พฤศจิกายน 2562

 
 
 
 
 
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
22
25
26
28
30
 
All Blog
ความยุ่งเหยิงที่ไม่ยุ่งเหยิงในระบบควอนตัม
ความยุ่งเหยิงสับสนวุ่นวายของควอนตัมที่นักฟิสิกส์เห็นผ่านกล้องนั้นคือ ควอนตัมที่อยู่ในระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) เช่นเดียวกันกับทุกสรรพสิ่ง (โลก) ที่เริ่มต้นจากแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) ไปสู่แบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) มีการเข้าถึงระบบควอนตัม/ความจริงซึ่งเป็นพื้นฐานอยู่ 2 แนวทาง อย่างแรกคือ มองจากเล็กไปใหญ่ (bottom-up) อย่างที่สองคือ มองจากใหญ่ไปเล็ก (top-down) หรืออีกนัยหนึ่งคือ จากโลกใบใหญ่เข้าสู่โลกใบเล็ก และหรือจากโลกใบเล็กเข้าสู่โลกใบใหญ่

ในระดับโลกใบใหญ่/ระบบมหาภาค/ระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) สมอง ซึ่งแยกออกเป็นสามส่วนคือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลางและสมองส่วนท้าย ซึ่งแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถอธิบายการทำงานของสมองได้ 100% เนื่องจากมันถูกแบ่งแยกย่อยเป็นหลายส่วน และแต่ละส่วนก็ทำหน้าที่ตอบสนองแตกต่างกัน ทว่าสอดประสานกันเป็นวงจร จึงมองว่าสมองทั้งสามส่วนในระดับโลกใบใหญ่/ระบบมหาภาค/ระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) นั้นมีลักษณะทางความคิดและความรู้สึก/ความรู้สึกและความคิดที่เหมือนกันหมดคือ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความคิดและความรู้สึก/ความรู้สึกและความคิด ในที่นี้ขอนำเหรียญที่เหมือนกัน 3 เหรียญมาแทนที่สมองทั้งสามส่วนและเมื่อนำมาเรียงต่อกันโดยไม่เหมือนกันพบว่ามีความเป็นไปได้ 4 แบบด้วยกันสำหรับการเรียงเหรียญที่มีลักษณะเหมือนกัน 3 เหรียญ โดยที่แต่ละเหรียญจะมีสองด้านคือ หัวและก้อย ซึ่งหัว 2 และก้อย 1 ถือว่าเป็น 1 แบบ เมื่อเราเพิ่มเหรียญเป็น 8 อัน ความเป็นไปได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 256 ฉะนั้นความน่าจะเป็นที่จะได้หัวหรือก้อยหมดจะเป็น 2 / 256 คูณกับ 100 เท่ากับ 0.78 % ซึ่งมีค่าน้อยกว่า 1 % และถ้าเราเพิ่มจำนวนเหรียญเป็น 21 อัน ความน่าจะเป็นจะลดลงเหลือ1 ในล้าน และถ้าจำนวนของเหรียญเพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนโมเลกุลของอากาศภายในห้องนอน ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1027 ตัว ความน่าจะเป็นจะลดลงเป็น 1 ต่อ 1082 เมื่อจำนวนของอนุภาคเพิ่มขึ้นความเป็นไปได้จะเพิ่มขึ้นเราสามารถพูดได้ว่า ความมีระเบียบลดลงอย่างรวดเร็วส่วนความไร้ระเบียบจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย ยกตัวอย่างเช่น การประท้วงญัตติที่เกี่ยวกับม.44 และทำให้เกิดการล่มของสภาผู้แทนราษฎรเนื่องมาจากความไม่แสดงความเคารพในกฏเกณฑ์ของสภา และไม่เคารพซึ่งกันและกันระหว่างการใช้สมองส่วนหน้า/ความคิด-ความรู้สึก และ สมองส่วนท้าย/ความรู้สึก-ความคิด ที่ต่างฝ่ายต่างก็มีความต้องการ/มีความพยายามที่จะเป็นที่หนึ่งโดยหารู้ไม่ว่านี่คือ ส่วนหนึ่งของการไม่รู้จักหรือเรียนรู้ที่จะแยกแยะการทำงานระหว่างสมองส่วนหน้า/ความคิด-ความรู้สึก และ สมองส่วนท้าย/ความรู้สึก-ความคิด จึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหรือทุกคนดูเหมือนกันไปหมด

