มิถุนายน 2561

 
 
 
 
 
1
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
18
20
22
25
26
27
28
 
All Blog
ทางสายตรงคือ ทางแห่งผู้นำ

ทางสายตรงคือ ทางแห่งผู้นำ เราคือผู้กำหนดความสุขและความทุกข์ด้วยตัวเราเอง ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พบเจอกับความทุกข์อีกเลย แต่หมายความว่าความทุกข์จะไม่ทำให้เรารู้สึกเป็นทุกข์ได้อีกต่อไป ความสุขและความทุกข์ถูกกำหนดจากความรู้ความเข้าใจและถูกหนดจากปัญญาญาณหรือการรู้ ทางแห่งผู้นำมีสองทางคือ ทางแห่งผู้นำที่เป็นผู้นำ และ ทางแห่งผู้นำที่เป็นผู้ตาม ไม่มีอะไรสูญเปล่า ถ้าเราไม่เป็นผู้นำเพื่อเป็นผู้นำ เราก็ผู้นำเพื่อเป็นผู้ตาม ถ้าเราไม่เป็นคนเดินข้ามสะพาน เราก็เป็นสะพานให้ผู้อื่นก้าวเดิน ถ้าเราไม่พัฒนาพลังงานบวกเราก็พัฒนาพลังงานลบ ถ้าเราไม่เดินออกจากความมืด เราก็เดินลึกเข้าไปในความมืด ถ้าเราไม่เดินออกจากความคิดและความรู้สึกด้านลบ เราก็เดินลึกเข้าไปในความคิดและความรู้สึกด้านลบของเราเอง ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรของโลกและกฎของธรรมชาติ ทั้งกฎของโลกและกฎแห่งธรรมชาติต่างก็มีการทำงานที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันและมีการทำงานที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกันกับความคิดและความรู้สึกที่มีการทำงานที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันและมีการทำงานที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง โลกคือการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยน โลกหมุน 24/7 ไม่มีวันหยุดพัก

กฎของโลกคือ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดความรู้สึก, ความคิดความรู้สึก+การกระทำ ความคิด(สมอง) คือ กระแสไฟฟ้า (พลังงานบวก) และอิเล็กตรอน (พลังงานลบ) ความรู้สึก (เส้นประสาทสัมผัส) คือ แม่เหล็ก ขั้วบวกขั้วลบ ความคิดความรู้สึกทำงานสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน (อดีต,ปัจจุบัน,อนาคต) ภายในความคิดบวกมากหรือน้อยเกินไปและความคิดลบมากหรือน้อยเกินไป และภายในความคิดบวกและลบมากหรือน้อยเกินไปมีความจริงและความไม่จริงและภายในความจริงและความไม่จริงก็มีความเชื่อและความไม่เชื่อและภายในความเชื่อและความไม่เชื่อก็มีความเป็นไปได้และมีความเป็นไปไม่ได้และภายในความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้ก็มีความแน่นอนและความไม่แน่นอนและภายในความแน่นอนและความไม่แน่นอนก็มีวัฏจักรของตัวเอง (การพึ่งพาตัวเอง) และวัฏจักรของกันและกัน (การพึ่งพาซึ่งกันและกัน) และภายในวัฏจักรของตัวเอง (การพึ่งพาตัวเอง) และวัฏจักรของกันและกัน (การพึ่งพาซึ่งกันและกัน) ก็มีทางสายตรงและทางสายกลาง

กฎแห่งธรรมชาติคือ การเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึก, ความรู้สึก+การกระทำ ความรู้สึกคือ แม่เหล็ก จิตวิญญาณ soul คือขั้วบวก (อนาคต) จิตวิญญาณ spirit คือขั้วลบ (อดีต) ความคิดและความรู้สึกมีการทำงานที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันและมีการทำงานที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ภายในความรู้สึกก็มีความรู้สึกบวกมากหรือน้อยเกินไปและความรู้สึกลบก็มีความรู้สึกลบมากหรือน้อยเกินไป และภายในความรู้สึกบวกหรือลบมากหรือน้อยเกินไปก็มีความจริงและความไม่จริงและภายในความจริงและความไม่จริงก็มีความเชื่อและความไม่เชื่อและภายในความเชื่อและความไม่เชื่อก็มีความเป็นไปได้และมีความเป็นไปไม่ได้และภายในความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้ก็มีความแน่นอนและความไม่แน่นอนและภายในความแน่นอนและความไม่แน่นอนก็มีวัฏจักรของตัวเอง (การพึ่งพาตัวเอง) และวัฏจักรของกันและกัน (การพึ่งพาซึ่งกันและกัน) และภายในวัฏจักรของตัวเอง (การพึ่งพาตัวเอง) และวัฏจักรของกันและกัน (การพึ่งพาซึ่งกันและกัน) ก็มีทางสายตรงและทางสายกลาง

