ธันวาคม 2561

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
บันทึกวังหลวง ดาวทวารทัพพิทักษ์อุดร เช่อเช่อชิงหาน เขียน




บันทึกวังหลวง ดาวทวารทัพพิทักษ์อุดร
เช่อเช่อชิงหาน เขียน  ลดาอนัน แปล
สำนักพิมพ์วารา
379 บาท  330 หน้า

หลังปก

ดาวทวารทัพพิทักษ์อุดร ดาวที่สว่างที่สุดทางทิศใต้ของฟากฟ้า


วันที่สองหลังจากพระบิดาสวรรคต จ้าวเจิน ฮ่องเต้วัยเยาว์ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้พบกับอ้ายหมิ่นหญิงสาวผู้ย้อนเวลาจากยุคปัจจุบันท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ในช่วงเวลาที่เขาโดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด นางมอบความอบอุ่นจากฝ่ามือหนึ่งให้แก่เขา

เนื่องจากความแตกต่างของห้วงเวลา นางจึงยังคงเป็นสาวน้อยที่อายุเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และก็ยังคงมองเขาเป็นน้องชายเหมือนครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกันอยู่เสมอ นางมองข้ามไปว่าเขาต้องเติบโตอยู่เบื้องหน้าตนเองทุกวัน นางได้พบเจอกับคู่บุพเพสันนิวาสในโลกที่นางย้อนเวลามา ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นจ้าวฉงจั้นผู้ที่มีชีวิตอย่างยากลำบากในตระกูลเชื้อพระวงศ์ เขาไม่ยินยอมที่จะเสียความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้นไป เพียงประโยคเดียวก็ทำลายความสุขของพวกเขาลงไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังบีบคั้นกดดันทุกก้าวย่าง ไม่นึกเลยว่ามันจะนำมาซึ่งผลร้ายที่เขาไม่สามารถยอมรับได้ตลอดชีวิต...

ดอกไม้ไฟที่ลุกไหม้อยู่กลางนภาคล้ายทำให้เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาที่งดงามที่สุดเมื่อครั้งที่พวกเขาได้พบกันเป็นครั้งแรก ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เขายังรู้สึกอยู่เลยว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ที่มีความสุขที่สุดในโลก

กระโดดหอฝานโหลว ลงบ่อน้ำแข็ง เย็นชา เหินห่าง อำมหิต…

ไม่มีใครรู้ว่าความรักจะใช้วิธีการแบบใด มาเยือนเมื่อไหร่ และจากไปตอนไหน สุดท้ายก็เป็นเพียงเพราะความอบอุ่นจากฝ่ามือหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเขาและเธอไปตลอดกาล...



คุยกันหลังอ่าน


อายุเพียงสิบสาม เสด็จพ่อสิ้น ตนต้องครองราชย์ต่อทั้งที่ไม่ต้องการ อิจฉากระทั่งขอทานนอกประตูวัง ต้องการเพียงแค่ใช้ชีวิตสงบ ๆ ที่หอดูดาวที่ตนชอบ

ขอเพียงเสด็จแม่ต้องการ ตนยินยอมเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ชักใย ปราศจากสิทธิ์คำพูดใด แม้ใครหนุนนำล้วนไม่ต้องการ

โลกน่าเบื่อ คนน่าเบื่อ แก่งแย่งชิงดีกันมีประโยชน์อะไร ดวงดาวต่างหากที่ควรค่าแก่การสนใจ 

ครั้นนางปรากฏตัวที่หอดูดาว หญิงประหลาดไม่รู้ที่มา ปรากฏตัวไร้สุ้มเสียง จากไปไม่มีวี่แวว เขาจึงรู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของตนคืออะไร

นางมาในเวลาที่เขาสิ้นหวังที่สุด เหน็บหนาวที่สุด มอบเพียงความอบอุ่นหนึ่งฝ่ามือ ประทับลงในจิตที่ลึกที่สุดของเขา

ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้ที่มา คิดกระทั่งนางเป็นปีศาจจิ้งจอกที่หลอกล่อคนให้หลงมัวเมา แต่แล้วอย่างไรเล่า เขายินยอมงมงาย

นัดกันอีกครั้งวันพรุ่ง พบอีกครั้งหนึ่งปี แท้จริงแล้วโลกของนางกับเขาล้วนไม่เท่ากัน

จากกันจึงรู้ค่าของการจากลา ยิ่งตระหนี่เหนียวนางไว้เคียงกาย

แต่เป็นเด็กไร้อำนาจในวังวนแห่งอำนาจ ไม่อาจปกป้องนางได้ เมื่อรู้จึงตระหนักรู้ คุณค่าของการอยากมีเพื่อเป็น 