ในระดับโลกใบเล็ก/ระดับจุลภาค/ระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) สมอง ซึ่งแยกออกเป็นสามส่วนคือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลางและสมองส่วนท้าย ซึ่งมีลักษณะและการทำงานที่ไม่เหมือนกันคือ สมองส่วนหน้า/ความคิด-ความรู้สึก สมองส่วนท้าย/ความรู้สึก-ความคิด และสมองส่วนกลางจะเป็นส่วนที่รวมเอาผลสรุปของข้อมูลจากสมองส่วนหน้า/ความคิด-ความรู้สึก สมองส่วนท้าย/ความรู้สึก-ความคิด เข้ามารวมกันอยู่ภายในสมองส่วนกลาง ในที่นี้ขอนำเหรียญที่ไม่เหมือนกันมาเป็นตัวแทนของระบบอนุภาค  ซึ่งในระบบนี้มีอนุภาคอยู่เพียง 3 อัน จึงเป็นระบบที่ยังไม่ซับซ้อนนัก เหรียญอันหนึ่งจะมี 2 ด้าน คือหัวและก้อย เมื่อนำเหรียญทั้งสามมาเรียงต่อกัน โดยไม่เหมือนกัน จะมีความเป็นไปได้  8 แบบ หรือเราเรียกปรากฎการณ์ของการแยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นแต่ละส่วนก็จะแยกออกเป็นอีกสองส่วนรวมเป็นสี่ แล้วก็แยกเป็นแปดว่า กระบวนการสปาเกตตี้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กระบวนการย้อนกลับของการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาความจริง ซึ่งในระดับโลกใบใหญ่การสืบสวนสอบสวนเพื่อหาความจริงจะเริ่มขึ้นหลังจากมีสถานการณ์เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งจะมีการเริ่มต้นและสิ้นสุดกระบวนการในส่วนของภายนอกทั้งหมด ซึ่งในระดับโลกใบเล็กนั้นจะมีทั้งความเหมือนกันและแตกต่างกันสองระดับคือ 1. กระบวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาความจริงจะเริ่มขึ้นภายนอกและภายในพร้อมๆกันหลังจากที่มีสถานการณ์เกิดขึ้นแล้ว 2. การสืบสวนสอบสวนเพื่อหาความจริงในชั้นแรกๆจะเริ่มขึ้นทั้งภายนอกและภายในหลังจากมีสถานการณ์เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อเราทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาความจริงต่อไปหรือบ่อยๆหรือจนเกิดความเคยชินและเกิดความชำนาญ เราจะเริ่มรู้ได้ทันที่ถึงที่มาที่ไปของสถานการณ์ว่าเกิดขึ้นจากสมองส่วนหน้า/ความคิด-ความรู้สึก หรือ สมองส่วนท้าย/ความรู้สึก-ความคิด (เหมือนการเรียนรู้ทั่วไป) และถ้าหากเราไม่หยุดพัฒนาความรู้ความชำนาญระดับและขอบเขตของการรู้ก็จะถูกทำให้ยกสูงขึ้นและขยายความกว้างยาวสูง (ลึก) ออกไปเรื่อยๆจนกระทั่งเมื่อเราได้รับรู้หรือได้ยินข่าวว่ามีเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรามีอยู่ภายในก็จะทำให้สามารถสัมผัสและรับรู้ได้ทันทีถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ของสิ่งที่เกิดขึ้น (ฝนที่ตกทางโน้นหนาวถึงคนทางนี้/ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (butterfly effect) ทุกสิ่งทุกอย่าง/ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ต่างก็มีส่วนที่เชื่อมโยงส่งต่อและสะท้อนถึงกันเช่นเดียวกันกับระบบการทำงานภายในร่างกายของคนเราทั้งหมดที่ทำงานสอดประสานและทำให้เกิดเป็นวงจรที่เชื่อมการทำงานของทุกส่วนเข้าด้วยกัน ซื่งระบบไม่เพียงแต่เชื่อมต่อกันภายในเท่านั้นระบบยังเชื่อมต่อกับภายนอกในระดับที่คุณอาจคาดไม่ถึง ซึ่งมีทางเดียวที่คุณจะรับรู้ สัมผัสและเข้าถึงเข้าใจได้คือ การรู้จักการเรียนรู้ที่จะแยกแยะสมองส่วนหน้า/ความคิด-ความรู้สึก และสมองส่วนท้าย/ความรู้สึก-ความคิดออกจากกัน ซึ่งการแยกแยะทั้งสองส่วนออกจากกันก็เป็นไปเพื่อทำให้เกิดความกระจ่างชัดของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวหากล่าวโทษผู้อื่นหรือสิ่งอื่น และเพื่อยกระดับและขยายขอบเขตความรู้ความเข้าใจของตัวคุณเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มจำนวนของเซลล์ประสาทให้มีมากขึ้น และเมื่อเรามีจำนวนของเซลล์ประสาทเพิ่มมากขึ้นเราก็จะสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพิ่มมากขึ้นกว้างไกลขึ้นและลึกขึ้นตามไปด้วยตามลำดับของการมีเพิ่มมากขึ้น และเมื่อเรามีความสามารถในการรับรู้เพิ่มมากขึ้นความไม่รู้ก็จะลดลงน้อยลงซึ่งเป็นไปตามกฏของการเพิ่มและลดพลังงาน

