กุมภาพันธ์ 2561

 
 
 
 
1
3
6
10
13
14
16
17
18
19
20
22
24
25
26
27
28
 
 
All Blog
100%ของชีวิตเราถูกกำหนดขึ้นจากการรู้และไม่รู้ของเราเอง
มนุษย์มีสิ่งที่คิดว่ารู้และคิดว่าไม่รู้อยู่ทั้งภายนอกและภายใน สิ่งที่สร้างปัญหาให้กับเราครึ่งหนึ่งมาจากสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ทั้งภายนอกและภายใน และสิ่งที่ไม่สร้างปัญหากับเราเลยครึ่งหนึ่งมาจากสิ่งที่เราไม่รู้ทั้งภายนอกและภายใน หลายคนคงเคยพยายามที่จะค้นหาคำตอบให้กับคำถามบางคำถามแต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แต่อยู่ๆก็คิดได้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีอะไรเป็นเหตุบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างมีที่มาที่ไป ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราอยู่ในท้องแม่ 9 เดือนเราอาจต้องใช้ความพยายามร่วมด้วยในการดูดซึมอาหารเพื่อใช้เสริมสร้างอวัยวะต่างๆ แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอาหารที่เราดูดซึมจะนำไปเลี้ยงอวัยวะส่วนใดก่อนส่วนใดหลัง เราให้ความเชื่อใจและไว้ใจในสิ่งที่เราไม่รู้แล้วทุกอย่างก็ถูกทำให้สมบูรณ์แบบโดยกระบวนการทางธรรมชาติ การใช้ชีวิตก็ไม่ต่างกัน
การให้ความเชื่อและความไว้ใจกับสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้มากเกินไปอาจเป็นการทำร้ายทำลายตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะ25%ของความรู้ที่เราคิดว่ารู้ช่วยสร้างสรรค์ชีวิตเรา อีก25%ของความรู้ที่เราคิดว่ารู้คือตัวทำลายชีวิตเรา และ50%ของสิ่งที่เราไม่รู้คือสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตเราหรือพรากชีวิตไปจากเรา ซึ่งการพรากชีวิตคือการช่วยชีวิตที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์โดยการทำให้เราพ้นจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมานไม่ว่าจะเป็นการจากด้วยการเสื่อมไปเองของอวัยวะในร่างกาย,โรคภัยไข้เจ็บหรืออุบัติเหตุ จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เราควรระวังและควรทำความเข้าใจมากๆคือ ความรู้ที่เราคิดว่าเรารู้ อย่าปล่อยให้สิ่งที่เราคิดว่ารู้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของเราเอง และอย่าปฏิเสธสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้อาจเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เราออกจากสถานการณ์ที่ลำบากได้ง่ายและเร็วที่สุด

เรารู้และไม่รู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกในเวลาที่สติไม่อยู่กับตัวณ.เวลาปัจจุบัน(unconscious) เรารู้และไม่รู้เรื่องอะไรเลยที่เกิดขึ้นภายนอกในเวลาที่สติอยู่กับตัวณ.เวลาปัจจุบัน(conscious) ความหมายคือ เราอาจจะคิดว่าเราไม่รู้ แต่จริงๆแล้วเรารู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเราผ่านสองช่องทางคือ ผ่านทางเซลล์สมองที่สามารถรับรู้ความรู้สึกและคิดคำนวณทางร่างกายและผ่านทางจิตวิญญาณ(spirit) ทั้งเซลล์สมองและจิตวิญญาณที่อยู่ภายในของทุกคนคือแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความเป็นอัจฉริยะมากที่สุด ทั้งเซลล์สมองและจิตวิญญาณสามารถสแกนและเก็บข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราได้อย่างแม่นยำและถี่ถ้วนไม่มีตกหล่นในเวลาอันรวดเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการอยากรู้อะไรก็ตามคนที่เราควรถามควรปรึกษาควรให้ความไว้วางใจมากที่สุดก็คือตัวเราเอง เวลาที่เหมาะสมที่สุดมีหนึ่งเวลาสองสถานการณ์คือ สถานการณ์ที่เราไร้สติมากที่สุดและสถานการณ์ที่เรามีสติมากที่สุด ซึ่งทั้งสองสถานการณ์รวมอยู่ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ปกติคือสถานการณ์ไม่ปกติ และ สถานการณ์ไม่ปกติคือสถานการณ์ปกติ สถานการณ์ปกติคือสถานการณ์ปกติ และ สถานการณ์ไม่ปกติคือสถานการณ์ไม่ปกติ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนครีมอาบน้ำจากยี่ห้อหนึ่งไปเป็นอีกยี่ห้อหนึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนครีมอาบน้ำธรรมดาหรืออาจเป็นสัญญาณบอกไบ้อะไรบางอย่างที่ส่งออกมาจากสิ่งที่เราคิดว่าไม่รู้แต่รู้ภายในของเราเอง หรือการเขียนความต้องการที่อยากจะมีหรืออยากจะเป็นลงกระดาษแล้วนำไปฝังลงดินในวัยเด็ก เมื่อกลับไปดูกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้งเรากพบว่าเรากำลังมีหรือเป็นตามสิ่งที่เราเขียนเอาไว้ หรือในเวลาที่เรากำลังหนีตายเรากลับพยายามเรียนรู้ภาษาต่างชาติซึ่งไม่มีความจำเป็นในขณะที่เรากำลังหนีตาย เป็นต้น



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2561 12:14:11 น.
Counter : 611 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3784113
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



จุกมุ่งหมายคือ การรู้แจ้งเห็นจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

There is no way to happiness, happiness is the way.

การปิดทองหลังพระ ถ้าเราไม่หยุดปิด วันหนึ่งทองก็จะล้นมาด้านหน้าพระเอง

คำพูดที่ปราศจากการกระทำนั้นได้ตายไปแล้ว