รู้ตัวอีกครั้ง นางกลับมีคนรักแล้ว 

ในสายตานาง แม้เวลาผ่านไปสิบปี เขายังคงเป็นเด็กอายุสิบสามคนเดิม

เป็นฮ่องเต้ เหตุใดจึงไม่มีความสุข ขอทานคนนั้นไม่เชื่อ

เพราะไม่ได้มา เพราะได้มาแต่ไม่อาจครอบครอง เพราะครอบครองแต่ไม่อาจแบ่งปัน 

เพราะดึงดันจึงไม่ได้มาครอง

+++


ตัดสินใจซื้อเพราะผู้เขียนเดียวกับบันทึกปิ่น โดยไม่ได้อ่านเรื่องย่ออะไรเลย โอเป็นประเภทถ้าตัดสินใจซื้อแล้วก็จะไม่อยากรู้อะไรล่วงหน้าแล้ว อ่านจบก่อนค่อยว่ากัน 

เล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของพระเอกที่เป็นฮ่องเต้ อ่านหน้าแรกโอปิ๊งเลย แตกต่างจากคนอื่นดี

ความพิเศษอยู่ตรงที่เราจะรู้เท่าที่ตัวพระเอกรู้ และเท่าที่เขาอนุญาตให้เรารู้ ข้อมูลที่ได้รับจึงมีอยู่จำกัดมาก คนอ่านจะรู้อะไรน้อยมาก แต่รับรู้ความรู้สึกของตัวคนเล่าเต็ม ๆ 

เรื่องนี้เลยมีความรู้สึกเป็นตัวยืนพื้น ใครที่ชอบเรื่องที่เด่นด้านการนำเสนอความรู้สึก ด้านภาษาในการนำมาเปรียบเปรย ด้านการเรียงร้อยถ้อยคำ โอแนะนำอย่างยิ่งเลย

เราจะได้ตามติดพระเอก ตั้งแต่เขายังเป็นเด็กน้อยที่มีความบริสุทธิ์อยู่มาก  ไม่มีเกราะกำบังอะไร ค่อย ๆ เติบโต เริ่มใช้เล่ห์เหลี่ยม เก็บงำความคิด มีการแสดงออกที่ไม่ตรงกับความรู้สึก รู้จักใช้อำนาจ กำแหง จนลำพองในบางครั้ง กระทั่งเข้าบั้นปลายที่อ่อนล้า

อารมณ์ของพระเอกในเรื่องมีชีวิตจริงมาก ค่อย ๆ ไต่ไปเรื่อย ๆ ถึงจุดสับสน ถึงจุดเปลี่ยน รักและเกลียดผสมปนเปจนแยกไม่ออก ความรู้สึกต่อนางเอก ต่อเสด็จแม่ ต่อคนรอบข้าง ก็หลากหลาย

และถึงจะเรียกเขาว่าพระเอก แต่เขาไม่ใช่พระเอกตามขนบธรรมเนียมนะคะ โอเรียกเพราะเขาเป็นตัวเอกของเรื่องเฉย ๆ โอว่าถ้าอยากรู้ชีวิตของตัวร้ายในนิยายเรื่องอื่น ลองอ่านชีวิตพระเอกเรื่องนี้ดู

ส่วนนางเอกเป็นคนต่างยุคค่ะ เนื่องจากคนอ่านอย่างเราจะอยู่แค่ในมุมมองของพระเอก เราก็จะเห็นแค่สิ่งที่เขามองเห็น เราจะไม่เข้าใจว่า ทำไมนางเอกถึงมาในยุคนี้ นางเอกคิดอะไรอยู่ เราไม่ได้อยู่กับตัวนางเอกตลอดเวลา แต่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของนางเอกผ่านสายตาพระเอก

ตัวละครสีเทาชัดเจนค่ะ พระ นาง พระรอง ไม่มีใครเป็นตัวร้าย ไม่มีใครเป็นคนดีตลอดเวลา มีแต่ดีมาก ดีน้อย

ตัวละครที่โอมีความรู้สึกพิเศษให้คือจางชิงหย่วน แล้วโอก็คิดว่านางคงเป็นคนโปรดผู้เขียนด้วย โผล่มาคนแรก จากไปคนสุดท้าย มีตอนพิเศษเฉพาะเพื่อนางเลย

ข้อด้อยของเรื่องก็คือเราได้รับข้อมูลน้อยมาก โอไม่สามารถโยงความสัมพันธ์ของชื่อต่าง ๆ ที่ปรากฏในเรื่องได้เลย ยกเว้นตัวประกอบเด่น ๆ ซึ่งมีอยู่ไม่เกินหนึ่งมือ 

วิธีพูดคุยกันบางครั้งกินนัยกันเกินไป เดาเจตนาค่อนข้างยาก ตรงนี้บางทีก็อ่านไม่เข้าใจ

โอชอบภาษาบรรยายของผู้แปล สำหรับโอ โอว่าเป็นการใช้ภาษาไทยที่สวย แต่โอจะติดอยู่บ้าง ถ้าเป็นภาษาพูด

