะแปลก ๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ก็ถูกเขาถามออกไป
“เอ่อ ไม่ทราบค่ะ”
เขาก็พอจะเดาได้ว่าจะได้คำตอบนี้ จึงรีบวิ่งกลับมาที่รถและสั่งให้ไข่ขับวนดูรอบ ๆ โรงแรมแต่ก็คว้าน้ำเหลว เขาโกรธตัวเองแทบจะคลั่ง แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ จึงให้ไข่ขับรถกลับทางเดิม
“ไข่ยูเทรินไป่กะท่อมอีกจั๊กเทือแน”
เขาบอกไข่ และไม่นานรถของเขาก็มาจอดอยู่ข้างทางหน้ากระท่อม เขามองดูบริเวณใกล้ ๆ ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีรถของเธอจอดอยู่แถว ๆ นั้น เขามองไปที่กระท่อมก็พบว่าไม่มีร่างของเธอเลย

“ปะไป๋กรุงเทพฯ โลด บ่ฮู่วาเลาไป่ไสแล้วล่ะ”
เขาบอกไข่ให้ออกรถมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ในที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเธอจะไปที่ไหนต่ออีก หลังจากนั่งรออยู่ที่รถได้สักพัก ไข่ได้แต่หันไปมองเจ้านายที่ตอนนี้มีอาการอ่อนใจลงอย่างเห็นได้ชัด ไข่ขับรถออกไปช้า ๆ แล้วก็ยูเทรินเพื่อกลับ แต่ไข่ยังไม่วายหันไปมองถนนอีกฟากที่เป็นจุดที่ตรงกับกระท่อมอีกครั้ง เผื่อว่าจะเจอรถคุณเข่าบ้าง แต่ก็ไม่มี ส่วนเขมินท์นั้นไม่คิดหวังอะไรอีกแล้ว จึงเอนเบาะลงและก็หลับตาเพื่อไล่ความเครียดให้ออกไปจากหัว

“จอดรถเฮ็ดอีหยังไข่” เขาถามเมื่อรู้สึกว่าไข่นำรถชิดซ้ายและจอด
“อ้ายน้ำผมวาผมเห็นรถคุณเข่าจอดถ่ายูเทรินยูทางหลังเฮาลิ ผมหัวกะขับพานเลามาวังนึงหั่น”
ไข่บอก เพราะเหมือนเห็นรถภรัณยาจอดรอยูเทรินตรงที่เขาขับผ่านมา แต่ไข่ไม่แน่ใจ
“มันบ่แมนดอก สงสัยไข่สิตาฝาด ฟ่าว ๆ ไปกรุงเทพฯ โลด” เขาบอกโดยไม่ได้สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

“ข่อยสิขับกับไป่เบิ่งใหม่ บัดทาแมนคุณเข่าอีหลี”
ไข่บอกแล้วก็ขับรถตรงไปข้างหน้าเพื่อหาที่ยูเทรินเพื่อกลับมาที่กระท่อมอีกครั้ง แต่มันก็อยู่ห่างจากจุดยูเทรินแรกเหลือเกิน จนไข่อยากจะถอดใจ แต่ไข่ก็ไม่ทำยังคงขับไปจนเจอที่ยูเทริน ไข่ขับรถกลับมาด้วยความเร็ว แล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่เห็นรถคุณเข่าจอดอยู่ตรงหน้ากระท่อมจริง ๆ

“อ้ายน้ำ ๆ ๆ ลุก ๆ ๆ อ้าย หั่นเด้ ๆ รถคุณเข่าอีหลี หั่นจอดยูหม่องหั่น”
ไข่รีบเรียกเจ้านายด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นรถคุณเข่าจอดอยู่ ทำให้เขมินท์แทบจะดีดตัวขึ้นมาจากเบาะก็ว่าได้
“จริง ๆ ด้วย ไอ้ไข่แกทำดีมาก ฉันจะตบรางวัลแกอย่างงามเลย”
เขาบอกและรีบวิ่งลงไปจากรถทันทีเมื่อรถจอด ช่วงขายาว ๆ ของเขารีบสาวไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แล้วเขาก็พบว่าเธอกำลังเดินข้ามสะพานมา น้ำตาของเขามันไหลออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด ที่เขาตามหาเธอพบซักที

