เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คือเรื่องเล่าหลายๆเรื่อง..เมื่อเวลาผ่านไป
<<
สิงหาคม 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
25 สิงหาคม 2555

เส้นทางที่ต้องเดินแยกไป

ขอย้อนเวลาไปหลายๆปี...เพื่อที่จะเล่าเรื่องนี้ค่ะ


หลังจากเรียนจบ ม.3 จากโรงเรียนใกล้บ้าน

เก๋ก็ได้รับโควต้าไปเรียนต่อ ม.ปลายที่โรงเรียนในตัวจังหวัด

เป็นโครงการหลักสูตรเร่งรัดที่รวบเวลาเรียนช่วง ม.ปลาย จากสามปี เหลือแค่สองปี



โรงเรียนที่เข้ามาเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของจังหวัด

เด็กๆที่เข้ามาเรียนต่างเป็นหัวกะทิที่ได้รับคัดเลือกจากหลายโรงเรียนในภาคใต้

สำหรับตัวเก๋เองไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่ง และไม่ใช่เด็กเรียน

แต่ที่มาที่นี่ก็เพราะอยากที่จะได้เข้าเรียนโรงเรียนนี้เท่านั้น 

เก๋ไม่ทราบรายละเอียดของโครงการแม้แต่น้อย





เปิดเรียนวันแรก...เป็นวันที่ทำให้รู้สึกเครียดและกดดัน

บรรยากาศในห้องเรียนค่อนข้างจะเป็นอะไรที่น่าอึดอัด

ไม่มีการทักทายกันในหมู่เพื่อนร่วมห้อง

เมื่อถึงคาบเรียนแต่ละวิชา  อาจารย์จะเข้ามาแนะนำหลักสูตรว่าจะมีสอนอะไรบ้าง

อาจารย์แทบจะทุกคนต่างพูดถึงความคาดหวัง และย้ำให้เราตั้งใจเพื่อจะได้เป็นเด็กที่มีคุณภาพของโครงการ



แล้วชีวิตการเรียนที่นี่ก็เริ่มขึ้น

การเรียนของเราจะเริ่มที่ม.4 แล้วปีที่สองก็จะกระโดดไป ม.6 เลย

แต่ในหลักสูตรจะบรรจุเนื้อหาการเรียนตั้งแต่ม.4, 5, 6 ไว้

เราไม่ได้เรียนน้อยลง  แต่เราโดนอัดความรู้เข้าไปในแต่ละวันมากขึ้นกว่าเพื่อนๆห้องอื่นๆ




การเรียนของเราจะเรียนตั้งแต่คาบ 0 เวลาเรียนอยู่ที่ประมาณเจ็ดโมงเช้า

...พวกเราไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ

หลังจากจบคาบ 0 เราก็จะเรียนคาบ 1 พร้อมกับห้องอื่นๆ

ในช่วงเวลาเย็น ห้องอื่นจะหมดคาบเรียนในแต่ละวันในคาบที่ 8 แต่ของเราจะต่อท้ายด้วยคาบที่ 9, 10 หรือ วันไหนยาวหน่อยก็จะมีคาบ 11

ภาพที่เห็นซ้ำๆในแต่ละวันตอนเดินกลับบ้านคือ ไฟที่ส่องสว่างตามตึกเรียนแต่ละตึก

ส่วนบรรยากาศในห้องเรียนกับเพื่อนๆก็ไม่มีความสนุกหรือผ่อนคลายเลยซักนิด 

เมื่อมีเวลาว่างส่วนใหญ่ก็จะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะของตัวเอง

กระเป๋าของแต่ละคนอ้วนจนซิปแทบจะแตกเพราะต้องขนหนังสือเล่มโตๆหลายๆเล่มไว้ในนั้น

ที่นี่มีกฎระเบียบไม่ให้นักเรียนหญิงไว้ผมยาวเกินติ่งหู  แต่พวกเราหลายคนเลือกที่จะตัดสูงขึ้นไปประมาณครึ่งใบหูเพื่อไม่ให้เสียเวลาตัดผมหลายรอบ

