มิถุนายน 2563

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
การถอดจิต การเกิด-ตาย ในระดับควอนตัม

การถอดจิต การเกิด-ตาย ไม่ว่าจะเป็นในทางความคิด ความรู้สึก และการกระทำ หรือในความหมายของวิญาญาณออกจากร่าง หรือการนั่งสมาธิจนเกิดมีความรู้สึกว่าจิตได้ล่องลอยขึ้นไปอยู่จุดๆหนึ่งแล้วสามารถพูดคุยกับตัวเอง หรือสามารถสิ่อสารพูดคุยกับสิ่งอื่นได้ หรือบางคนมีอาการกึ่งหลับกึ่งตื่นแล้วเห็นตัวเองกำลังนอนอยู่ หรือแฝดปีศาจ Doppelgänger (ด็อปเพลเก็งเงอร์) หรือ Doppelganger หรือ ตัวตนขั้นสูง-ตำ่ (Higher-lower Self) ไม่เพียงแต่คนอื่นเท่านั้นที่จะเห็นแฝดปีศาจของเรา ตัวบุคคลต้นแบบเองก็สามารถเห็น Doppelgänger ของตัวเองได้เช่นกัน ทั้งหมดเปรียบได้กับภาพเงาในกระจก หรือภาพสะท้อน หรือภาพฮอโลแกรม ซึ่งจะมีการซ้อนทับและพัวพันกันอยู่สาม (สี่) ส่วน/มิติคือ โลก ตัวเราและผู้อื่น (คน สัตว์ สิ่งของ) ทั้งสาม (สี่) ส่วน/มิติคือ สิ่งเดียวกันที่ใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน (เปรียบได้กับสมองทั้งสาม (สี่) ส่วน/มิติ) ทั้งสาม (สี่) ส่วน/มิติในระบบควอนตัมถือเป็นองค์ประกอบของระบบเดียวกัน ซึ่งในความเป็นองค์ประกอบของระบบเดียวกันก็จะแยกออกเป็นสี่มิติที่ซ่อนอยู่ในสามมิติและซ่อนอยู่ในสองมิติและหนึ่งมิติคือ ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ใช่คือไม่ใช่ และไม่ใช่คือใช่ = สมการทั้งสี่สมการของแมก์เวล โดยสองสมการแรกบอกเราเกี่ยวกับผลกระทบและปรากฏการณ์ของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ส่วนอีกสองสมการซึ่งเป็นสมการที่สำคัญมากที่สุด เพราะทำให้เห็นว่าทั้งสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กนั้นเป็นสิ่งๆ เดียวกัน สมการแมกซ์เวลเป็นสมการที่อยู่ในรูปของปริพันธ์ (Integration) ซึ่งติดรูปแบบของสมการเชิงอนุพันธ์ (Differential equations) มาด้วย โดยต้องรู้วิธีการแก้สมการดังกล่าว เพื่อให้ได้คำตอบหรือผลออกมาในรูปแบบสมการมาตรฐานจึงจะสามารถตีความและเข้าใจความหมายของสมการได้ เพราะถ้าดูแต่เฉพาะสมการ 4 สมการข้างต้น เราอาจจะมองไม่เห็นความหมายใดๆ เลย กระบวนการทำงานทั้งหมดจะเริ่มต้นจาก 1 ไปสิ้นสุดที่ 8 ไปสู่การวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด infinity ซึ่งในทุกระดับจะมีกระบวนการแยกเพื่อรวม รวมเพื่อแยกที่มีการทำงานในสองทิศทางในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—->สิ่งเดียวกันใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—->เวลาเดียวกันใช่และไม่ใช่เวลาเดียวกันในเวลาเดียวกันคือ ตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา แต่ละทิศทางก็จะมีกระบวนการทำงานแยกเพื่อรวม รวมเพื่อแยกออกเป็นสองส่วนคือ ภายในและภายนอก และแต่ละส่วนก็จะมีกระบวนการทำงานที่แยกเพื่อรวม รวมเพื่อแยกออกเป็นสองระดับคือ จุลภาคและมหภาค ในทุกๆส่วนจะมีกระบวนการสลับตำแหน่งและโมเมนตัมซ้อนทับและพัวพันอยู่

