<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
16 พฤศจิกายน 2551

สหัสวรรษประเทศไทย ( 3 )



ฤดูหนาวอันแสนนาน

พาดหัวสหัสวรรษใหม่ประเทศไทยคราวนี้
อาจจะทำให้ท่านผู้อ่านหลายคนเลิกคิ้วแกมฉงน
เอ๊ะ คนเขียนคงถูกพิษภัยเศรษฐกิจเล่นงานจนชักจะเพี้ยนๆไปแล้วหรืออย่างไร
อากาศต้นเดือนกันยายนทั้งชื้นทั้งเฉอะแฉะ
บางวันก็แดดจัดจ้านตั้งแต่เช้า พอบ่ายคล้อยเมฆดำทะมึนก็แผ่กระจายวงกว้าง
แล้วฟ้าก็อุ้มฝนฉ่ำไปทั่ว มองเหนือขึ้นไปก็ไม่เห็นจะมีวี่แววเลยว่า
หน้าหนาวจะมาถึงเมื่อไร
โดยเฉพาะในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรนี่นะหรือจะมี “ฤดูหนาวอันแสนนาน”

เปล่าเลย ท่านผู้อ่านที่เคารพ
ขณะที่ใครๆกำลังเห่ออ่านหนังสือเด็กเล่มดัง Harry Potter ทั่วทุกหนแห่ง ตั้งแต่บนเครื่องบินยันรถไฟฟ้า
ตัวเองกลับไปพลิกๆดูหนังสือเด็กชุด บ้านเล็ก (Little House)
ประพันธ์โดย ลอร่า อิงกัลล์ ไวล์เดอร์
แปลเป็นบทภาษาไทยที่สละสลวยโดย สุคนธรส ทั้งชุดประกอบด้วยหนังสือเล่มต่างๆเรียงลำดับต่อไปนี้ คือ
บ้านเล็กในป่าใหญ่ เด็กชายชาวนา บ้านเล็กริมห้วย ริมทะเลสาบสีเงิน
เมืองเล็กในทุ่งกว้างและปีทองอันแสนสุข

เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นการบันทึกเรื่องราวการต่อสู้ของบรรพบุรุษชาว อเมริกัน
ในยุคบุกเบิกมุ่งสู่ภาคตะวันตกเพื่อจับจองที่ดินทำกิน
พวกเขาต้องผจญภัยกับภยันตรายต่างๆ หาหนทางเพื่อเอาชนะ
ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยวิถีที่เรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติอันกว้างใหญ่ไพศาล
วิกฤตที่แปรปรวนตลอดเวลา
สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมวิญญาณนักสู้รุ่นบรรพชนให้มีจิตใจหาญกล้า
พี่งพาตนเอง พร้อมจะเผชิญกับสิ่งท้าทายอย่างไม่ท้อถอย
อันเป็นแก่นเรื่องหลักที่เราได้รับจากการอ่านหนังสือชุดนี้



Create Date : 16 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 21:25:26 น. 8 comments
Counter : 1842 Pageviews.  

 



ใน ฤดูหนาวอันแสนนาน
ลอร่า อิงกัลล์ ไวล์เดอร์ ได้เล่าเรื่องบันทึกความไว้ว่า
ภายหลังที่บิดาของเธอได้จับจองกรรมสิทธิ์ที่ดินในทุ่งกว้าง
ที่เมืองเดอสะเม็ต ในรัฐตอนกลางของอเมริกา
ก็เริ่มทำการเกษตรกรรมแบบชาวท้องถิ่น
คือปลูกข้าวโพด ข้าวสาลีไว้บริโภคภายในครัวเรือน
ส่วนที่เหลือก็เตรียมนำส่งขายในเมือง
หากปีนั้นแล้งเร็วกว่าปกติ ทำให้ธัญญาหารที่เก็บเกี่ยว
ไม่เพียงพอสำหรับการยังชีพในช่วงฤดูหนาว
แต่ทุกคนยังพออุ่นใจว่าถึงจะขาดแคลนอาหารเพียงไร รัฐบาลลุงแซมก็คงจะไม่ใจดำทอดทิ้งพวกเขา
คงจะเตรียมส่งขบวนรถไฟบรรทุกเสบียงมาให้ทันความต้องการ
และเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง
พวกเขาก็สามารถเริ่มต้นเพาะปลูกได้ใหม่
หากสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ
ปีนั้นเป็นปีที่จะหนาวรุนแรงที่สุดตามคำบอกเล่า
และความเชื่อของชาวอินเดียนแดงชาวพื้นเมือง
ผู้เคยชินกับสภาพภูมิอากาศมาเก่าก่อน
กล่าวคือจะหนาวจัดเป็นระยะเวลาที่พระจันทร์เต็มดวง จันทร์แรมและเต็มดวง
ซ้ำใหม่อีกหลายๆครั้ง ร่วม ๗ เดือน