ภรัณยาเองก็ตกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็พบเขาที่นี่ หลังจากที่ป้าบัวเพิ่งจะบอกไปว่าเขาวแวะมาเยี่ยมและถามหาเธอด้วย แต่ป้าบัวก็ไม่ได้บอกว่าเขามาถามหาทำไม ส่วนเธอก็ไม่อยากจะรู้ด้วย จึงไม่ได้สนใจอะไร นอกจากลาป้าบัวกับลุงแดง พร้อมให้เงินคนทั้งสองเอาไว้จำนวนหนึ่ง ก่อนที่เธอจะจากไป แต่ก็พบเขาก่อน

“ข้าว ข้าวรู้มั้ยว่าพี่ดีใจมากแค่ไหนที่พบข้าววันนี้ ข้าวอย่าหนีพี่ไปไหนอีกเลยนะ พี่ขอร้อง กลับบ้านเราเถอะทุก ๆ คนที่บ้านกำลังรอข้าวอยู่ โดยเฉพาะพี่ที่เฝ้ารอข้าวแทบจะทุกลมหายใจ”
เขมินท์เดินไปที่สะพานที่มีเธอยืนอยู่ตรงกลางอย่างนั้น
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องหนีใคร”
เธอบอกด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่หมางเมินกับเขา
“แต่ข้าวกำลังหนีพี่ กำลังหนีความจริง และกำลังหนีหัวใจตัวเอง”
“ฉันบอกคุณแล้วว่าฉันไม่ได้หนีอะไร กรุณาหลีกทางด้วย ฉันจะกลับ”

“ข้าว ข้าวรู้มั้ยว่ากำลังเข้าใจผิดพี่อย่างมาก พี่ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับน้องโอ๊ะ และไม่เคยคิดที่จะรักน้องโอ๊ะไปในทางอื่นนอกจากจะรักแบบน้องสาว”
“ฉันไม่อยากจะฟัง มันเป็นเรื่องของคุณ”

“แต่ข้าวจะต้องฟัง และฟังพี่พูดให้จบด้วย ข้าว...พี่ไม่เคยคิดมองผู้หญิงคนไหนนอกจากข้าว พี่ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับใครนอกจากข้าว และพี่ก็ไม่เคยคิดที่จะรักใครนอกจากรักข้าว ได้โปรดอย่าหนีพี่ไปไหนอีกเลยนะ ชีวิตที่อยู่โดยไม่มีข้าวมันทรมานเหลือเกิน พี่รักข้าวได้ยินมั้ยว่าพี่รักข้าว”

สิ้นเสียงของเขา ร่างของเธอก็ถูกเขาดึงมากอดแนบอกเอาไว้ แล้วเขาก็ปล่อยให้น้ำตาแห่งความดีใจไหลออกมา เพราะเปิดเผยความในใจให้เธอได้รู้ หลังจากที่เขาปล่อยให้เวลามันผ่านไปจนเกือบจะไม่มีโอกาสที่จะได้บอกเธอแล้ว

ภรัณยาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาบอกเธอเมื่อสักครู่นี้ เธออยากจะถามตัวเองว่านี่ใช่ความฝันหรือไม่ นี่เธอคิดถึงเขามากจนสร้างภาพว่าเขามายืนบอกรักเธออยู่แบบนี้ใช่มั้ย แต่อกอุ่น ๆ ของเขาในตอนนี้บอกเธอได้ว่า มันไม่น่าจะเป็นความฝันหรือถ้าเป็นเธอก็อยากจะให้มันคือความจริง อยากจะให้ผู้ชายที่ยืนกอดเธอขณะนี้เป็นเขาจริง
แต่เธอก็ให้สงสัยไม่น้อยว่าถ้าเป็นเขาจริง แล้วทำไมเขาไม่ได้แต่งงานกับคุณโอ๊ะ ทำไมเขาถึงได้มาตามหาเธอ แล้วตามหาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมเธอถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย คำถามร้อยแปดมันผุดขึ้นในหัวเธอตอนนี้