"ใช่ไหม" "ซวยแน่" (คำพูดพระเอก ซึ่งเป็นฮ่องเต้) "ยังไงซะ" "เปล่า" "เยอะมาก" 

คำพวกนี้เป็นภาษาพูด โอรู้สึกว่าไม่ควรนำมาใช้ในบทบรรยาย โดยเฉพาะในแนวโบราณ 

"ซวยแน่" ตอนแรกโอสะดุด แต่นึกดู ถึงพระเอกซึ่งเป็นฮ่องเต้จะพูด แต่ตอนนั้นเขายังเป็นเด็ก จะเป็นฮ่องเต้อย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง 

"ใช่ไหม" "ยังไงซะ" "เปล่า" ก็ไม่เชิงว่ามีข้อกำหนดตายตัวซะทีเดียวว่าต้องเปลี่ยนเป็น "ใช่หรือไม่" "อย่างไร" "ไม่" เพียงแต่ออกจะไม่คุ้นเคย และรู้สึกแปลกอยู่บ้าง

"เยอะมาก" คำนี้จริง ๆ โอค่อนข้างติดใจ เพราะเป็นภาษาพูดในบทบรรยาย แต่ถ้าจะนึกว่า ถึงเป็นบทบรรยาย ก็เป็นบทบรรยายในคำเล่าเรื่องของพระเอก ก็น่าอนุโลมได้

และเรื่องนี้มีการใช้สัญลักษณ์ : ลงมาในนิยาย ส่วนตัวโอไม่ชอบให้นิยายภาษาไทยมีสัญลักษณ์อะไรเข้ามาเลย แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดยอมรับไม่ได้ถ้าจะต้องมี

ส่วนที่ไม่ควรผิด แต่กลับพลาด คือการใส่ชื่อสลับ การใส่ลำดับความสัมพันธ์ผิด หรือเขียนชื่อตัวละครผิด อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า เรื่องนี้เรารู้จักตัวละครรายรอบน้อยมาก เดิมก็ค่อนข้างชวนสับสนอยู่แล้ว ยิ่งชื่อผิด ยิ่งลำดับผิด ยิ่งสับสนไปกันใหญ่

สรุปว่า ในส่วนของการแสดงอารมณ์ความรู้สึก การเปลี่ยนแปลงความคิด อารมณ์ การเติบโต และความขัดแย้งในตัวละคร ดีมาก และอ่านไม่ยาก แต่ถ้าเป็นเรื่องการมองเห็นในภาพรวม การเข้าใจสถานการณ์รอบด้าน อ่านยากค่ะ

ใน Goodreads มีคนบอกว่าการถอดเสียงพินอินเรื่องนี้ผิด น่าจะหมายถึงชื่อคนใช่ไหมคะ โอก็ไม่ทราบเหมือนกัน รู้แต่ว่าชื่อแปลกอยู่บ้าง ที่ถูกควรเป็นอย่างไรคะ

รู้สึกอีกอย่างคือเรื่องนี้ใส่เชิงอรรถอธิบายความหมายมาค่อนข้างน้อย อ่านไปอ่านมา โอดันงงกับตำแหน่ง ไทเฮา กับ ไท่เฟย ซะงั้น ตกลงต่างกันอย่างไร แล้วสรุป "เงาเทียนเสียงขวาน" นี่ ความหมายจริง ๆ หมายถึงอะไรคะ อันนี้โอก็ได้แต่เดาไปเลา ๆ 


4 ดาว โอชอบมากในด้านการสื่อความรู้สึกและเรียงร้อยออกมา บทแรก ๆ โออยากยกเอามาให้อ่าน แต่ยกมาไม่ได้ เพราะความรู้สึกมันต่อเนื่องกันมาเป็นลำดับ ดึง ยก ลาก ดึงอารมณ์ให้เข้าถึง หยิบยกมาพูดใหม่ ลากอารมณ์เดิมนั้นให้แรงสะท้อนหนักหน่วงกว่าเดิม ผู้เขียนเก่งมาก




ต่อไปโอจะกล่าวถึงที่อ่านแล้วติดนะคะ บางทีโออาจสับสนเองก็ได้ แชร์ความเห็นกันได้นะคะ

13 

ตอนนั้นติงเว่ยรับหน้าที่เป็นอัครเสนาบดี เขาคารวะเสด็จแม่ ขอร้องให้ท่านแม่ไม่ต้องว่าราชการหลังม่าน ขอให้ย้ายไปอยู่ตำแหน่งอื่น เสด็จแม่ยิ้มเย็น ไม่พูดอะไร

จางจิ่งจง เหลยอวิ่นกงกลับพูดว่า: "ฮ่องเต้เป็นผู้ควบคุม คอยจัดการดูแลตลอดวเลาอยู่แล้ว เหตุใดต้องย้ายไปอยู่ตำหนักอื่นด้วยเล่า ?"