กระบวนการแยกเพื่อรวม รวมเพื่อแยก (แม่เหล็กไฟฟ้า) จะมีการทำงานโดยใช้หลักดังต่อไปนี้คือ
๑.แรงพื้นฐานธรรมชาติ
๒.หลักกลศาสตร์
๓.พลังงานความร้อน
๔.พลังงานคลื่น-อนุภาค
๕.พลังงานมิติควอนตัม
๖.พลังงานกลแรงไทดัล
๗. แรงไทดัล
๘.การหมุนและการโคจร

ซึ่งเปรียบได้กับการทดลองของ Wineland เขาใช้ไอออนของอะตอม beryllium หนึ่งอะตอม โดยทำให้อะตอมสูญเสียอิเล็กตรอนไป 1 ตัว แล้วกักไอออนนี้ให้อยู่ในสนามแม่เหล็กไฟฟ้า จากนั้นก็ทำให้ไอออนมีอุณหภูมิต่ำลง จนใกล้ถึงศูนย์องศาสัมบูรณ์ ซึ่งไอออนจะมีความเร็วน้อยมากจนเกือบหยุดนิ่ง จึงทำให้สามารถควบคุมได้ง่าย จากนั้นก็ฉายแสงเลเซอร์ 2 แสงที่มีความถี่แตกต่างกันเล็กน้อยเข้าไปกระทบไอออน โดยการควบคุมช่วงเวลาฉายแสงให้เหมาะสม ไอออนที่มีสปินขึ้นกับสปินลงก็จะถูกกระตุ้นให้มีพลังงาน 2 ระดับ และอยู่ด้วยกัน คือ ซ้อนทับกัน แล้ว Wineland ก็ฉายแสงเลเซอร์อีกคู่หนึ่งให้แทรกสอดกันไป ทำให้ไอออนส่ายไปมาด้วยความถี่ธรรมชาติ ในแอ่งคลื่น และถ้าให้ความถี่ของคลื่นนี้เหมาะสมมันจะแยกสถานะหนึ่งออกจากสถานะหนึ่ง คือ ทำให้สถานะหนึ่งเคลื่อนที่ในขณะที่อีกสถานะหนึ่งหยุดนิ่ง ดังนั้นสถานะทั้งสองจึงแยกจากกัน จนอยู่ห่างกันประมาณ 11 เท่าของขนาดของไอออน นั่นคือ ณ เวลานั้น ไอออนตัวเดียว สามารถอยู่ได้สองที่พร้อมกัน นี่คือการทดลองที่แสดงว่า ในอะตอมมีการซ้อนทับของสถานะ และการซ้อนทับนี้สามารถเกิดขึ้นและแยกจากกันได้ แต่เวลา Wineland วัดสมบัติของอะตอม เพราะสถานะทั้งสองจะอยู่แยกกัน ดังนั้นสถานะหนึ่งจะสลายเหลือเพียงอยู่สถานะเดียว (สถานะที่อยู่จะมีความหมายแยกออกเป็นสองทางคือ อยู่และไม่อยู่ ในขณะเดียวกันและหรือในทางกลับกันสถานะที่หายก็จะมีความหมายแยกออกเป็นสองทางคือ หายและไม่หาย สถานะที่สลายไปไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่มีการเคลื่อนที่ตามธรรมชาติ-ไม่ตมธรรมชาติออกจากที่หนึ่ง/มิติหนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง/อีกมิติหนึ่ง (มิติคู่ขนาน/โลกคู่ขนาน) และสถานะที่อยู่ก็ไม่ได้อยู่เนื่องจากมีการเคลื่อนที่ไม่ตามธรรมชาติ-ตามธรรมชาติออกจากที่หนึ่ง/มิติหนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง/อีกมิติหนึ่ง (มิติคู่ขนาน/โลกคู่ขนาน) เช่นกันโดยตัวเรา ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวนำ/ตัวเชื่อม (สารตัวนำ สารกึ่งตัวนำ ตัวนำยิ่งยวด) ที่จะแยกออกเป็นสองทางคือ ออกสู่ภายนอก-เข้าสู่ภายใน โดยจะมีทิศทางในการทำงานสองทิศทางคือ ตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา แต่ละทิศทางก็จะมีกระบวนการทำงานแยกออกเป็นเป็นสองระดับคือ จุลภาคและมหภาค (บนล่าง ซ้ายขวา หน้าหลัง นอกใน มากน้อย เร็วช้า บวกลบ คูณหาร (เลขยกกำลัง)) หรือนัยอีกความหมายหนึ่งคือ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้จะมีอยู่สองส่วนคือ ส่วนที่เราสามารถรับรู้และเข้าใจได้ว่าเกิดขึ้นจากอะไรและเพราะอะไร กับ ส่วนที่เราสามารถรับรู้ได้ แต่ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นจากอะไรและเพราะอะไร ซึ่งมนุษย์เชื่อว่า เป็นความลึกลับ ปาฏิหาริย์ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ เวทย์มนต์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ถ้าหากเรานำพาความคิด ความรู้สึกและการกระทำของเราเข้าสู่การแยกแยะในระดับควอนตัมจุลภาคเราจะเห็นว่า การกระทำทั้งหมดเกิดขึ้นจากแรงพื้นธรรมชาติทั้ง 4 โดยมีกฏแรงโน้มถ่วงที่ไอแซ็ค นิวตัน (Isaac Newton) ค้นพบดังนี้คือ
F แทนความโน้มถ่วงระหว่างมวลทั้งสอง
G แทนค่านิจโน้มถ่วงสากล
m1 แทนมวลของวัตถุแรก
m2 แทนมวลของวัตถุสอง
r แทนระยะห่างระหว่างวัตถุทั้งสอง

