" On a cold New Years Eve, a poor girl selling matches on the street takes shelter in a nook and lights the matches to warm herself. In their light, she sees several lovely visions including a Christmas tree and a holiday feast. The girl looks skyward, sees a shooting star, and remembers such stars mean someone is dying. As she lights her last match, she sees a vision of her deceased grandmother, the only person to have treated her with love and kindness. The child dies and her grandmother carries her soul to Heaven.
The next morning, passers-by find the dead child in the nook, with a smile on her face. "
ใน ฤดูหนาวอันแสนนาน
ลอร่า อิงกัลล์ ไวล์เดอร์ ได้เล่าเรื่องบันทึกความไว้ว่า
ภายหลังที่บิดาของเธอได้จับจองกรรมสิทธิ์ที่ดินในทุ่งกว้าง
ที่เมืองเดอสะเม็ต ในรัฐตอนกลางของอเมริกา
ก็เริ่มทำการเกษตรกรรมแบบชาวท้องถิ่น
คือปลูกข้าวโพด ข้าวสาลีไว้บริโภคภายในครัวเรือน
ส่วนที่เหลือก็เตรียมนำส่งขายในเมือง
หากปีนั้นแล้งเร็วกว่าปกติ ทำให้ธัญญาหารที่เก็บเกี่ยว
ไม่เพียงพอสำหรับการยังชีพในช่วงฤดูหนาว
แต่ทุกคนยังพออุ่นใจว่าถึงจะขาดแคลนอาหารเพียงไร รัฐบาลลุงแซมก็คงจะไม่ใจดำทอดทิ้งพวกเขา
คงจะเตรียมส่งขบวนรถไฟบรรทุกเสบียงมาให้ทันความต้องการ
และเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง
พวกเขาก็สามารถเริ่มต้นเพาะปลูกได้ใหม่
หากสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ
ปีนั้นเป็นปีที่จะหนาวรุนแรงที่สุดตามคำบอกเล่า
และความเชื่อของชาวอินเดียนแดงชาวพื้นเมือง
ผู้เคยชินกับสภาพภูมิอากาศมาเก่าก่อน
กล่าวคือจะหนาวจัดเป็นระยะเวลาที่พระจันทร์เต็มดวง จันทร์แรมและเต็มดวง
ซ้ำใหม่อีกหลายๆครั้ง ร่วม ๗ เดือน
ทุกคนได้เตรียมตัวต้อนรับความหนาวเหน็บอย่างเต็มที่
เริ่มตั้งแต่ครอบครัวของลอร่าเองได้
อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองพร้อมกับครอบครัวคนอื่นๆ
เพราะกระท่อมไม้กลางทุ่งกว้าง
ไม่สามารถให้ความอบอุ่นกับเธอและพี่น้องได้
หากอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว
บิดาของลอร่าเก็บเกี่ยวธัญญพืชทุกชนิดอย่างเร่งด่วน
ไม่ลืมเตรียมหญ้าแห้งสำหรับเป็นอาหารตลอดฤดูหนาวแก่คอกวัวและปศุสัตว์ของตน
และแล้วฤดูหนาวก็เริ่มขึ้น พร้อมกับพายุหิมะที่หวีดคราง
ส่งเสียงกรีดแหลมแทรกเข้าไปในหัวใจของทุกคน
แต่แรกพายุยังปรานี พัดมาเป็นระลอกๆ
ครั้งละสองถึงสามวันแล้วก็หยุดให้ชาวเมืองออกมาปฏิบัติภารกิจกลางแจ้งได้ตามปกติ
หากยิ่งนานวัน ดูเหมือนพายุจะแกล้งทดสอบความอดทนของพวกเขา
ด้วยการยืดเวลาความเย็นทรมานออกไปอีกคราวละสี่ห้าวัน
นานเป็นอาทิตย์ จนกระทั่งไม่ยอมหยุดเลย
โรงเรียนต้องปิด เพราะไม่เหลือถ่านหินในชั้นเรียน
ที่จะให้ความอบอุ่นระหว่างเรียนอีกแล้ว
และไม่มีใครอยากจะเสี่ยงกับการถูกหิมะกัดตลอดการเดินไปกลับ
ยิ่งแย่กว่านั้นหากนักเรียนคนใดคนหนึ่งถูกพายุกระหน่ำซัดเซ
หลงทางหลุดเขตเมืองออกไปในทุ่งกว้างนับเป็นร้อยๆตารางเอเคอร์
ก็คงไม่มีชีวิตกลับมาได้แน่
ตลอดช่วงพายุหิมะครอบครัวของลอร่าต้องทนอยู่กับภัยสีขาวหนาวเหน็บ
เสบียงอาหารนับวันก็ร่อยหรอ
รถไฟก็ถูกหิมะทับถมจนไม่สามารถแล่นมาได้
แม้จะมีคนงานรถไฟมาช่วยขุดหิมะออก
เพียงวันสองวันหิมะใหม่ก็ถล่มซ้ำพอกพูนยิ่งกว่าเดิม
จะหวังเนื้อสัตว์มาบริโภคหรือ
กวางฝูงสุดท้ายเพิ่งอพยพออกไปจากทุ่งกว้างอย่างไร้ร่องรอย
ราวกับสัตว์เหล่านี้รู้ตัวล่วงหน้าว่าช่วงเวลาวิกฤตของมันใกล้เข้ามาแล้ว
ควรอพยพไปอยู่ในที่ๆอบอุ่นและปลอดภัยกว่า
ไม่มีการเดินไปมาหาสู่ระหว่างบ้านแม้จะอยู่ถนนตรงข้ามแค่นี้เอง
วันในฤดูหนาวของครอบครัวชาวเมืองเดอสะเม็ต
จ่อมจมอยู่กับความมึนซึม ง่วงงุน ปวดร้าว หิวโหย และเย็นยะเยือก