14

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงเสนอให้ไทเฮาย้ายตำหนักเล่า ?"

อันแรก จึงควรเป็น ตำหนัก

64-65

ข้าอยู่ในตำหนักเหยียนชิ่งอย่างคนไม่มีอะไรทำ มองดูนางกำนัลหกคนกำลังเล่นดึงหญ้ากันไปมา

ฤดูใบไม้ผลิก็ผ่านไปแล้ว ยังจะมาเล่นดึงหญ้าอะไรกันอีก ?

แต่เนื่องจากไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงดูพวกนางเล่นกันตลอดบ่าย อ่านกลอน "โพ่เจิ้นจื่อ" อีกเล็กน้อย: "มิน่าเล่าเมื่อคืนข้าถึงฝันดี ที่แท้มันคือลางบอกเหตุว่าวันนี้ข้าจะชนะแข่งดึงหญ้า แก้มทั้งสองข้างอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มขึ้นมา" โป๋ฟางรีบส่งกลอนบทใหม่ของเหยี่ยนซูมาให้ข้า ก็ไม่ได้น่าสนใจอะไร ข้าอ่านครู่หนึ่งก็โยนทิ้ง หยิบบท"จั่วจ้วน" ขึ้นมาอ่านอยู่นานมาก

โออ่านแล้วงง แก้มทั้งสองข้างอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มขึ้นมา ไม่เหมือนบทพูดนะคะ แต่น่าจะเป็นบทบรรยายมากกว่า

โอเข้าใจว่า ประโยคคำพูดน่าจะจบลงที่ ข้าจะชนะแข่งดึงหญ้า ส่วน ประโยค แก้มทั้งสองข้าง นั้น เป็นบทบรรยายของพระเอก เมื่อได้ฟังนางกำนัลพูด

จึงน่าจะเป็น 

"มิน่าเล่าเมื่อคืนข้าถึงฝันดี ที่แท้มันคือลางบอกเหตุว่าวันนี้ข้าจะชนะแข่งดึงหญ้า" แก้มทั้งสองข้างอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มขึ้นมา


108

ไปหาเสด็จแม่เพื่อบอกกล่าวว่าสบายดีตามธรรมเนียนม เสด็แม่เองก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของจ้าวฉงจั้น แต่กลับถามเรื่องในราชสำนัก: "เฉาลี่ย้งถูกปลดมาเป็นจอมทัพเชียนหนิวซ้ายแล้ว หากฮ่องเต้คิดจะลดขั้นเขามาเป็นรองขุนพลคุมเมืองหน้าด่านกองทัพฉงซิ่น ให้ไปอยู่ที่ฟางโจว เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าไรนัก"

"ปีนั้นอัครเสนาบดีโคว่จู่นยังถูกเสด็จพ่อลดขั้นเป็นซือหม่เมืองเต้าโจว จากผู้บัญชาการฝ่ายกิจการทหารกลายมาเป็นรองผู้บัญชาการขุนพลคุมเมืองหน้าด่าาน มีอะไรน่าแปลกตรงไหนกัน ?" ข้าถามอย่างไม่อินังขังขอบ

เสด็จแม่หรี่ตาน้อย ๆ มองข้า

ข้ามองหน้าอย่างนอบน้อม: "ถ้าเช่นนั้นความหมายของเสด็จแม่คือจะให้ลูกถอยคำสั่งกลับคืน ?"

นางหันหน้ากลับไปอ่านสารฉบับอื่นอีกครั้ง กล่าว: "ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอก อีกอย่างนี่ก็เป็นการพิจารณาเพื่อกรมขุนนาง ตอนนี้ผู้บัญชาการทหารของเมืองควรจะให้ฟ่านยงมาแทนที่หรือไม่ ?"

"พ่ะย่ะค่ะ"

ฟ่านยงได้รับความโปรดปรานจากเสด็จแม่อย่างมาก ดังนั้นนางจึงพยักหน้า

หน้า 109 

หลายวันต่อมา จ้าวลี่ย่งฆ่าตัวตายขณะที่เดินทางไปฟางโจว

แสดงว่าสองคนนี้ น่าจะคือคนเดียวกันหรือเปล่าคะ คือจ้าวลี่ย่ง (ปรากฏชื่อมาในตอนแรกครั้งหนึ่ง)


51 และ 152

51

นับประสาอะไรกับตอนก่อนไท่จู่สวรรคต ก็มีเพียงไท่จงคนเดียวที่อยู่ข้างกาย ทั้งยังทิ้งประโยคเงาเทียนเสียงขวานที่กล่าวกับไท่จู่ด้วยความเศร้าอาดูรว่า "ระวังตัวให้ดีเถอะ"