ทุกคนได้เตรียมตัวต้อนรับความหนาวเหน็บอย่างเต็มที่
เริ่มตั้งแต่ครอบครัวของลอร่าเองได้
อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองพร้อมกับครอบครัวคนอื่นๆ
เพราะกระท่อมไม้กลางทุ่งกว้าง
ไม่สามารถให้ความอบอุ่นกับเธอและพี่น้องได้
หากอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว
บิดาของลอร่าเก็บเกี่ยวธัญญพืชทุกชนิดอย่างเร่งด่วน
ไม่ลืมเตรียมหญ้าแห้งสำหรับเป็นอาหารตลอดฤดูหนาวแก่คอกวัวและปศุสัตว์ของตน

และแล้วฤดูหนาวก็เริ่มขึ้น พร้อมกับพายุหิมะที่หวีดคราง
ส่งเสียงกรีดแหลมแทรกเข้าไปในหัวใจของทุกคน
แต่แรกพายุยังปรานี พัดมาเป็นระลอกๆ
ครั้งละสองถึงสามวันแล้วก็หยุดให้ชาวเมืองออกมาปฏิบัติภารกิจกลางแจ้งได้ตามปกติ
หากยิ่งนานวัน ดูเหมือนพายุจะแกล้งทดสอบความอดทนของพวกเขา
ด้วยการยืดเวลาความเย็นทรมานออกไปอีกคราวละสี่ห้าวัน
นานเป็นอาทิตย์ จนกระทั่งไม่ยอมหยุดเลย

โรงเรียนต้องปิด เพราะไม่เหลือถ่านหินในชั้นเรียน
ที่จะให้ความอบอุ่นระหว่างเรียนอีกแล้ว
และไม่มีใครอยากจะเสี่ยงกับการถูกหิมะกัดตลอดการเดินไปกลับ
ยิ่งแย่กว่านั้นหากนักเรียนคนใดคนหนึ่งถูกพายุกระหน่ำซัดเซ
หลงทางหลุดเขตเมืองออกไปในทุ่งกว้างนับเป็นร้อยๆตารางเอเคอร์
ก็คงไม่มีชีวิตกลับมาได้แน่

ตลอดช่วงพายุหิมะครอบครัวของลอร่าต้องทนอยู่กับภัยสีขาวหนาวเหน็บ
เสบียงอาหารนับวันก็ร่อยหรอ
รถไฟก็ถูกหิมะทับถมจนไม่สามารถแล่นมาได้
แม้จะมีคนงานรถไฟมาช่วยขุดหิมะออก
เพียงวันสองวันหิมะใหม่ก็ถล่มซ้ำพอกพูนยิ่งกว่าเดิม
จะหวังเนื้อสัตว์มาบริโภคหรือ
กวางฝูงสุดท้ายเพิ่งอพยพออกไปจากทุ่งกว้างอย่างไร้ร่องรอย
ราวกับสัตว์เหล่านี้รู้ตัวล่วงหน้าว่าช่วงเวลาวิกฤตของมันใกล้เข้ามาแล้ว
ควรอพยพไปอยู่ในที่ๆอบอุ่นและปลอดภัยกว่า

ไม่มีการเดินไปมาหาสู่ระหว่างบ้านแม้จะอยู่ถนนตรงข้ามแค่นี้เอง
วันในฤดูหนาวของครอบครัวชาวเมืองเดอสะเม็ต
จ่อมจมอยู่กับความมึนซึม ง่วงงุน ปวดร้าว หิวโหย และเย็นยะเยือก


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 16 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:31:38 น.  

