|
15 กันยายน 2551
|
|
|
|
|
|
รุ้งพลบ |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น
บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
|
|
|
เพื่อนๆสามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่
//www.posttoday.com/politics.php?id=6634 และ
//www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=104127
ความว่าง หรือ สุญญตา
หมายถึงสภาพของความจริงที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย
และหมายถึงความจริงแบบองค์รวมมากมากกว่าความจริงแบบแยกส่วน
ซึ่งความว่างคือหัวใจสำคัญของคำสอนของท่านพระพุทธทาส
ที่สอนไว้การเมืองต้องไม่แยกจากธรรมะ
ในเมื่ออำนาจเป็นปรากฏการณ์แห่งความว่าง
ผู้กุมอำนาจก็ควรหยั่งถึงความว่างในดวงจิต
ใครก็ตามที่นำอัตตาตัวตน ผลประโยชน์ส่วนตัว
และยืนยันผลประโยชน์ของตนเองเป็นเอกขึ้นสู่เวทีอำนาจ
ไม่ว่าจะลาภ ยศ หรือสรรเสริญ ท้ายที่สุดจะไปไม่รอดทั้งสิ้น
เพราะกฎแห่งอำนาจ เป็นกฎเดียวกับ อิทัปปัจจยตา
ใครก็ตามที่คิดจะตั้งศูนย์อำนาจใหม่ หรือต่อต้านอำนาจเก่า
ควรจะต้องรู้ว่า อำนาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
และอิงอาศัยนานาปัจจัย
อำนาจไม่ได้บรรจุอยู่ในอาคารสถานที่
การยึดอำนาจรัฐไม่ได้เกิดจากการยึดตัวอาคาร
หากจะต้องยึดครองที่ หัวใจคน
วิกฤตการเมืองไทยในขณะนี้เพราะต่างฝ่ายต่างอยู่ใน ทวิภาวะ
กล่าวคือ การสร้างทฤษฎี อคติ หรือ ทิฐิโจมตีใส่ฝ่ายตรงข้าม
ดังนั้นจุด เริ่มต้นที่ดีคือ คู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องหยุดพูด
เพื่อจะนำไปสู่ก้าวแรกของการหลุดพ้นจากทวิภาวะ ยกตัวอย่างเช่น
ในเวลานี้พี่น้องชาวไทยเราจำนวนหนึ่ง
กำลังถูกพัดพาให้ไปยึดถือบัญญัติว่า อะไรเป็นประชาธิปไตย อะไรไม่ใช่ประชาธิปไตย
แล้วเถียงกันเอาเป็นเอาตาย โดยลืมไปว่าทั้งหมดเป็นแค่สมมติสัจจะ
เป็นความจริงสัมพันธ์ที่ขึ้นต่อนานาปัจจัย
และไม่มีอันใดเที่ยงแท้ถาวร อย่างที่เรียกว่า ติดกับอยู่ในทวิภาวะ
การที่คนเรามองไม่เห็นเห็นสุญญตา
ทำให้ชอบแบ่งโลกออกเป็นคู่ขัดแย้งต่างๆ
ชอบบัญญัติลงไปว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ชั่ว สิ่งนี้สวยสิ่งนั้นอัปลักษณ์ สิ่งนี้มีมลทิน ฯลฯ
การมองโลกแบบทวิภาวะเช่นนี้ แท้จริงแล้ว มักผูกโยงอยู่กับอัตตา
ซึ่งนำไปสู่การปะทะกันขัดแย้งอยู่เนืองๆ
เพราะต่างฝ่าย ต่างอยากกำหนดความเป็นไปของโลก ด้วยปัจจัยเดียว
คือ ตัวเอง และโทษ ผู้อื่นเป็นต้นเหตุแบบไม่มีที่มาที่ไป