แสดงว่า ไท่จงเป็นคนพูด

152

ข้าถึงได้นึกถึงประโยคสุดท้ายที่ข้าพูดกับเขา จงระวังตัวให้ดี

ยามเงาเทียนเสียงขวานของฮ่องเต้ไท่จู่ในปีนั้น นี่คือประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับฮ่องเต้ไท่จง

แสดงว่า ไท่จู่เป็นคนพูด

สรุปใครพูดกันแน่คะ โอเดาว่าฮ่องเต้ไท่จู่


198 รองผู้บัญชาการฝ่ายกิจการทหารหยาวฉงสวิน

ต้องเป็น หยางฉงสวิน

204 

ข้าหันกลับไปมองท่าทางลำพองใจของเขา เรียกทหารองครักษ์คนหนึ่งมา พูด: "ให้อัฐกับเขาสักหน่อยเถอะ"

"นายท่าน ท่านอย่าคิดใช้อัฐเล็ก ๆ น้อย ๆ มาไล่ข้าน้อยไปเชียว" ข้ารีบพูด

เขาเหลือบมองข้าด้วยดวงตาเย็นชาหนึ่งครั้ง: "โชคดีที่เจ้าเจอข้า มิเช่นนั้นแม่แต่ตัวเองตายยังไงเจ้าก็ยังไม่มีทางได้รู้"

แม้แต่ขู่กรรโชกก็ยังไม่รู้หนักรู้เบา ช่างโง่เขลายิ่งนัก


น่าจะเป็น เขารีบพูด หรือเปล่าคะ

261

ประกาศราชโองการของเสด็จแม่ที่ทิ้งเอาไว้ แต่งตั้งหยางไท่เฟยเป็นฮองไทเฮา กิจการบ้านเมืองและเรื่องทางการทหารที่สำคัญ ร่วมปรึกษากับหยางไทเฮา

หยางไทเฮา นี่เป็นตัวละครที่เพิ่งปรากฏชื่อครั้งแรกหรือเปล่าคะ โอสับสนเองใช่ไหม

264 

ข้าตั้งสติ ให้โป๋ฟางพาแย่นอ๋องเข้ามา กล่าวว่า: "เขาอายุมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ให้เขาเข้ามาเถอะ"

โป๋ฟางมองในตำหนักด้วยความลังเล ข้าเองก็คิดขึ้นมาได้ว่ามันถูกกาลเทศะ ดังนั้นจึงกล่าวว่า: "ช่างเถอะ ให้เขารออีกสักหน่อยก็แล้วกัน"

น่าจะเป็น ไม่ถูกกาลเทศะ

278

ข้าแต่งตั้งตามหลังให้นางเป็นฮองเฮา กัวชิงอี้ทะเลาะกับข้าในโถงตั้งศพของนาง จางเหม่ยเหรินออกมาตำหนิ พูดจาเลยเถิด ฮองเฮาโมโหอย่างยิ่ง สะบัดมือตบนาง ตบมาโดนลำคอของข้า

จางเหม่ยเหริน นี่คนละคนกับจางชิงหย่วนใช่ไหมคะ แล้วเพิ่งปรากฏชื่อครั้งแรกใช่ไหม โองงอีกแล้ว


เรื่องลำดับความสัมพันธ์ โอเข้าใจว่าจ้าวฉงจั้น ไม่ใช่หลานของฮ่องเต้ไท่จู่ แต่เป็นเหลนค่ะ