 


หากกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองแข็งตายไปกับพายุหิมะ
มีการคิดค้นเชื้อเพลิงรูปแบบใหม่ๆ
เพื่อทดแทนน้ำมันก๊าดและถ่านหินที่หมดไป
เช่น การทำตะเกียงกระดุม
ด้วยการเอากระดุมเสื้อมาหุ้มด้วยผ้าหนาๆชุบขี้ผึ้งแล้วจุดไฟ
ก็จะได้ความสว่างอบอุ่นขี้นมาบ้าง
การทำเชื้อเพลิงจากฟ่อนหญ้าแห้ง
ซึ่งลอร่าต้องใช้มือมัดเกลียวและขดให้เส้นหญ้าแห้งให้แน่นที่สุด
เพื่อปะทุความร้อนได้ดีที่สุด
การโม่แป้งทำขนมปังดำเพื่อประทังชีวิตวันต่อวัน
กินจิ้มกับเกลือและพริกไทย มีน้ำชาร้อนๆให้ดื่มกล้ำกลืนคล่องคอ

มาถึงตอนนี้ทุกคนในเมืองเล็กๆมองตากันอย่างวิตกกังวล เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ไม่มีรถไฟให้พึ่งพา ไม่มีสัตว์ป่าหลงเหลือให้ล่า
พวกเขาต้องพึ่งกันเองอีกนานจนกว่าฤดูหนาวจะสิ้นสุด

แล้วไคลแม็กซ์ของเรื่องก็มาถึง
เมื่อไม่มีเสบียงอาหารเหลืออีกเลยในเมืองเล็กๆนี้
ร้านค้าเพียงแห่งเดียวที่เป็นศูนย์กลางจำหน่ายเครื่องบริโภคคว่ำถังทุกถังลง
แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะบริโภคได้อีกแล้ว
ชาวเดอสะเม็ตและเด็กๆทุกคนกำลังจะอดตาย

ครอบครัวของลอร่าซึ่งมีพ่อ แม่ พี่สาวชื่อแมรี่ ตัวเธอ
และน้องๆอีกสองคนคือแครี่เกรซ
กำลังจะทิ้งชีวิตนักผจญภัยและตายอย่างทรมานด้วยความหนาวและหิวโหย
ณ เมืองเล็กๆกลางทุ่งหิมะร้างแห่งนี้

โชคดีที่พระเอกของเรื่องคือ แอลแมนโซ ไวด์เดอร์
โผล่ขึ้นมา แสดงบทบาทอันกล้าหาญ



โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 16 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:37:16 น.  

 



ความจริงพ่อหนุ่มแอลแมนโซ ก็ไม่ใช่ใครอื่น
เป็นเด็กหนุ่มนักบุกเบิกที่หวังสิทธิ์ในการจับจองที่ดินทำกันในทุ่งกว้างนี้เช่นกัน
และร่วมอยู่ในชะตากรรมเฉกเช่นชาวเมืองคนอื่นๆ
แต่สิ่งที่เขาแตกต่างจากคนอื่นก็คือ
ความกล้าหาญถึงขั้นบ้าบิ่น

แอลแมนโซและชาวเมืองระแคะระคายว่า
มีแหล่งข้าวสาลีที่เก็บไว้อย่างดีในทุ่งกว้างแห่งหนึ่งไกลออกจากไปถึง ๒๐ ไมล์
ไปกลับก็เป็นระยะทางสี่สิบไมล์พอดิบพอดี
เขาพร้อมด้วยสหาย แค้ป การ์แลนด์
ตัดสินใจเทียมม้าเลื่อนออกเดินทาง
ในวันที่อากาศเลวร้ายที่สุดด้วยอุณหภูมิสี่สิบองศาต่ำกว่าศูนย์
เพื่อเสาะหาแหล่งข้าวสาลีซึ่งไม่มีใครรับรองได้ว่าจะมีจริงหรือไม่
หรือจะเจอได้อย่างไร โดยทั้งนี้ไม่มีการคิดค่าจ้างเสี่ยงตายแม้แต่สักเซนต์เดียว
แอลแมนโซและสหายกำลังประเดิมชีวิตบนมือมัจจุราชสีขาว
บนทุ่งกว้างเวิ้งว้างที่ถมทับหนาด้วยหิมะชาวโพลน
เบื้องล่างล้วนเต็มไปด้วยหนองน้ำยะเยือก
ซึ่งพร้อมจะให้สิ่งมีชีวิตตกลงไปแข็งตายได้ตลอดทุกฝีก้าว

แอลแมนโซต้องเผชิญกับหลุมพรางหนองน้ำแข็งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนในที่สุดเขาและสหายก็ดั้นด้นมาจนถึงกระท่อมหนึ่งตกลงซื้อข้าวสาลีทั้งหมดด้วยราคาที่ถูกโก่งจนสูงผิดปกติ
หากทั้งคู่ก็ยอมเพราะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยชีวิตชาวเมืองที่รอคอยอย่างมีความหวัง
ทั้งคู่บรรทุกข้าวสาลีทั้งหมดนักถึง ๖๐ บูเชิล ( หนึ่งบูเชิลเท่ากีบ ๒ ปี๊บ)
กลับ เดอสะเม็ต อย่างสะบักสะบอม
จนเกือบแทบจะเอาชีวิตไม่รอดในไมล์สุดท้าย