ซึ่งโลกทั้งสองใบจะมีการซ้อนทับและพัวพันกันอยู่และมีส่วนที่เชื่อมต่อและไม่เชื่อมต่อถึงกัน คำว่า ไม่เชื่อมต่อก็มีความหมายว่า ไม่เชื่อมต่อและเชื่อมต่อ และในขณะเดียวกันและหรือในทางกลับกันคำว่า เชื่อมต่อก็มีความหมายว่า เชื่อมต่อและไม่เชื่อมต่อ ยกตัวอย่างเช่น สมอง ซึ่งแยกออกเป็นสามส่วนคือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลางและสมองส่วนท้าย
- สมองส่วนหน้ากับส่วนท้ายไม่ได้เชื่อมต่อกันในทางกายภาพ แต่ทั้งสองส่วนเชื่อมต่อถึงกันผ่านเซลล์ประสาท ซึ่งทั้งสองส่วนจะมีจำนวนเซลล์ประสาทที่ไม่เท่ากัน และการมีจำนวนเซลล์ประสาทที่ไม่เท่ากันของสมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้ายทำให้เกิดเป็นกำแพงหรืออุโมงค์ควอนตัมสำหรับสมองส่วนหน้าหรือความคิดที่จะเข้าไปทำให้เกิดกระบวนการสร้าง-ทำลาย/เกิด-ตายภายในสมองส่วนท้าย แต่ในขณะเดียวกันและหรือในทางกลับกันสมองส่วนท้าย/ความรู้สึกสามารถเดินเข้าเดินออกภายในสมองส่วนหน้าเมื่อไหร่ก็ได้เนื่องจากมีจำนวนเซลล์ประสาทที่มากกว่า นี่คือส่วนหนึ่งของความได้และไม่ได้/ใช่และไม่ใช่/มีและไม่มี/เป็นและไม่เป็น/อยู่และไม่อยู่/รู้และไม่รู้/จริงและไม่จริง/แน่นอนและไม่แน่นอนที่อยู่ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน —->สิ่งเดียวกันใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—->เวลาเดียวกันที่ใช่และไม่ใช่เวลาเดียวกันในเวลาเดียวกัน
- สมองส่วนหน้าเชื่อมต่อกับส่วนกลาง และสมองส่วนท้ายก็เชื่อมต่อกับส่วนกลางทำให้ผลจากข้อมูลที่ผ่านความคิด-รู้สึกในการวิเคราะห์หาเหตุและผลจากสมองส่วนหน้าและผลจากข้อมูลที่ผ่านการพิจารณาความรู้สึก-ความคิดที่มีอยู่จากสมองส่วนท้ายจะถุกส่งต่อเข้ามารวมกันอยู่ภายในสมองส่วนกลาง และเมื่อไหร่ที่มนุษย์ได้ทำการตัดสินใจเลือกที่จะนำข้อมูลส่วนไหนออกมาลงมือปฏิบัติภายนอก ข้อมูลส่วนที่ไม่ได้เลือกจะยุบหายไปจากสมองส่วนกลางทันที ซึ่งการเหลือข้อมูลเพียงส่วน/ด้านเดียวคือ ความคิด-รู้สึก หรือความรู้สึก-ความคิด ซึ่งตามหลักของธรรมชาติที่เป็นอยู่/มีอยู่ณ.ขณะนี้โลกกำลังอยู่ในระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) หรืออีกนัยหนึ่งคือ ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองน้อย/แรงไทดัลและแรงโน้มถ่วงที่ควบคุมการทำงานของสมองน้อยและหรือขั้วบวกขั้วลบที่อยู่ภายในสมองน้อยอีกชั้นหนึ่ง และทำให้โลก/คนเราเกิดมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และเมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่เราก็จะมีความต้องการ/ความพยายามที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งที่ตัวเราเองมีอยู่ หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ มีความต้องการ/ความพยายามที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความสะดวกสบายและความเคยชินเก่าๆของเราเอง ยิ่งเราใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะนั้นนานเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเดินออกจากสภาวะนั้นได้ยากขึ้นเท่านั้น และเราก็จะยิ่งนำสภาวะที่เป็นอยู่/มีอยู่มานั้นใช้บ่อยขึ้น จนในที่สุดเราก็จะจมอยู่กับสภาวะนั้นไปตลอดกาล