จากข้อมูลในเรื่อง 

- เขา (จ้าวฉงจั้น) เป็นลูกของอ๋องเหยี่ยนอี้ เต๋อจ้าว ซึ่งเป็นโอรสคนรองของฮ่องเต้ไท่จู่ หากนับตามลำดับศักดิ์แล้วถือเป็นหลานของข้า (50)
- ตอนที่เสด็จพ่อให้กำเนิดข้าก็อายุสี่สิบปีแล้ว ดังนั้นจ้าวฉงจั้นจึงแก่กว่าข้า ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปี (50)
- พี่ชายของอ๋องเหยียนอี๋ เต๋อจ้าวเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก เดิมทีเขาควรได้เป็นองค์รัชทายาท ทว่าฮ่องเต้ไท่จู่กลับมอบตำแหน่งนี้ให้กับน้องชายของเขา ซึ่งก็คือฮ่องเต้ไท่จง (51)
- เนื่องจากเรื่องกบฏทางทหาร หลังจากเขา (อ๋องเหยี่ยนอี๋ เต๋อจ้าว) ถูกตำหนิจากฮ่องเต้ไท่จงจึงฆ่าตัวตาย เหลือทิ้งไว้เพียงลูกชายห้าคน ซึ่งจ้าวฉงจั้นก็เป็นหลานของเขา (51)
- เมื่อน้องชาย (ฮ่องเต้ไท่จง) รับตำแหน่งได้ห้าปี ลูกชายของไท่จู่ก็เสียชีวิตกันหมด (51)
- เขา (จ้าวฉงจั้น) คือหลานคนโตจากลูกชายคนรองของฮ่องเต้ไท่จู่ (56)
- เขา (จ้าวฉงจั้น) เป็นหลานคนสำคัญของฮ่องเต้ไท่จู่ เพราะฉะนั้น... (56)
- ว่ากันว่าตอนที่เสด็จแม่ยังเยาว์นางคือสาวงามที่อ่อนโยนนุ่มนวล เสด็จพ่อมีความรักอันลึกซึ้งต่อนาง แต่ฮูหยินฉินกั่วที่เป็นแม่นมของเสด็จพ่อมีนิสัยเข้มงวด จึงไปเล่าเรื่องฐานะอันต้อยต่ำของเสด็จแม่ต่อหน้าฮ่องเต้ไท่จง ภายใต้แรงกดดันจากฮ่องเต้ไท่จง เสด็จพ่อจำต้องส่งนางไปที่บ้านของผู้บัญชาการจางฉี (73)
- จนกระทั่งไท่จงสวรรคต เสด็จพ่อขึ้นครองราชย์ (73)
- หลานของไท่จู่มีหลายคนที่มากความสามารถ ปีนั้นเสด็จพ่อเคยบอกว่า ความรู้ความสามารถของจ้าวฉงจั้นถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาหลานของเชื้อพระวงศ์ เรารู้สึกว่าแม้เขาจะเป็นคนระมัดระวังตัวเกินไปหน่อย ทว่าก็รักษากฎระเบียบได้ดี อีกทั้งยังเป็นหลานคนโต (101)
- หากคิดอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าปู่ของจ้าวฉงจั้นก็ฆ่าตัวตายเหมือนกัน (109)
- จ้าวฉงจั้น หลายชายคนโตของลูกชายคนรองไท่จู่ บุรุษรูปงามที่เป็นดั่งแสงอรุณ (151)

จากไฮไลท์สีเหลือง จะสนับสนุนเหตุผลที่จ้าวฉงจั้นเป็นเหลนของไท่จู่ (และเป็นหลานของอ๋องเหยี่ยนอี้ เต๋อจ้าว)

ไฮไลท์สีฟ้าจะขัดแย้งกับไฮไลท์สีเหลืองชัดเจน

โอคิดว่า คำที่ตกไปตั้งแต่ตอนแรก คือ เขาเป็นลูกของลูกอ๋องเหยี่ยนอี้ เต๋อจ้าว (ลูกของลูกก็คือหลาน)

และจากประโยค 
หลานคนโตจากลูกชายคนรองของไท่จู่ (56)  ประโยคนี้หมายถึง ยังเป็นหลานของไท่จู่
ขัดกับ
หลานชายคนโตของลูกชายคนรองไท่จู่ (151) ประโยคนี้หมายถึง เป็นหลานของลูกไท่จู่ ซึ่งก็คือเหลน


เขียนแผนผังความสัมพันธ์ออกมาได้ ดังนี้




















ในนิยายไม่ได้บอกว่าลูกของอ๋องเหยี่ยนอี้ เต๋อจ้าวมีใครบ้าง บอกแต่ว่ามี 5 คน ส่วน จ้าวฉงจั้น เป็นหลานคนโต ก็ไม่ได้บอกว่ามาจากลูกคนไหน

เนื่องจากพระเอกบอกว่าถ้านับตามลำดับศักดิ์ จ้าวฉงจั้นถือเป็นหลานของเขา ลำดับของจ้าวฉงจั้นจึงต้องต่ำกว่าพระเอกหนึ่งขั้น (เป็นอย่างน้อย) ไม่ใช่เท่ากัน แสดงว่า จ้าวฉงจั้นต้องไม่ใช่หลานของฮ่องเต้ไท่จู่ เหมือนที่พระเอกเป็นหลานของฮ่องเต้ไท่จง

แย้งได้นะคะ ถ้าโอเข้าใจผิดไป





หนังสือเรื่องนี้ขนาดจะใหญ่กว่าหนังสือนิยายปกตินะคะ




ด้านในมีหน้าสีเขียวในรองปกและสารบัญ มีสีเขียวในหน้าเปิดบทแต่ละบท
(ถ้านึกภาพไม่ออก โอมีเปิดให้ดูในวิดีโอที่เพจนะคะ)




.
.
.