เริ่มต้นจากสิ่งที่เรามีไปสู่สิ่งที่เราไม่มี ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นจากพลังงานบวกหรือพลังงานลบก็ไม่สำคัญเท่าเรากำลังจะนำพาพลังงานบวกหรือพลังงานลบของเราไปสู่ที่ใด เราสามารถใช้ความคิดเพื่อเปลี่ยนความคิดภายในของเราได้ เราสามารถใช้ความรู้สึกเปลี่ยนความรู้สึกภายในของเราได้ แต่เราไม่สามารถใช้ความคิดหรือความรู้สึกภายในเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม/อดีต/ปัจจุบัน/อนาคตภายนอกของเราได้ เราจะต้องนำความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในของเราออกมาลงมือปฎิบัติภายนอก เราทุกคนทำในสิ่งที่เราทำเพราะนั่นคือสิ่งที่เรามี เราไม่สามารถนำพาตัวเราเดินออกจากจุดที่เราไม่ได้ยืนอยู่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เราทำจึงเป็นธรรมชาติของสิ่งที่เรามีณ.เวลานั้นไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญคือเราได้นำสิ่งที่เราคิดและทำไปแล้วมาเรียนรู้และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ (เรียนรู้และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมคือ การคืนความสมดุล์ให้กับความคิดและความรู้สึก) เพราะมีเพียงการนำสิ่งที่เราคิดได้และลงมือทำไปแล้วมาเรียนรู้และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมหรือนำสิ่งที่เราคิดได้ใหม่มาลงมือทำใหม่เท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนพฤติกรรม/อดีต/ปัจจุบัน/อนาคตภายนอกของเราได้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราไม่มีแต่เป็นสิ่งที่เราต้องการ สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายนอกคือภาพสะท้อนของสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน การพยายามแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกโดยไม่แก้ไขภายในของตัวเองคือ ความพยายามเดินออกจากปัญหาบนฐานของปัญหาที่ทำให้เราเจอกับปัญหาที่ไม่มีที่สิ้นสุดคือ การเป็นผู้นำที่เป็นผู้ตามหรือการแก้ปัญหาหนึ่งเพื่อสร้างอีกปัญหาหนึ่งขึ้นมาวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด ยกตัวอย่างเช่น การสร้างกฎเกณฑ์และการแหกกฎเกณฑ์และการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อใช้แทนกฎเกณฑ์เก่าหมุนเวียนไปมาไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงการใช้ทางสายตรงที่เป็นทางแห่งผู้นำที่เป็นผู้นำเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถเดินออกจากวังวนที่ไม่สิ้นสุดได้ เราไม่สามารถเป็นผู้นำได้โดยไม่เคยเป็นผู้ตามและเราไม่สามารถเป็นผู้นำได้โดยไม่ละทิ้งการเป็นผู้ตาม การเดินเข้าออกระหว่างการเป็นผู้นำและผู้ตามก็เพื่อการลดละเลิกการเป็นผู้ตามที่ละอย่างไปสู่การเป็นผู้นำโดยสมบูรณ์