“ข้าวแต่งงานกับพี่นะ พี่รักข้าว รักมานานแล้ว แต่พี่ก็ไม่ได้บอกให้ข้าวรู้ มันยังไม่สายใช่มั้ยถ้าพี่จะบอกข้าวและขอข้าวแต่งงานวันนี้ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำให้น้าฑลผิดหวังในตัวพี่เด็ดขาด” เขาบอกเมื่อละวงแขนออกจากร่างเธอ และนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ พร้อม ๆ กับดึงแหวนที่เขาติดตัวเอาไว้ตลอดเวลาออกมา

ภรัณยาได้แต่ยืนงงอยู่อย่างนั้น และบอกตัวเองว่านี่คือเขา เป็นเขาจริง ๆ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี้ หญิงสาวได้แต่ปล่อยให้เขาดึงมือเรียวงามไปกุมไว้ ก่อนจะบรรจงสวมแหวนไปที่นิ้วนางของเธออย่างแผ่วเบา เธอจ้องมองหน้าเขาพร้อม ๆ ทั้งน้ำตาแห่งความดีใจที่ไหลออกมา เมื่อประจักษุ์แล้วว่านี่คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน

“พี่รักข้าวนะ”
เขาบอกหลังจากสวมแหวนให้เธอ และยกมือเธอไปจูบเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอ

“ข้าวก็รักพี่น้ำค่ะ”
เธอบอกพร้อมทั้งน้ำตาแห่งความดีใจที่ไหลอาบแก้มลงมา ทำให้เขาถึงกับยิ้มกว้าง ๆ ออกมาทั้งน้ำตาเช่นกัน แล้วก็ดึงร่างเธอมาสวมกอดเขาเอาไว้จนแนบแน่น ประหนึ่งว่าเขากลัวเธอจะหลุดหายไปไหน รอยยิ้มของป้าบัวกับลุงแดงที่ยืนดูหนุ่มสาวสวมกอดกันอยู่กลางสะพานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้สูงวัย และมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับไข่นัก ที่ยืนมองเจ้านายอยู่อีกฟากของสะพาน ไข่ดีใจและยิ้มออกมาจนแก้มจะปริ ประหนึ่งว่าเขาได้คนรักกลับคืนมาซะเองก็ไม่ปาน

“ไข่เอารถคุณเข่าเมือ เดี๋ยวอ้ายสิขับคันนี่”
เขมินท์จูงมือเธอมาที่รถแล้วโยนกุญแจรถเธอให้ไข่ไป ส่วนเขาก็พาเธอไปนั่งรถของเขาแทน
“โอ๊ย พอได้แฟนแล่วกะทิ่มเฮาโลดเนาะ อ้ายน้ำน้ออ้ายน้ำ”
ไข่บ่นว่าลูกพี่พอได้แฟนแล้วก็ทิ้งลูกน้องเลย แต่ก็ยิ้มออกมาก่อนจะเดินไปที่รถและขับออกไปเพียงลำพัง เขมินท์ได้แต่มองตามลูกน้องไป แล้วก็ยิ้มด้วยความขำ แล้วเขาก็ขึ้นไปนั่งในรถใกล้ ๆ กับเธอ

“ฮัลโหล คุณน้าเหรอครับ ผมตามตัวเจ้าสาวเจอแล้วนะครับ ผมฝากบอกคุณพ่อว่าให้ช่วยจัดงานแต่งให้ผมด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ” เขาวางสายและหันมาหาเธอ ก่อนจะยิ้มให้ด้วยความดีใจ ที่เห็นเธอทำหน้าเอียงอายอีกแล้ว