ข้ายืนอยู่ท่ามกลางอากาศอบอุ่นเต็มไปด้วยดอกซิ่งผลิบาน มองรอยยิ้มอ่อนจางที่นางมอบให้จ้าวฉงจั้น

ดอกซิ่งเหล่านี้เอียงโค้งพัวพันสลับกันไปมา สีสันงดงามจับตา จนคนมองแทบจะลุ่มหลง อันที่จริงมันผลิบานได้สวยงามเช่นนี้แล้วมีประโยชน์อันใด ? ดอกของมันครึ่งหนึ่งร่วงลอยไปตามน้ำ อีกครึ่งหนึ่งหล่นกราวบนพื้นดิน เคยหรือที่จะหยุดอยู่ในชีวิตที่ไม่แน่นอนของใคร ?

กลับมาถึงตำหนักฉงเจิ้ง อยู่ในสถานที่ที่อึมครึมเช่นนี้ ข้าถึงรู้สึกถึงความโศกเศร้าในหัวใจ

ที่แท้การพบเจอกันอีกครั้งของพวกเราก็สายไปเสียแล้ว นางจะกลายเป็นภรรยาของคนอื่น และหลังจากนั้น...ก็จะเป็นแม่ของคนอื่น

ตอนเยาว์วัย ข้าเกลียดที่ตัวเองไม่มีกำลังปกป้องนาง แล้วตอนนี้ล่ะ ?

โชคชะตาไม่ใส่ใจข้าอย่างนั้นหรือ ?

ชะตาฟ้ากำหนดไม่ใช่สิ่งที่วอนขอได้ดังคาด

หน้า 98 
บทที่สี่ ศารทวิษุวัต 
สายลมและน้ำค้างหนึ่งทิวา ดอกซิ่งผลิบานดั่งหิมะ

.
.
.

นางจะแต่งงาน ข้าจะทำอะไรได้อีก ? ข้ามีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไรจากนาง ?

ข้ากับนางจากลากันเป็นเรื่องอดีตที่ผ่านมาหลายปีมากแล้ว ในความทรงจำของนาง ตั้งแต่ต้นจนจบขาก็ยังคงเป็นเพียงแค่น้องชาย นางไม่เคยสัญญาอะไรกับข้า

นิสัยพึ่งพาแบบเด็ก ๆ ของข้าในตอนนั้น มาถึงตอนนี้จะเอามาทำอะไรได้ ?

นางปรากฏตัวในยามที่ข้าต้องการคนให้พึ่งพามากที่สุด แต่น่าเสียดายที่ข้าปรากฏตัวในชีวิตของนางตอนช่วงอายุที่ไม่เหมาะสมมากที่สุด

ตอนที่ข้าโดดเดี่ยวมากที่สุด นางอยู่เป็นเพื่อนข้า ตอนที่นางต้องการคนเคียงข้าง ผู้ที่อยู่ข้างกายนางกลับเป็นจ้าวฉงจั้น

ตอนนี้ข้าโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์อะไรอีก ข้าต้องการให้นางเปลี่ยนบทบาทในชีวิตของข้า แต่ในชีวิตของนาง บทบาทของข้ากลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดกาล

หน้า 99-100 
บทที่สี่ ศารทวิษุวัต 
สายลมและน้ำค้างหนึ่งทิวา ดอกซิ่งผลิบานดั่งหิมะ

.
.
.

ในที่สุดข้าก็รวบรวมความกล้า พูดข้างหูนางเสียงเบา: "ก่อนที่เจ้าจะกลับไป...ข้าขอถามคำถามที่มีแต่คนของพวกเจ้าเท่านั้นที่รู้ได้ไหม ?"

นางเหลือบมองข้าหนึ่งครั้ง ถาม: "เรื่องอะไร ? ห้ามเป็นเรื่องใหญ่มากนะ ไม่อย่างนั้นข้าก็บอกไม่ได้"

ข้าได้ยินเสียงเลือดที่ไหลอยู่ตรงหน้าอกด้วยความเร็ว ราวกับเลือดลมเดือนพล่านขึ้นมา จนข้าถึงกับตัวสั่นน้อย  ๆ หวาดกลัวโชคชะตาที่ยังไม่รู้คำตอบ

ข้าคลี่มือของนางออก เขียนอักษรสองคำลงไปกลางฝ่ามือของนาง

อ้ายหมิ่น

อักษรสองตัวนี้ คราวก่อนนางเขียนให้ข้า มันแทบจะสลักลึกลงไปในชีวิตของข้า ข้าไม่รู้ว่าครั้งนี้มันจะสลักลึกลงไปในใจของนางหรือเปล่า

"ข้าต้องการให้คนคนนี้ อยู่ข้างกายข้าไปตลอดกาล...ความปรารถนานี้สุดท้ายแล้วข้าจะได้สมปรารถนาหรือไม่ ?"