เมื่อได้ข้าวสาลีมาจำนวนหนึ่ง ชาวเมืองได้ชุมนุมหารือพร้อมจัดสรรปริมาณที่แต่ละครอบครัวควรจะได้รับไปอย่างจำกัดจำเขี่ย
แต่อย่างน้อยทุกคนก็พอใจที่ไม่อดตาย
รอจนกว่าพายุจะผ่านพ้นไปในที่สุด

ขวัญ กำลังใจเริ่มกลับมา
ชาวเมืองทุกครอบครัวพยายามรวมตัวกันเป็นกลุ่มหนาแน่น
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยพายุด้วยการถ่ายทอด
เสนอความคิดริเริ่มใหม่ๆในการดำรงชีวิตที่แสนอัตคัด ปราศจากรถไฟ
ด้วยเป้าหมายในใจว่า จะต้องไม่มีใครพ่ายแพ้ให้แก่พายุวิกฤตครั้งนี้



โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 16 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:50:57 น.  

 


ในที่สุดชัยชนะก็เป็นของชาวเมืองเล็กในทุ่งกว้าง
เมื่อคืนวันหนึ่งเสียงลมชีนุคซึ่งเป็นลมฤดูไบไม้ผลิ
ได้แทรกเข้ามาท่ามกลางเสียงพายุหวีดหวิว
แรงขึ้นๆจนเกิดเป็นละอองฝนตกลงมา
หิมะเริ่มละลาย ใบไม้ใบหญ้าค่อยๆผลิก้านเขียวอ่อนเป็นหย่อมๆ

ดูเหมือนเรื่องราวจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว
แต่ถึงกระนั้นรถไฟก็ยังไม่ยอมมา
เพราะรัฐบาลลุงแซมไม่ยอมสั่งการให้คนงานรถไฟเริ่มต้นทำงาน
ชาวเมืองจึงพร้อมใจกันออกเดินทางไปโกยหิมะ
เพื่อปล่อยรถไฟแล่นมาได้
ท้ายสุดพวกเขาได้รับรางวัลชีวิตด้วยการเฉลิมฉลองคริสตมาสในเดือนพฤษภาคม
สมกับน้ำอดน้ำทนตลอด ๗ เดือนที่ผ่านมา

ฤดูหนาวอันแสนนาน ผ่านพ้นไปแล้ว
พวกเขายังอยู่กันครบทุกคน
ไม่มีใครตายหรือสูญหาย จะมีบ้างที่อ่อนแอ เจ็บป่วย ซูบผอมลง
เพราะขาดแคลนอาหารที่เพียงพอในการยังชีพ
แต่จิตใจนั้นเล่ากลับแกร่งและกล้ามากขึ้น
ทั้งนี้เป็นผลมาจากปณิธานในใจ
พวกเขาไม่มีวันยอมจำนนกับโชคชะตาเป็นอันขาด

หันกลับมามองบ้านเราบ้าง
ประเทศไทยโชคดีมหาศาลที่มีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสม
ภัยธรรมชาติร้ายแรงสุดๆแทบจะไม่เคยกล้ำกรายเข้ามาถึงเลย
ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว พายุหิมะถล่ม ภูเขาไฟระเบิด คลื่นความหนาวเหน็บ
ถึงกระนั้นเราก็ไม่วายที่จะถูกภัยอย่างอื่นมากระทบ
โดยเฉพาะภัยจากวิกฤตเศรษฐกิจ

คลื่นความหนาวของพายุครั้งนี้
ไม่ทราบว่าจะทรมานยาวนานอีกสักเท่าไร
อีกกี่จันทร์แรม อีกกี่จันทร์เพ็ญ ไม่มีใครคาดเดาได้
ที่ผ่านมาทุกคนฝากความหวังไว้กับรัฐบาล
ซึ่งเปรียบเสมือนรถไฟในเรื่อง
คอยเท่าไรก็ดูเหมือนจะเดินทางมาไม่ถึงเสียที
จะติดหล่มหรือตกรางที่ไหน ก็ไม่อาจประเมินได้
พระเอกคนกล้าบ้าบิ่นที่จะฝ่าหิมะดั้นด้น
ไปตายเอาดาบหน้าก็คงจะหาได้ยาก