สิ่งเหล่านี้ที่พวกเราทำเหมือนจะเป็นที่น่าขบขันสำหรับคนอื่นๆในโรงเรียน

 



พวกเราใช้ชีวิตชีวิตการเรียนแบบไม่มีเวลาหยุดพักมาเรื่อยๆ จนจบหลักสูตร ม. 4

เริ่มต้นการเรียนชั้น ม. 5 เก๋เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนๆหลายๆคนในห้อง

เพื่อนบางคนที่เคยสดใสร่าเริงกลายเป็นคนนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดคุยกับใคร

หลายคนมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา

บางครั้งก็หงุดหงิดใส่เพื่อนคนอื่นๆแบบไม่มีสาเหตุ

หลายคนกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายที่คอยจะเหวี่ยงคนรอบข้างแบบไม่มีเหตุผล

บางคนมีความคิดและการกระทำแปลกๆ

เป็นสภาพทางอารมณ์ที่ค่อนข้างจะปรวนแปร

เก๋เริ่มเอะใจ...ในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆหลายๆคน




เมื่อเห็นความผิดปกติ... เก๋เริ่มหันมาสังเกตุตัวเอง

ที่ผ่านมาพวกเราอยู่บนความเครียดและกดดันตลอดเวลา

อาการปวดหัวแทบจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเก๋  เมื่อปวดหัวก็ทานยาพาราฯ

ทานแทบจะทุกวันจนเริ่มไม่หายปวด  ต้องทานในปริมาณที่มากขึ้น

เก๋ต้องทานยาถึง 3 เม็ด ในช่วงหลังๆ

ในตอนนั้นเก๋ไม่ทราบหรอกว่ามันเยอะเกินไป

คิดเพียงแค่ทำยังไงก็ได้ให้หายปวด เพื่อจะได้เรียนในแต่ละวันได้




เมื่อเก๋เห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนๆ

และเห็นสุขภาพที่แย่ลงของตัวเอง

เก๋เริ่มเข้าใจว่า  สิ่งที่กำลังทำนี้ไม่ได้เป็นสิ่งดีกับชีวิตเก๋แน่

 


เก๋เริ่มต่อต้านกับสิ่งที่กำลังทำ 

คิดว่าโครงการมุ่งอัดทุกอย่างเพื่อให้ได้เด็กที่มีคุณภาพ

แต่ไม่เคยทราบเลยว่า  พฤติกรรมของเด็กแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าเป็นห่วง


เก๋ตัดสินใจเดินแยกออกไปจากเส้นทางที่กำลังเดิน

สิ่งที่เริ่มต้นทำคือ หาเวลาพัก  และออกไปจากสิ่งแวดล้อมของความเคร่งเครียดและกดดัน

เก๋เริ่มเดินออกจากห้องในช่วงพักกลางวันหลังทานข้าวเสร็จ   ซึ่งเป็นเวลาที่เพื่อนทุกคนจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ

เก๋มักไปนั่งอยู่กับเพื่อนต่างห้อง(ที่อยู่บ้านเช่าเดียวกัน) 

ซึ่งเพื่อนคนนั้นก็จะมีกลุ่มเพื่อนๆกลุ่มใหญ่...ทั้งหมดเป็นเด็กสายศิลป์

โดยพื้นฐานเก๋เป็นคนเงียบอยู่แล้วจึงมักนั่งฟังทุกๆคนคุยกันอย่างสนุกสนาน

 

เมื่อเก๋แยกออกจากห้องเรียนทุกๆครั้งที่มีเวลาว่าง   ปัญหาของเก๋ก็ตามมา

เพราะหากมีอาจารย์เดินเข้ามาแจ้งข่าวเรื่องการสอบ  เรื่องนัดเรียนเสริมในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ 

หรือหากอาจารย์แจกเอกสารการเรียนไว้ให้  ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเก็บเอกสารไว้ให้เก๋ หรือบอกเก๋เรื่องที่อาจารย์แจ้งข่าวไว้เลย