ทางแห่งผู้นำที่เป็นผู้นำคือ ผู้นำพลังงานบวก แบ่งออกเป็นผู้นำทางความคิดและผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำทางความคิดด้านบวกคือ การใช้ประโยชน์จากความคิดของเราเองเพื่อตัวเองและผู้อื่น ผู้นำทางจิตวิญญาณคือ การใช้ความคิดด้านบวก+การใช้ความรักที่มีเงื่อนไขและความรักโดยปราศจากเงื่อนไขนำพาจิตวิญญาณ soul ขั้วบวกคือ ความอยากได้อยากมีในอนาคตมาอยู่ในปัจจุบันและนำความอยากได้อยากมีเดินออกจากปัจจุบันไปสู่อนาคตและใช้ความคิดด้านบวก+ความรักโดยปราศจากเงื่อนไขนำพาจิตวิญญาณ spirit ขั้วลบเดินออกจากความรู้สึกในอดีตมาสู่ความรู้สึกในปัจจุบันและนำความรู้สึกเดินออกจากปัจจุบันไปสู่ความรู้สึกในอนาคต ไปสู่การหลุดพ้นบางส่วนและไปสู่ความเป็นปัญญาญาณและไปสู่การหลุดพ้นถาวรโดยความตาย ยกตัวอย่างเช่น การเป็นผู้นำในการเรียกร้องถามหาสิทธิเสรีภาพความปรองดองจากผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการโดยคำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นหลักคือ การหาประโยชน์จากความคิดและการกระทำของตัวเองและของผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องคือ ผู้นำที่เป็นผู้ตามไปสู่การเป็นผู้นำที่เป็นผู้นำ ดังเช่นมหาตมาคานธีที่ใช้วิธีสัตยาเคราะห์และสัตยาเคราะห์เกลือในการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม

ทางแห่งผู้นำที่เป็นผู้ตามคือ ผู้นำพลังงานลบ แบ่งออกเป็นผู้นำที่เป็นผู้ตามทางความคิดและผู้นำที่เป็นผู้ตามที่ทางจิตวิญญาณ ผู้นำที่เป็นผู้ตามทางความคิดด้านลบคือ การหาประโยชน์จากความคิดของเราเองและของผู้อื่นเพื่อตัวเอง ผู้นำที่เป็นผู้ตามทางจิตวิญญาณคือ การเดินตามจิตวิญญาณ soul และจิตวิญญาณ spirit ของตัวเองและของผู้อื่น=การพายเรือนวนอยู่กับความคิดความรู้สึกของตัวเองในอดีตและความอยากได้อยากมีในอนาคต ซึ่งการพายเรือนวนอยู่กับความคิดความรู้สึกในอดีตและความอยากได้อยากมีในอนาคตมีจุดประสงค์สองทางคือ การพายเรือนวนอยู่กับความรู้สึกในอดีตเพื่ออยู่กับความรู้สึกในอดีตหรือการพายเรือนวนอยู่กับความอยากได้อยากมีในอนาคตเพื่ออยู่ในอนาคต(อนาคตที่ยังมาไม่ถึง) หรือ การพายเรือนวนอยู่กับความรู้สึกในอดีตเพื่อนำพาความรู้สึกในอดีตมาสู่ปัจจุบันและนำพาความรู้สึกในปัจจุบันไปสู่ความรู้สึกในอนาคตหรือการพายเรือนวนอยู่กับความอยากได้อยากมีในอนาคตมาอยู่ในปัจจุบันและนำพาความอยากได้อยากมีไนปัจจุบันไปสู่การได้มาการมีในอนาคต ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการเป็นผู้นำเพื่อเป็นผู้ตามตลอดไป หรือ เราต้องการเปลี่ยนสถานะจากการเป็นผู้นำเพื่อเป็นผู้ตามไปสู่การเป็นผู้นำเพื่อเป็นผู้นำ ยกตัวอย่างเช่น การเป็นผู้นำในการเรียกร้องถามหาสิทธิเสรีภาพความปรองดองจากผู้อื่นแทนการปรับปรุงความคิดความรู้สึกและการกระทำของตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นคือ การหาประโยชน์จากความคิดและการกระทำของตัวเองและของผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องคือ ผู้นำที่เป็นผู้ตามทางความคิดและจิตวิญญาณของตัวเอง