“กฎการเคลื่อนที่” (Three Laws of Motion) ของไอแซ็ค นิวตัน (Isaac Newton) = การทำงานของสมองทั้งสามส่วน = โลก ตัวเราและผู้อื่น (คน สัตว์ สิ่งของ) ที่เปรียบได้กับเหรียญ 3 เหรียญที่ผุ้เขียนเคยยกเป็นตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ ถ้าหากเราสามารถเดินทางด้วยความเร็ว 11 กิโลเมตรต่อวินาที จะทำให้เราสามารถเดินทางหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของโลกได้ หรือที่เรียกว่า “ความเร็วหลุดพ้น” (Escape velocity) = การทดลองของ Wineland = การแยกสถานะระหว่างภายใน-ภายนอก / ความคิด-ความรู้สึก / จุลภาค-มหภาค ซึ่งต่อมาไอสไตน์ได้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษที่มีความสอดคล้องกับกลศาสตร์นิวตัน ที่สามารถแสดงเป็นสมการชื่อดัง E=mc2 และทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป โดยอธิบายความโน้มถ่วงโดยรวมว่าเป็นคุณสมบัติเรขาคณิตของปริภูมิและเวลา หรือปริภูมิ-เวลาสัมพันธ์โดยตรงกับพลังงาน และโมเมนตัมของสสารและรังสีที่มีอยู่ทั้งหมด สิ่งที่ขาดหายไปในทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปคือ สมการควอนตัม E=mc ยกกำลังหาร2 และการหมุนและการโคจร กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ E=mc2 คือ สมการมหภาค และ E=mc ยกกำลังหาร2 คือ สมการจุลภาค ทั้งสองสมการรวมอยู่ในกฏแรงโน้มถ่วงที่ไอแซ็ค นิวตัน (Isaac Newton) ค้นพบเช่นเดียวกันกับสถานะของอนุภาคที่เป็นได้ทั้งอนุภาคและคลื่นในเวลาเดียวกัน มนุษย์ที่มีทั้งความคิดและความรู้สึก และโลกที่มีแรงแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นผลมาจากการรวมกันระหว่างไฟฟ้าและแม่เหล็ก ทั้งสามส่วนคือ สิ่งเดียวกัน

