เส้นทางที่ต้องเดินแยกไป
ขอย้อนเวลาไปหลายๆปี...เพื่อที่จะเล่าเรื่องนี้ค่ะ
หลังจากเรียนจบ ม.3 จากโรงเรียนใกล้บ้าน เก๋ก็ได้รับโควต้าไปเรียนต่อ ม.ปลายที่โรงเรียนในตัวจังหวัด เป็นโครงการหลักสูตรเร่งรัดที่รวบเวลาเรียนช่วง ม.ปลาย จากสามปี เหลือแค่สองปี
โรงเรียนที่เข้ามาเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของจังหวัด เด็กๆที่เข้ามาเรียนต่างเป็นหัวกะทิที่ได้รับคัดเลือกจากหลายโรงเรียนในภาคใต้ สำหรับตัวเก๋เองไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่ง และไม่ใช่เด็กเรียน แต่ที่มาที่นี่ก็เพราะอยากที่จะได้เข้าเรียนโรงเรียนนี้เท่านั้น เก๋ไม่ทราบรายละเอียดของโครงการแม้แต่น้อย
เปิดเรียนวันแรก...เป็นวันที่ทำให้รู้สึกเครียดและกดดัน บรรยากาศในห้องเรียนค่อนข้างจะเป็นอะไรที่น่าอึดอัด ไม่มีการทักทายกันในหมู่เพื่อนร่วมห้อง เมื่อถึงคาบเรียนแต่ละวิชา อาจารย์จะเข้ามาแนะนำหลักสูตรว่าจะมีสอนอะไรบ้าง อาจารย์แทบจะทุกคนต่างพูดถึงความคาดหวัง และย้ำให้เราตั้งใจเพื่อจะได้เป็นเด็กที่มีคุณภาพของโครงการ
แล้วชีวิตการเรียนที่นี่ก็เริ่มขึ้น การเรียนของเราจะเริ่มที่ม.4 แล้วปีที่สองก็จะกระโดดไป ม.6 เลย แต่ในหลักสูตรจะบรรจุเนื้อหาการเรียนตั้งแต่ม.4, 5, 6 ไว้ เราไม่ได้เรียนน้อยลง แต่เราโดนอัดความรู้เข้าไปในแต่ละวันมากขึ้นกว่าเพื่อนๆห้องอื่นๆ
การเรียนของเราจะเรียนตั้งแต่คาบ 0 เวลาเรียนอยู่ที่ประมาณเจ็ดโมงเช้า ...พวกเราไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ หลังจากจบคาบ 0 เราก็จะเรียนคาบ 1 พร้อมกับห้องอื่นๆ ในช่วงเวลาเย็น ห้องอื่นจะหมดคาบเรียนในแต่ละวันในคาบที่ 8 แต่ของเราจะต่อท้ายด้วยคาบที่ 9, 10 หรือ วันไหนยาวหน่อยก็จะมีคาบ 11 ภาพที่เห็นซ้ำๆในแต่ละวันตอนเดินกลับบ้านคือ ไฟที่ส่องสว่างตามตึกเรียนแต่ละตึก ส่วนบรรยากาศในห้องเรียนกับเพื่อนๆก็ไม่มีความสนุกหรือผ่อนคลายเลยซักนิด เมื่อมีเวลาว่างส่วนใหญ่ก็จะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะของตัวเอง กระเป๋าของแต่ละคนอ้วนจนซิปแทบจะแตกเพราะต้องขนหนังสือเล่มโตๆหลายๆเล่มไว้ในนั้น ที่นี่มีกฎระเบียบไม่ให้นักเรียนหญิงไว้ผมยาวเกินติ่งหู แต่พวกเราหลายคนเลือกที่จะตัดสูงขึ้นไปประมาณครึ่งใบหูเพื่อไม่ให้เสียเวลาตัดผมหลายรอบ สิ่งเหล่านี้ที่พวกเราทำเหมือนจะเป็นที่น่าขบขันสำหรับคนอื่นๆในโรงเรียน
พวกเราใช้ชีวิตชีวิตการเรียนแบบไม่มีเวลาหยุดพักมาเรื่อยๆ จนจบหลักสูตร ม. 4 เริ่มต้นการเรียนชั้น ม. 5 เก๋เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนๆหลายๆคนในห้อง เพื่อนบางคนที่เคยสดใสร่าเริงกลายเป็นคนนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดคุยกับใคร หลายคนมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา บางครั้งก็หงุดหงิดใส่เพื่อนคนอื่นๆแบบไม่มีสาเหตุ หลายคนกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายที่คอยจะเหวี่ยงคนรอบข้างแบบไม่มีเหตุผล บางคนมีความคิดและการกระทำแปลกๆ เป็นสภาพทางอารมณ์ที่ค่อนข้างจะปรวนแปร เก๋เริ่มเอะใจ...ในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆหลายๆคน
เมื่อเห็นความผิดปกติ... เก๋เริ่มหันมาสังเกตุตัวเอง ที่ผ่านมาพวกเราอยู่บนความเครียดและกดดันตลอดเวลา อาการปวดหัวแทบจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเก๋ เมื่อปวดหัวก็ทานยาพาราฯ ทานแทบจะทุกวันจนเริ่มไม่หายปวด ต้องทานในปริมาณที่มากขึ้น เก๋ต้องทานยาถึง 3 เม็ด ในช่วงหลังๆ ในตอนนั้นเก๋ไม่ทราบหรอกว่ามันเยอะเกินไป คิดเพียงแค่ทำยังไงก็ได้ให้หายปวด เพื่อจะได้เรียนในแต่ละวันได้
เมื่อเก๋เห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนๆ และเห็นสุขภาพที่แย่ลงของตัวเอง เก๋เริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่กำลังทำนี้ไม่ได้เป็นสิ่งดีกับชีวิตเก๋แน่
เก๋เริ่มต่อต้านกับสิ่งที่กำลังทำ คิดว่าโครงการมุ่งอัดทุกอย่างเพื่อให้ได้เด็กที่มีคุณภาพ แต่ไม่เคยทราบเลยว่า พฤติกรรมของเด็กแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าเป็นห่วง เก๋ตัดสินใจเดินแยกออกไปจากเส้นทางที่กำลังเดิน สิ่งที่เริ่มต้นทำคือ หาเวลาพัก และออกไปจากสิ่งแวดล้อมของความเคร่งเครียดและกดดัน เก๋เริ่มเดินออกจากห้องในช่วงพักกลางวันหลังทานข้าวเสร็จ ซึ่งเป็นเวลาที่เพื่อนทุกคนจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เก๋มักไปนั่งอยู่กับเพื่อนต่างห้อง(ที่อยู่บ้านเช่าเดียวกัน) ซึ่งเพื่อนคนนั้นก็จะมีกลุ่มเพื่อนๆกลุ่มใหญ่...ทั้งหมดเป็นเด็กสายศิลป์ โดยพื้นฐานเก๋เป็นคนเงียบอยู่แล้วจึงมักนั่งฟังทุกๆคนคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเก๋แยกออกจากห้องเรียนทุกๆครั้งที่มีเวลาว่าง ปัญหาของเก๋ก็ตามมา เพราะหากมีอาจารย์เดินเข้ามาแจ้งข่าวเรื่องการสอบ เรื่องนัดเรียนเสริมในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ หรือหากอาจารย์แจกเอกสารการเรียนไว้ให้ ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเก็บเอกสารไว้ให้เก๋ หรือบอกเก๋เรื่องที่อาจารย์แจ้งข่าวไว้เลย มันทำให้เก๋ประหลาดใจมาก...ที่ไม่มีใครสนใจใครนอกจากเรื่องของตัวเอง
การกระทำของเก๋หลังจากนั้นกลายเป็นสิ่งแปลกในสายตาเพื่อนๆ เพื่อนไม่เข้าใจว่าทำไมเก๋ไม่อ่านหนังสือในเวลาว่าง ทั้งๆที่ทุกคนพยายามกอบโกยเวลาอ่านหนังสือให้มากที่สุดเพื่อจะทำคะแนนได้สูงๆ