เราคือวัฏจักรของตัวเอง (พึ่งพาตัวเอง) เราคือผู้ที่ต้องแสดงความเคารพและแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดความรู้สึกและการกระทำของตัวเอง 100% ที่กระทำต่อตัวเอง
- การไปให้ถึงของทางสายตรงภายในคือ การนำพาความคิดด้านบวกและจิตวิญญาณ soul ขั้วบวกในการสร้างสรรค์และจิตนาการเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยมีอยู่บนโลกนี้หรือสิ่งใหม่ที่เราไม่เคยมีไม่เคยทำมาก่อนหรือการลอกเลียนแบบผู้อื่นแล้วนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ที่มีความแตกต่างไปจากเดิมเพื่อไปให้ถึง โดยใช้ความรักที่มีเงื่อนไขและความรักโดยปราศจากเงื่อนไข
- การไปให้สุดทางของทางสายตรงภายในคือ การใช้ความคิดด้านบวกและจิตวิญญาณ soul ขั้วบวกนำพาความคิดด้านลบและจิตวิญญาณ spirit ขั้วลบของตัวเองไปสู่การหลุดพ้นบางส่วนและไปสู่ความเป็นปัญญาญาณและไปสู่การหลุดพ้นถาวรโดยความตาย โดยการไม่ละทิ้งความรักโลภโกรธหลง แต่ทำให้ความรักโลภโกรธหลงเกิดความสมดุลย์ในตัวเอง โดยการใช้ความรักโดยปราศจากเงื่อนไข

เราคือวัฏจักรของกันและกัน (พึ่งพาซี่งกันและกัน) เราคือผู้ที่ต้องแสดงความเคารพและแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดความรู้สึกและการกระทำของตัวเองที่กระทำต่อผู้อื่น 100%
- การไปให้ถึงของทางสายตรงภายนอกคือ เราไม่จำเป็นต้องทำให้ดีที่สุด แต่เราจำเป็นต้องทำเพื่อไปให้ถึงในทุกสิ่งที่ทำและการไปถึงในทุกสิ่งที่ทำจะนำพาเราไปสู่ที่สุดโดยอัตโนมัติคือ การรักษาตัวเองและการ save the world การช่วยให้ผู้อื่นรู้จักการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์พูนสุขและความมั่งคั่งรำ่รวยที่นำมาซึ่งความสุขของกันและกัน การสร้างและรักษาสมดุลย์ให้เกิดขึ้นในทุกสิ่งที่เราคิดและทำ โดยการสร้างและรักษาสมดุลย์ภายในพลังงานบวก 1.เริ่มต้นกระบวนการคิดใคร่ครวญ-ไตร่ตรอง 2.สังเกตุการให้เหตุผลและอารมณ์ความรู้สึก 3.ตัดสินใจเลือกสิ่งที่จะทำ 4. ลงมือทำสิ่งที่เลือก โดยการสร้างและรักษาสมดุลย์ภายในพลังงานลบ 1.การเลิกแก้ตัว 2.ไม่ยึดติด 3.ไม่คิดไปเอง 4.ไม่โทษผู้อื่น โดยการใช้ความรักที่มีเงื่อนไขและความรักโดยปราศจากเงื่อนไขนำทาง
- การไปให้สุดทางของทางสายตรงภายนอกคือ การช่วยเหลือเพื่อให้ผู้อื่นสามารถช่วยตัวเองในการนำพาความคิดและจิตวิญญาณ spirit ของผู้อื่นไปสู่การหลุดพ้นบางส่วนและไปสู่การหลุดพ้นถาวร หรือไปสู่ความเป็นสุญญากาศบางส่วนและไปสู่ความเป็นสุญญากาศถาวร โดยการไม่ละทิ้งความรักโลภโกรธหลง แต่ทำให้ความรักโลภโกรธหลงเกิดความสมดุลย์ในตัวเอง โดยการใช้ความรักโดยปราศจากเงื่อนไขนำทาง

ทางสายตรง = กระแสไฟฟ้า (พลังงานบวก) และอิเล็กตรอน (พลังงานลบ)



Create Date : 14 มิถุนายน 2561
Last Update : 14 มิถุนายน 2561 19:58:23 น.
Counter : 486 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3784113
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



จุกมุ่งหมายคือ การรู้แจ้งเห็นจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

There is no way to happiness, happiness is the way.

การปิดทองหลังพระ ถ้าเราไม่หยุดปิด วันหนึ่งทองก็จะล้นมาด้านหน้าพระเอง

คำพูดที่ปราศจากการกระทำนั้นได้ตายไปแล้ว