แต่ในท่ามกลางความมืดมน ก็มีบางสิ่งที่เราทำได้
ไม่ใช่แค่ภาวนาหรือร้องขอ แต่ควรเริ่มดำเนินทันที
นั่นก็คือการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง
วางฐานรากแห่งการเรียนรู้ให้แน่นหนาเสียแต่เบื้องต้น สร้างปราการทางความคิดให้แข็งแกร่ง
เสริมเกราะแห่งปัญญาให้แจ้งกระจ่าง
เพื่อนำไปสู่การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไม่สิ้นสุด
รู้เขา รู้เรา โดยไม่เสียเปรียบ
ภูมิคุ้มกัน เหล่านี้แหละครับ
จะทำให้พวกเรารอดพันจากพายุที่มาถาถมระลอกแล้วระลอกเล่า

ตั้งสติให้มั่น สำรวจแขนขาองคาพยพว่าอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมดีหรือไม่
แล้วเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันภัยกันตั้งแต่บัดนี้

ทุกคนยังต้องเผชิญกับ ฤดูหนาวอันแสนนาน อีกนานครับ



โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 16 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:09:35 น.  

 

เป็นหนังสือที่มีครบตอนป.5 ตอนนี้คงมีใครเอาไปบริจาค

ตอนที่เราไม่อยู่

เป็นหนังสือที่ให้ครบความฝัน

และเป็นหนังสือที่ทำให้เรารักครอบครัว

เห็นในร้านหนังสือยังไปลูบๆคลำๆแต่ไม่ได้ซื้อ

ภาพการต่อสู้กับตั๊กแตน เหมือนพายุ...



สวัสดีนะคะ ฝากความคิดถึงกูรูุมาตรงช่องว่างนี้

.........................................................







โดย: Cheria (SwantiJareeCheri ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2551 เวลา:0:27:41 น.  

 
ชอบหิมะจังเลยค่ะ

ขาวสะอาดแต่ท่าจะหนาว

ทำให้นึกถึงนิทานหนูน้อยขายไม้ขีดไฟ..นะค่ะ
นานมากละ
แต่ได้อ่านเรื่องนี้ที่ไรสงสารหนูน้อยคนนั้นจังค่ะ

มีความสุขใกล้ปีใหม่กับคนที่คุณรักเสมอนะค่ะ

มิตรคนดี




โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:54:22 น.  

 


คุณชารียา
ชอบหนังสือชุดนี้มาก เป็นหนังสือรุ่นแรกๆที่อ่าน
เลยทำให้อยากอ่านประวัติศาสตร์การก่อร่างสร้างตัว
ของคนมะกันยุคก่อนๆ
แต่มีเนื้อหาบางส่วนค่อนข้างอคติกับอินเดียนแดงพอสมควร
"อินเดียนแดงที่ดี คืออินเดียนแดงที่ตายแล้ว"
วุ้ย...ใครทำให้อินเดียนแดงตายล่ะ

จะอ่านตอนช่วงคริสตมาสเพราะอากาศเย็นๆดี
"สุคนธรส" คนแปลก็แปลได้เรียบง่าย เข้าใจได้ดี
ไม่รู้ว่า ตอนหลังมีการแปลโดยอีกสำนักพิมพ์หนึ่ง
จะคงรสชาติได้เหมือนเดิมหรือไม่


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:52:20 น.  

 
คุณ Catt
ตอนได้อ่านครั้งแรกเรื่องเด็กหญิงไม้ขีดไฟ
เศร้าจังเลย
ตัวเองต้องหนาวเหน็บขณะที่บ้านตามท้องถนนกลับอบอุ่น
รู้สึกจะเป็นเรื่องของ แฮนส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน ใช่มั้ยเอ่ย
เดี๋ยวขอค้นดู
เออ..ใช่จริงๆด้วย

" On a cold New Year’s Eve, a poor girl selling matches on the street
takes shelter in a nook and lights the matches to warm herself.
In their light, she sees several lovely visions
including a Christmas tree and a holiday feast.
The girl looks skyward, sees a shooting star,
and remembers such stars mean someone is dying.
As she lights her last match,
she sees a vision of her deceased grandmother,
the only person to have treated her with love and kindness.
The child dies and her grandmother carries her soul to Heaven.

The next morning, passers-by find the dead child in the nook,
with a smile on her face. "



โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:07:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุ้งพลบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ
บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น

บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
New Comments
[Add รุ้งพลบ's blog to your web]