ชั่วเวลาสั้น ๆ ที่ข้ารอคำตอบจากนาง ทว่ากลับยาวนานเหมือนมันได้เผาผลาญความไร้เดียงสาทั้งหมดของข้าไป

นางดึงมือกลับไปเบา ๆ ก้มหน้าลงมองกลางฝ่ามือของตัวเอง

เมื่อก้มหน้าเส้นผมจึงบดบังใบหน้าของนาง ดังนั้นข้าจึงไม่เห็นสีหน้าของนางแม้แต่นิดเดียว

จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น ข้ามองเห็นรอยยิ้มนิ่งสงบที่นางส่งมาให้อย่างชัดเจน ราวกับดอกกล้วยไม้เหล่านั้นที่ผลิบานยามราตรี เงียบสงบจนแทบจะเป็นเย็นชา

ความตั้งใจทั้งหมดของข้าเหมือนถลำจมลงไปในบ่อลึกไร้ที่สิ้นสุด จมลงไป จมลงไป จนกระทั่งไม่เหลือร่องรอยใด ๆ จากนั้นก็ไม่รู้ว่ามันหายไปตรงไหน ไม่ปรากฏขึ้นมาอีก

นางส่งยิ้มอ่อนจางมาให้ข้า พูด: "น้องชาย เรื่องนี้ไม่มีอยู่ในบันทึก เพราะว่าสำหรับประวัติศาสตร์อันแสนยาวนานแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เล็กมากจนไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง"

ข้ามองรอยยิ้มของนางด้วยความนิ่งสงบ

ในใจไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าไรนัก อันที่จริงข้าควรรู้มาตั้งนานแล้ว

เพียงแต่ว่าลมที่พัดผ่านหอปู้เทียนไถครานั้น เวลานี้ได้พัดกระโชกเข้ามาอีกครั้ง เสียงโครมดังหนึ่งที ตลอดทั้งฟากฟ้าก็ราวถล่มทลายลงมาต่อหน้า

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ถูกย้อมด้วยสีเลือดอันน่าสยดสยอง ประทับตรึงลงมาในดวงตาข้า จากนั้นข้าถึงสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดลึกล้ำ

นางพูดออกมาได้ง่ายเสียจริง แค่ประโยคเดียวก็บดขยี้ความตั้งใจทั้งหมดของข้าย่อยยับ

เรื่องที่เล็กมากจนไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง

หน้า 142-143
บทที่หก ข้าวสาลีเริ่มสุก
ดอกไม้ร่วงโรยบนพื้นดิน ไม่ได้ยินไม่ได้ยล

.
.
.



Create Date : 08 ธันวาคม 2561
Last Update : 8 ธันวาคม 2561 22:23:20 น.
Counter : 4049 Pageviews.

4 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสาวไกด์ใจซื่อ

  
น่าสนใจมากเลยนะคะเล่มนี้
เจิม
โดย: อุ้มสี วันที่: 8 ธันวาคม 2561 เวลา:18:06:47 น.
  
พอรู้ว่านักเขียนคนเดียวกันกับบันทึกปิ่นก็ซื้อมาดองเหมือนกันครับ
โดย: อุ้มสม วันที่: 9 ธันวาคม 2561 เวลา:13:08:21 น.
  
เออ บางอันก็สะดุดจริงนะ

แต่สนใจเพราะคนเขียนนี่แหละ

นี่พี่อ่านถึงเล่มสี่แล้วววว

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
auau_py Review Food Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
ออโอ Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 10 ธันวาคม 2561 เวลา:17:40:35 น.
  
คุณอุ้มสี สวัสดีค่า /ย่อรับการเจิม

คุณอุ้มสม แสดงว่าเราคล้ายกัน เห็นชื่อคนเขียนที่ชอบ มันอดรนทนไม่ไหว ต้องมีต้องโดน แถมโดนแล้วยังดองเก่งเหมือนกันด้วย ตอนนี้ใช้กำลังภายในสลาย จงหายไป เหมือนกับไขมันของข้าพเจ้า โอมจงเงย

พี่สาวไกด์ฯ อ๊าย ใกล้แล้วค่ะ ขอบคุณที่โหวตให้นะคะ /ย่อพนมมือ
โดย: ออโอ วันที่: 11 ธันวาคม 2561 เวลา:18:58:58 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ออโอ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [?]



โอเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก อ่านได้ทุกแนว เสาะแสวงหาเรื่องสนุกๆ แนวใหม่ๆ ตลอด หลายเรื่องไม่มั่นใจก็ค้นหารีวิว ถ้าชอบถ้าใช่ก็ลอง ลองแล้วชอบแล้วประทับใจก็อยากบอกต่อ บางครั้ง อ่านครั้งแรกรู้สึกอย่างนี้ อยากเก็บไว้เพื่อเป็นเรื่องราว บันทึกไว้กันลืม กลับมาย้อนอ่านก็จะได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งที่เราเคยอ่าน เรารู้สึกอย่างนี้ เวลาผ่านไป เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง ก็อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น "ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่าน" รู้สึกดีที่โลกนี้มีหนังสือ-โอ
New Comments