มันทำให้เก๋ประหลาดใจมาก...ที่ไม่มีใครสนใจใครนอกจากเรื่องของตัวเอง 




การกระทำของเก๋หลังจากนั้นกลายเป็นสิ่งแปลกในสายตาเพื่อนๆ

เพื่อนไม่เข้าใจว่าทำไมเก๋ไม่อ่านหนังสือในเวลาว่าง 

ทั้งๆที่ทุกคนพยายามกอบโกยเวลาอ่านหนังสือให้มากที่สุดเพื่อจะทำคะแนนได้สูงๆ


ความต่อต้านในใจของเก๋มากขึ้น  และหนักขึ้นทุกวัน

อาจารย์สอนฟิสิกส์คนหนึ่ง  มีวิธีการสอนที่ทำให้เก๋รู้สึกเบื่อ

อาจารย์เป็นอาจารย์ผู้ชาย จบดอกเตอร์ใส่แว่นหนา  น้ำเสียงทุ้ม 

ทุกๆครั้งที่เข้ามาสอนก็จะหันหลังเขียนๆสูตรบนไวท์บอร์ดสอน 

น้อยครั้งที่จะหันมามองเด็กๆในห้องเรียน 

มันทำให้เก๋ไม่ชอบเรียนวิชาฟิสิกส์ขึ้นมาทันที

หลังๆเก๋มักจะหาวันที่มีคาบเรียนฟิสิกส์เยอะๆเพื่อหยุดเรียนในวันนั้น

หยุดพักอยู่ห้องบ้าง...นอนอ่านหนังสือเรียนบ้าง  และทำในสิ่งที่เก๋อยากทำ



เก๋ลาบ่อยจนโดนอาจารย์เพ่งเล็ง

ในที่สุดเก๋ก็โดนอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกพบ

ไม่มีคำอธิบายอะไรนอกจากตอบอาจารย์ไปว่า เก๋ไม่สบาย 



เก๋รู้สึกได้ว่านอกจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วก็มีอาจารย์ที่สอนวิชาอื่นเห็นถึงความผิดปกติจากการลาของเก๋

อาจารย์สอนชีววิทยาเคยเข้ามาคุยอย่างเป็นกันเอง  และมีคำถามคล้ายๆว่าเก๋มีปัญหาอื่นๆอยู่รึเปล่า สามารถปรึกษาอาจารย์ได้

เก๋เลือกที่จะไม่อธิบายสิ่งที่ตัวเองคิดในตอนนั้นให้อาจารย์ทราบ 

จะอธิบายอย่างไรกับความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการมีโครงการที่ทุกคนต่างคาดหวังว่าจะเป็นหน้าตาของโรงเรียน

เราเป็นแค่เด็กๆที่โดนกดดันเพื่อให้ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนเมื่อเอ็นฯติดในคณะดีๆ

เป็นการการันตีให้เด็กรุ่นหลังๆต่างก็พยายามที่จะแย่งชิงเข้ามาสู่จุดนี้

มันอาจเรียกว่าความสำเร็จสำหรับคนอื่นๆ

แต่สำหรับเก๋แล้ว...เก๋แค่ต้องการชีวิตปกติของการเรียนม.ปลาย

ในระดับที่พอเหมาะพอดี

ที่จะไม่ทำลายสุขภาพของเก๋เอง 




จากการปฏิบัติตัวแบบไม่ตามกระแสทำให้เพื่อนๆมักจะสงสัยในตัวเก๋

หลังจากสอบเสร็จ   บางวิชาสอบเสร็จอาจารย์ก็จะเข้ามาแจ้งผลคะแนน

บางวิชาก็อาจจะมีคนที่คะแนนไม่ผ่านในการสอบรอบนั้น

เมื่อไหร่ที่อาจารย์บอกว่ามีคนที่สอบไม่ผ่าน...คนในห้องเรียนก็มักจะมองมาที่เก๋

แต่ผลก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น 

เก๋เรียนอยู่ในระดับกลางๆของห้อง

มีเพื่อนคนนึงเคยถามเก๋ตรงๆว่า ไม่เข้าเรียนแล้วทำข้อสอบได้ไง

คงเป็นเพราะความไม่อยากทำตัวให้มีปัญหา 

และเก๋รู้ดีว่าหน้าที่ของเก๋ในตอนนี้คือเรียนหนังสือให้จบ 




ชีวิตการเรียน ม.ปลายของใครหลายๆคนมักมีความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนและความสนุกสนาน

แต่สำหรับเก๋แล้ว  มีแต่ภาพของไฟที่ตึกเรียน

มิตรภาพระหว่างเพื่อนๆดูเลือนลาง

พวกเราไม่เคยได้ติดต่อหรือทราบข่าวของเพื่อนคนไหนหลังจบม.ปลาย

 

 

หลายปีผ่านไป  ตอนที่เก๋เรียนมหาวิทยาลัยปี 4

เก๋พบว่ามีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเอ็นท์ฯติดวิศวะม.ธรรมศาสตร์  กลับมาเรียนปี 1 ในสาขาเก๋กำลังเรียนอยู่  เก๋เจอเค้าในวันที่รับน้อง

เพื่อนเล่าให้ฟังว่าตอนที่เค้าสอบติดธรรมศาสตร์  คิดว่านั่นคือความสำเร็จของช่วงม.ปลาย 

การเรียนของเค้าปี 1 เป็นไปได้ดี

แต่เมื่อเรียนปี 2 และ 3 เค้าเริ่มเกเรมัวแต่เที่ยวไม่สนใจการเรียน  ทำให้โดนรีไทร์

เค้าบอกกับเก๋ว่าเค้ารู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต  ไม่กล้าเดินตามหลังพ่อแม่  กลัวท่านอาย

และเค้าก็ไม่มั่นใจว่าจะเรียนที่นี่ได้จบรึเปล่า

เพื่อนดูเปลียนไปมาก  ดูไม่มั่นใจเหมือนคนเก่า

เก๋ได้แต่ปลอบเพื่อน  ให้เค้าเริ่มต้นชีวิตใหม่  ไม่มีอะไรสาย

เก๋บอกเค้าว่าตอนที่เรียนม.ปลาย เค้าเรียนเก่งเป็นลำดับต้นๆของห้อง 

แต่เก๋ห่างไกลจากเค้าตั้งเยอะ  เก๋ยังเรียนที่นี่ได้ 

เลยบอกเค้าว่าไม่ต้องกลัว  เก๋คิดว่าเค้าทำได้

หลังจากนั้นเพื่อนก็มักจะโทรมาคุยเวลาที่รู้สึกหมดกำลังใจ 

....เราคุยกันจนเค้าเรียนจบ 

 

 

ช่วงการเรียนม.ปลายที่เก๋ผ่านมานี้ทำให้รู้สึกว่า

บางครั้งเราก็มุ่งมั่นกับชีวิตของเราจนทำให้มันตึงเครียดจนเกินไป

เรามุ่งมองไปที่จุดหมายเดียว  และผลักดันตัวเองให้เดินไปข้างหน้าไปเรื่อยๆ

รู้แต่ว่าเราต้องเดิน

จนลืมที่จะสำรวจดูตัวเอง  ว่าสุขภาพและจิตใจเราเป็นอย่างไร

ด้วยความเป็นเด็ก ณ ตอนนัั้น การตัดสินใจของเก๋อาจไม่ได้ดีที่สุด

อาจมีบางอย่างที่เกินไปบ้าง  ละเลยบางสิ่งที่ต้องทำบ้าง

บางคนอาจไม่รู้สึกเห็นด้วย

เก๋คิดว่าการตัดสินใจไม่มีคำว่าถูกผิด

แต่ประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดสำหรับเก๋คือ  การรู้จักหยุด..เพื่อคิดและทบทวน