“ข้าวพี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าอายแบบนี้ มันทำให้พี่...”
เขาคว้าเอาร่างเธอเข้ามาใกล้ ๆ แล้วก็บรรจงจูบเธออยู่ตรงนั้น โดยไม่ได้สนใจกับรถที่วิ่งผ่านไปมาแม้แต่น้อย
“พี่น้ำปล่อยข้าวค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” เธอต้องห้ามเขาอีกแล้ว
“ก็พี่รักข้าวนี่ คืนนี้เราหาที่นอนที่นี่เถอะนะข้าว พี่ไม่อยากจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกแล้ว เดี๋ยวข้าวจะหนีพี่ไปอีก”
เขาบอกเพื่อให้เธอได้รู้ความนัยอะไรบางอย่าง

“บ้า ไม่เอาพาข้าวกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ ยังไม่ได้แต่งงานคนอีสานเขาถือ” เธอทุบไปที่ไหล่เขาเบา ๆ
“แต่พี่ไม่ถือนี่ นะข้าวนะ พี่คิดถึงข้าวจะแย่แล้ว” เขายังคงดึงดันอยู่อย่างนั้น
“ไม่ค่ะ พี่น้ำห้ามมาทำอะไรข้าวก่อนวันแต่งงานเด็ดขาด ไม่งั้นข้าวจะหนีไปอีก”
เธอขู่เขา ทั้ง ๆ ที่ในใจนั้นก็ล่องลอยไปตามสิ่งที่เขาบอก แต่เธอก็ไม่อยากจะปล่อยให้อะไร ๆ มันไม่ถูกไม่ควรจึงจำเป็นจะต้องอดทนรอให้ได้

“โอเค ๆ ไม่ทำก็ไม่ทำ กลับบ้านก็ได้ แต่พี่รับรองว่างานแต่งงานของเราจะต้องมีขึ้นภายในเจ็ดวันอย่างแน่นอน”
เขาบอกแล้วก็รีบออกรถไป ส่วนอีกมือหนึ่งก็ดึงเอามือเธอมากุมเอาไว้สลับกับการหอมแก้มในทุก ๆ ครั้งที่เขาจอดรถเติมน้ำมันหรือเข้าห้องน้ำ หรือกินข้าว เขาไม่สนใจว่าใครจะมอง เพราะเขามีความสุขที่สุดที่ได้อยู่ใกล้ ๆ เธอ และเขาก็ทำแบบนี้จนแทบจะตลอดของการเดินทาง







 

Create Date : 02 ธันวาคม 2551
3 comments
Last Update : 2 ธันวาคม 2551 10:21:49 น.
Counter : 402 Pageviews.

 

ลุ้นมาตั้งนานในที่สุดก็ลงเอยกันซะที จะว่าเรียบร้อยซะทีเดียวก็ไม่ใช่ต้องรอให้แต่งซะเรียบร้อยก่อน

 

โดย: น้องค่ะ (หนึ่งมณี ) 2 ธันวาคม 2551 14:22:25 น.  

 

คุณธัญรัตน์

จะสะดวกให้เมนท์ที่นี่ไหม อ่านเป็นตอน ๆ แล้วเมนท์ สักสองสามตอนจะมองเห็นส่วนที่ต้องปรับแก้ หรือเพิ่มเติมได้ฮะ ถ้ารอเป็นเมล์ ท่าจะอีกนานอะ

 

โดย: Robinhood IP: 117.47.166.153 3 ธันวาคม 2551 11:13:41 น.  

 

คุณน้องหนึ่งคะ เรื่องนี้แต่งจบแล้วนะคะ แต่ยังลงไม่จบเท่านั้นเอง ตามอ่านเรื่อย ๆ นะคะ

คุณโรบิ้นฯ คะ ยังไง ๆ ขอเป็นแบบที่ขอไว้ดีกว่าค่ะ
นานแค่ไหนก็รอได้ค่ะ

 

โดย: ธัญญะ 4 ธันวาคม 2551 7:46:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.