ความต่อต้านในใจของเก๋มากขึ้น และหนักขึ้นทุกวัน อาจารย์สอนฟิสิกส์คนหนึ่ง มีวิธีการสอนที่ทำให้เก๋รู้สึกเบื่อ อาจารย์เป็นอาจารย์ผู้ชาย จบดอกเตอร์ใส่แว่นหนา น้ำเสียงทุ้ม ทุกๆครั้งที่เข้ามาสอนก็จะหันหลังเขียนๆสูตรบนไวท์บอร์ดสอน น้อยครั้งที่จะหันมามองเด็กๆในห้องเรียน มันทำให้เก๋ไม่ชอบเรียนวิชาฟิสิกส์ขึ้นมาทันที หลังๆเก๋มักจะหาวันที่มีคาบเรียนฟิสิกส์เยอะๆเพื่อหยุดเรียนในวันนั้น หยุดพักอยู่ห้องบ้าง...นอนอ่านหนังสือเรียนบ้าง และทำในสิ่งที่เก๋อยากทำ
เก๋ลาบ่อยจนโดนอาจารย์เพ่งเล็ง ในที่สุดเก๋ก็โดนอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกพบ ไม่มีคำอธิบายอะไรนอกจากตอบอาจารย์ไปว่า เก๋ไม่สบาย
เก๋รู้สึกได้ว่านอกจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วก็มีอาจารย์ที่สอนวิชาอื่นเห็นถึงความผิดปกติจากการลาของเก๋ อาจารย์สอนชีววิทยาเคยเข้ามาคุยอย่างเป็นกันเอง และมีคำถามคล้ายๆว่าเก๋มีปัญหาอื่นๆอยู่รึเปล่า สามารถปรึกษาอาจารย์ได้ เก๋เลือกที่จะไม่อธิบายสิ่งที่ตัวเองคิดในตอนนั้นให้อาจารย์ทราบ จะอธิบายอย่างไรกับความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการมีโครงการที่ทุกคนต่างคาดหวังว่าจะเป็นหน้าตาของโรงเรียน เราเป็นแค่เด็กๆที่โดนกดดันเพื่อให้ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนเมื่อเอ็นฯติดในคณะดีๆ เป็นการการันตีให้เด็กรุ่นหลังๆต่างก็พยายามที่จะแย่งชิงเข้ามาสู่จุดนี้ มันอาจเรียกว่าความสำเร็จสำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับเก๋แล้ว...เก๋แค่ต้องการชีวิตปกติของการเรียนม.ปลาย ในระดับที่พอเหมาะพอดี ที่จะไม่ทำลายสุขภาพของเก๋เอง
จากการปฏิบัติตัวแบบไม่ตามกระแสทำให้เพื่อนๆมักจะสงสัยในตัวเก๋ หลังจากสอบเสร็จ บางวิชาสอบเสร็จอาจารย์ก็จะเข้ามาแจ้งผลคะแนน บางวิชาก็อาจจะมีคนที่คะแนนไม่ผ่านในการสอบรอบนั้น เมื่อไหร่ที่อาจารย์บอกว่ามีคนที่สอบไม่ผ่าน...คนในห้องเรียนก็มักจะมองมาที่เก๋ แต่ผลก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เก๋เรียนอยู่ในระดับกลางๆของห้อง มีเพื่อนคนนึงเคยถามเก๋ตรงๆว่า ไม่เข้าเรียนแล้วทำข้อสอบได้ไง คงเป็นเพราะความไม่อยากทำตัวให้มีปัญหา และเก๋รู้ดีว่าหน้าที่ของเก๋ในตอนนี้คือเรียนหนังสือให้จบ
ชีวิตการเรียน ม.ปลายของใครหลายๆคนมักมีความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนและความสนุกสนาน แต่สำหรับเก๋แล้ว มีแต่ภาพของไฟที่ตึกเรียน มิตรภาพระหว่างเพื่อนๆดูเลือนลาง พวกเราไม่เคยได้ติดต่อหรือทราบข่าวของเพื่อนคนไหนหลังจบม.ปลาย หลายปีผ่านไป ตอนที่เก๋เรียนมหาวิทยาลัยปี 4 เก๋พบว่ามีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเอ็นท์ฯติดวิศวะม.ธรรมศาสตร์ กลับมาเรียนปี 1 ในสาขาเก๋กำลังเรียนอยู่ เก๋เจอเค้าในวันที่รับน้อง เพื่อนเล่าให้ฟังว่าตอนที่เค้าสอบติดธรรมศาสตร์ คิดว่านั่นคือความสำเร็จของช่วงม.