ในเส้นทางชีวิตของแต่ละคน

หลายคนมักกดดันตัวเองให้ทำในสิ่งที่คิดว่านั่นคือการประสบความสำเร็จในชีวิต

เพราะสังคมสอนเราแบบนั้น  สังคมยกย่องคนเหล่านั้น 

ทำให้เราผลักดันตัวเองให้เดินตาม

ความมุ่งมั่นเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จเป็นสิ่งดี

แต่การกดดันตัวเองจนเกินควรทำให้เราเสียหลายๆอย่างในชีวิตไป

สิ่งที่ดีที่สุดคือการหาจุดที่สมดุลในการใช้ชีวิตให้กับตัวเราให้เจอ

เก๋เชื่อว่าจุดสมดุลของแต่ละคนไม่เท่ากัน 

และในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตเราจุดๆนั้นก็อาจเปลี่ยนไปตามเวลาและสถานการณ์




ความสำเร็จของชีวิตนั้นไม่มีจุดสิ้นสุด

เมื่อเราผ่านจุดนึงเราก็มักจะวางจุดต่อๆไป ไปเรื่อยๆ

เมื่อเราทำจนลืมตัวทุ่มเทกับมันไปจนสุดพลัง  ละเลยสิ่งรอบข้างอื่นๆ

ชีวิตของเราก็จะมีแต่ความเหนื่อย

เหนื่อยจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

สุดท้ายแล้ว... ปลายทางของชีวิตมันก็มีแต่ความว่างเปล่า

ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้พอเหมาะ...และพอดี   

จริงๆแล้วความสำเร็จสำหรับเก๋...

...มันอยู่ที่ความพึงพอใจในหัวใจเรา...ก็เท่านั้นเอง

 

 




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2555
8 comments
Last Update : 27 สิงหาคม 2555 9:48:45 น.
Counter : 1283 Pageviews.

 

ใครหน้ออเขียนดีจัง!!!! ^ ^


 

โดย: Pae IP: 58.8.98.145 27 สิงหาคม 2555 13:38:11 น.  

 

จุดยืนของชีวิต อยู่ที่ส้นเท้า.. ซึ่งนั่นก็คือเท้าใครเท้ามัน

มันไม่แปลกที่เพื่อนๆ จะมองว่าเก๋แปลก เพราะเก๋รู้ตัวก่อนใคร ว่าจุดยืนในชีวิต ควรจะอยู่ที่ตรงไหน ถึงจะสมดุล..

ยินดีด้วย ที่เก๋ เลือกให้ส้นเท้าของตัวเอง ยืนอยู่ในที่ที่ตัวเองเลือก อิอิ

 

โดย: autozave (autozave ) 28 สิงหาคม 2555 9:21:18 น.  

 

แฟนใครน๊อ..เขียนดีจัง เนอะ..เป้..เนอะ

 

โดย: พี่อ้วน_LEO 28 สิงหาคม 2555 11:57:12 น.  

 

พี่อ้วนก็......(^v^)

สบายดีไหมคะเนี่ย...พี่อ้วนง่ะ





 

โดย: Pae IP: 58.11.74.145 29 สิงหาคม 2555 13:10:17 น.  

 

สบายดีจ้ะ

เก๋ เป้ ไปดูหนังกันมาหรือยัง

 

โดย: พี่อ้วน_LEO 29 สิงหาคม 2555 20:46:22 น.  

 

เวลาโบร์เข้ามาอ่านบล็อกคุณเก๋คุณเป้ทีไร
ได้ข้อดีๆกลับไปด้วยทุกครั้งเลยค่ะ...

 

โดย: Bogus Ma 31 สิงหาคม 2555 9:10:02 น.  

 

สวัสดีค่ะ พี่เป้ พี่เก๋
สบายดีมั้ยค่ะ ตั๊กแตนไม่ได้มาทักทายซะนานเลย :)

 

โดย: Nepster 31 สิงหาคม 2555 20:28:15 น.  

 

เก๊าไปดูมาแล้วนะ 555

 

โดย: autozave (autozave ) 5 กันยายน 2555 9:34:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


sea_story
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเส้นทางที่จะเดินได้

ถ้าเชื่อมั่นว่ากำลังทำสิ่งดี

..ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมองเราไม่ดี

คิด..พูด..ทำ.. ในสิ่งที่เชื่อว่าดีที่สุด

แล้วทุกอย่างจะดีเอง
[Add sea_story's blog to your web]