ภายใต้การวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด infinity หรือเครื่อยหมายเลข 8 นี้จะมีทั้งการซ้อนทับและความพัวพันกันระหว่างสามส่วนด้วยกันโลก ตัวเราและผู้อื่น (คน สัตว์ สิ่งของ) ที่จะมีความแนบเนียนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันที่ถ้าหากเราไม่พยายามสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนอย่างต่อเนื่องเราจะไม่มีทางรู้หรือเข้าถึงหรือแยกแยะความละเอียดแนบเนียนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันนี้ได้ คำพูดที่เรานิยมพูดกันอย่างกว้างขวางคือ เส้นบางๆที่กั้นระหว่างความเป็นและความตาย หรือคนดีกับคนไม่ดี หรือความเป็นอัจฉริยะกับคนบ้า ซึ่งเส้นบางๆที่กั้นระหว่างระบบสองระบบนี้จะมีการทำงานอยู่บนระบบที่นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์เรียกว่า ระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด ซึ่งความแตกต่างอย่างสังเกตเห็นได้ชัดจะแยกออกเป็นสองส่วนคือ แตกต่างและไม่แตกต่าง สังเกตเห็นได้ชัดและไม่ชัด และแต่ละส่วนก็จะมีการแยกออกในส่วนของตัวเองต่อไปจนเกิดเป็นสตริง (วิธีการแยกออกจะมีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันกับการสืบหาความจริงโดยทั่วไป) ความคิด ความรู้สึกและการกระทำเพียงเล็กน้อยของคนเราสามารถส่งผลกระทบต่อโลกและผู้อื่นอย่างที่คุณคาดไม่ถึง = การเปลี่ยนรูปกลับไปกลับมาระหว่างความเป็นพลังงาน/ข้อมูล/สสาร เรามักจะได้ยินคำพูดที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวางที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (จาก "butterfly effect") ยกตัวอย่างเช่น การประท้วงต่อต้านการเหยียดผิว-เรียกร้องความเท่าเทียมในสหรัฐฯต่อการกระทำเกินเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำต่อนายจอร์จ ฟลอยด์ จนเป็นเหตุให้นายจอร์จ ฟลอยด์ขาดอากาศหายในและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งการประท้วงกำลังลุกลามและขยายวงกว้างไปทั่วโลก ถ้าหากพิจารณาโดยทั่วไปจะเห็นว่าการลุกลามและขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกเกิดจากความต้องการเรียกร้องความเท่าเทียมที่สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันของคนทั้งโลก ความจริงมีสองด้านคือ ด้านที่เรารู้และไม่รู้ ขอกล่าวในส่วนที่คนยังไม่รู้และยังเข้าไม่ถึงคือ การประท้วง (ขั้วลบ) ครั้งนี้เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการเปิดเผยตัวตนของโควิด 19 (ขั้วบวก) ทั้งสองขั้วต่างก็อยู่ภายใต้ขั้วลบเหมือนกัน หรือนัยอีกความหมายหนึ่งคือ การเกิดขึ้นของทั้งสองเหตุการณ์มาจากความต้องการและความพยายามที่จะอยู่ในขั้วลบต่อไปและหรือความต้องการและความพยายามที่จะไม่อยู่ในขั้วลบต่อไป (เดินออกจากขั้วลบไปสู่ขั้วบวก) ของโลกและของทุกคนที่เข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสถานการณ์ที่มนุษย์ทุกคนล้วนเคยได้สัมผัสและมีประสบการณ์ในทำนองนี้กันมาแล้วทั้งนั้น

ขอยกตัวอย่างการซ้อนทับและความพัวพันที่มีความแนบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันที่แยกออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่มีการแยกตัวออกและส่วนที่ไม่มีการแยกตัวออก ในส่วนที่มีการแยกตัวออกเช่น กลุ่มที่มีการเคลื่อนที่ออกจากจุดประสงค์เดิม กับกลุ่มที่มีความตั้งใจเดิมที่จะทำการฉวย/หาโอกาสในการปล้น ขโมยสิ่งของจากร้านค้าต่างๆอยู่แล้ว ส่วนที่ไม่มีการแยกตัวออกเช่น กลุ่มผู้ประท้วงที่ยืนยันและยืนกรานที่จะทำการประท้วงต่อไป ซึ่งการประท้วงในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้ความรู้สึกมากกว่าความคิด ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ผู้ประท้วงเกิดความรู้สึกสงบและยอมละทิ้งการประท้วงได้คือ การใช้ความรู้สึกแลกความรู้สึก แต่ความสามารถในการใช้ความรู้สึกเพื่อแลกความรู้สึก ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนจำเป็นต้องมีการยกระดับและขยายขอบเขตออกไปโดยใช้ความคิดที่ได้รับการยกระดับและขยายขอบเขตแล้วเท่านั้นเข้าไปช่วยสนับสนุน Problems cannot be solved with the same mind set that created them.
#change



Create Date : 11 มิถุนายน 2563
Last Update : 11 มิถุนายน 2563 8:43:37 น.
Counter : 429 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3784113
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



จุกมุ่งหมายคือ การรู้แจ้งเห็นจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

There is no way to happiness, happiness is the way.

การปิดทองหลังพระ ถ้าเราไม่หยุดปิด วันหนึ่งทองก็จะล้นมาด้านหน้าพระเอง

คำพูดที่ปราศจากการกระทำนั้นได้ตายไปแล้ว