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความบทนี้จะทำให้ผู้อ่านทุกคนมีความกระจ่างมากขึ้น วิธีที่ใช้ในการทำความเข้าใจกับการอ่านบทความที่มีความละเอียด ซับซ้อนและซ้อนทับคือ การเพิ่มความละเอียด ความซับซ้อนและซ้อนทับให้มากขึ้นแยกเป็นสองวิธีคือ 1. อ่านซำ้ไนส่วนที่ไม่เข้าใจหลายๆรอบ และพยายามใช้ความคิดในขณะที่อ่านแทนการใช้ความรู้สึกเนื่องจากการใช้ความรู้สึกจะนำไปสู่ความไม่รู้ไม่เข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น แต่การใช้ความคิดจะนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น 2. แสดงความคิดเห็นเพื่อให้เปลี่ยนสถานะของผู้เขียนให้เป็นผู้อ่าน ซึ่งมีความน่าจะเป็นสองทางคือ ทำให้เรามีความรุ้และความเข้าใจมากขึ้นหรือเท่าเดิม สาเหตุที่ทำให้เรามีความรุ้และความเข้าใจมากขึ้นเนื่องจากความสามารถในการทำให้มีเพิ่มขึ้นและลดลงของช่องว่าง/ระดับของการสื่อสารและทำความเข้าใจระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน สาเหตุที่ทำให้เรามีความรุ้และความเข้าใจเท่าเดิมก็เนื่องมากจากความไม่สามารถทำให้มีเพิ่มขึ้นและลดลงของช่องว่าง/ระดับของการสื่อสารและทำความเข้าใจระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน ซึ่งการทำให้มีเพิ่มขึ้นและลดลงของช่องว่าง/ระดับของการสื่อสารและทำความเข้าใจระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านนี้สามารถทำได้สองทางคือ 1. เป็นหน้าที่และเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนที่มีจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบต่อบทความที่ตัวเองเป็นผู้เขียนขึ้นมาทั้งหมดโดยการเพิ่มและยกระดับรวมทั้งขยายขอบเขตความพยายามและความกระจ่างชัดให้เกิดมีขึ้นกับผู้อ่านมากขึ้น แต่การกระทำดังกล่าวจะมีข้อเสียคือ จะเป็นการมีเพิ่มขึ้นที่ไม่เท่ากันระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านคือ เพิ่มมากขึ้นในส่วนของผู้เขียน และจะมีเพิ่มมากขึ้นและลดลงในส่วนของผู้อ่านคือ เพิ่มการมุ่งที่จะเรียกร้องถามหาคำอธิบายจากคนอื่นมากขึ้น และมีลดลงในความพยายามที่จะมองหา/ค้นหาความกระจ่างให้กับตัวเอง เนื่องจากเมื่อเราได้รับความกระจ่างจากผู้อื่นแล้วเราก็จะเข้าใจว่า เพียงพอแล้ว ซึ่งในระดับควอนตัมการรับความกระจ่างจากผู้อื่นจะทำให้เราเกิดความกระจ่างและไม่เกิดความกระจ่างในสิ่งเดียวในเวลาเดียวกันคือ ทำให้เราเกิดความกระจ่างในส่วนของผู้อื่นและทำให้ดูเหมือนกับว่าเราเดินไปข้างหน้า แต่ในระดับควอนตัมการไม่ทำให้เราเกิดความกระจ่างให้กับตัวเองจะเท่ากับว่าเราไม่ได้พาความคิด-ความรู้สึก และหรือความรู้สึก-ความคิดในส่วนของการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองที่ทุกคนจะต้องทำให้เกิดมีขึ้นด้วยตัวเองและทำให้เราเดินออกจากจุดที่เรายืนอยู่ หรือที่เรียกว่า การนำเอาอนาคตมาทำให้เป็นปัจจุบันด้วยตัวเอง 2. จำเป็นต้องทำให้เกิดมีขึ้นทั้งสองฝ่ายเพื่อทำให้ช่องว่าง/ระดับได้รับการเติมเต็มทั้งสองด้านและสองฝ่ายเพื่อยกระดับและขยายขอบเขตความรู้ความสามารถให้กับตัวเองและโลกที่เราอาศัยอยู่



Create Date : 29 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2562 9:16:51 น.
Counter : 610 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3784113
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



จุกมุ่งหมายคือ การรู้แจ้งเห็นจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

There is no way to happiness, happiness is the way.

การปิดทองหลังพระ ถ้าเราไม่หยุดปิด วันหนึ่งทองก็จะล้นมาด้านหน้าพระเอง

คำพูดที่ปราศจากการกระทำนั้นได้ตายไปแล้ว