ปลาย การเรียนของเค้าปี 1 เป็นไปได้ดี แต่เมื่อเรียนปี 2 และ 3 เค้าเริ่มเกเรมัวแต่เที่ยวไม่สนใจการเรียน ทำให้โดนรีไทร์ เค้าบอกกับเก๋ว่าเค้ารู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต ไม่กล้าเดินตามหลังพ่อแม่ กลัวท่านอาย และเค้าก็ไม่มั่นใจว่าจะเรียนที่นี่ได้จบรึเปล่า เพื่อนดูเปลียนไปมาก ดูไม่มั่นใจเหมือนคนเก่า เก๋ได้แต่ปลอบเพื่อน ให้เค้าเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มีอะไรสาย เก๋บอกเค้าว่าตอนที่เรียนม.ปลาย เค้าเรียนเก่งเป็นลำดับต้นๆของห้อง แต่เก๋ห่างไกลจากเค้าตั้งเยอะ เก๋ยังเรียนที่นี่ได้ เลยบอกเค้าว่าไม่ต้องกลัว เก๋คิดว่าเค้าทำได้ หลังจากนั้นเพื่อนก็มักจะโทรมาคุยเวลาที่รู้สึกหมดกำลังใจ ....เราคุยกันจนเค้าเรียนจบ ช่วงการเรียนม.ปลายที่เก๋ผ่านมานี้ทำให้รู้สึกว่า บางครั้งเราก็มุ่งมั่นกับชีวิตของเราจนทำให้มันตึงเครียดจนเกินไป เรามุ่งมองไปที่จุดหมายเดียว และผลักดันตัวเองให้เดินไปข้างหน้าไปเรื่อยๆ รู้แต่ว่าเราต้องเดิน จนลืมที่จะสำรวจดูตัวเอง ว่าสุขภาพและจิตใจเราเป็นอย่างไร ด้วยความเป็นเด็ก ณ ตอนนัั้น การตัดสินใจของเก๋อาจไม่ได้ดีที่สุด อาจมีบางอย่างที่เกินไปบ้าง ละเลยบางสิ่งที่ต้องทำบ้าง บางคนอาจไม่รู้สึกเห็นด้วย เก๋คิดว่าการตัดสินใจไม่มีคำว่าถูกผิด แต่ประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดสำหรับเก๋คือ การรู้จักหยุด..เพื่อคิดและทบทวน
ในเส้นทางชีวิตของแต่ละคน หลายคนมักกดดันตัวเองให้ทำในสิ่งที่คิดว่านั่นคือการประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะสังคมสอนเราแบบนั้น สังคมยกย่องคนเหล่านั้น ทำให้เราผลักดันตัวเองให้เดินตาม ความมุ่งมั่นเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จเป็นสิ่งดี แต่การกดดันตัวเองจนเกินควรทำให้เราเสียหลายๆอย่างในชีวิตไป สิ่งที่ดีที่สุดคือการหาจุดที่สมดุลในการใช้ชีวิตให้กับตัวเราให้เจอ เก๋เชื่อว่าจุดสมดุลของแต่ละคนไม่เท่ากัน และในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตเราจุดๆนั้นก็อาจเปลี่ยนไปตามเวลาและสถานการณ์
ความสำเร็จของชีวิตนั้นไม่มีจุดสิ้นสุด เมื่อเราผ่านจุดนึงเราก็มักจะวางจุดต่อๆไป ไปเรื่อยๆ เมื่อเราทำจนลืมตัวทุ่มเทกับมันไปจนสุดพลัง ละเลยสิ่งรอบข้างอื่นๆ ชีวิตของเราก็จะมีแต่ความเหนื่อย เหนื่อยจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต สุดท้ายแล้ว... ปลายทางของชีวิตมันก็มีแต่ความว่างเปล่า ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้พอเหมาะ...และพอดี จริงๆแล้วความสำเร็จสำหรับเก๋... ...มันอยู่ที่ความพึงพอใจในหัวใจเรา...ก็เท่านั้นเอง
Create Date : 25 สิงหาคม 2555 |
|
8 comments |
Last Update : 27 สิงหาคม 2555 9:48:45 น. |
Counter : 1283 Pageviews. |
|
|