มากกว่าการกล่าวคำว่า "ขอโทษ"
การกล่าวคำว่า "ขอโทษ" เมื่อเรารู้สึกสำนึกในความผิดที่ได้กระทำไม่ใช่จุดสิ้นสุดของปัญหา แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาที่เราสามารถทำให้กับตัวเองได้ การกล่าวคำว่า "ขอโทษ" ไม่ได้เป็นการทำเพื่อคนอื่นแต่เป็นการทำเพื่อตัวของเราเอง เพราะความคิดของการไม่ยอมขอโทษผู้อื่นในเวลาที่เราสามารถรับรู้ได้ว่าเราได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไปนั้นคือ การปิดกั้นตัวเองของตัวเราเองไม่ให้เดินก้าวไปข้างหน้า เมื่อเราไม่สามารถเดินก้าวไปข้างหน้าได้ก็เท่ากับเราใช้ชีวิตเดินย่ำอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน เราจะวนเวียนทำแต่เรื่องเดิมๆและได้รับผลลัพธ์แบบเดิมๆ การเรียกร้องถามหาน้ำใจจากผู้อื่นโดยการขอร้องให้ผู้อื่นยอมยกโทษให้อาจสามารถแก้ไขสถานการณ์ภายนอกได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะต้นเหตุของการทำสิ่งไม่สมควรยังไม่ได้รับการเยี่ยวยาเพราะฉะนั้นไม่นานเราก็จะสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่และเรียกร้องให้ผู้อื่นยอมยกโทษให้เหมือนที่เคยเป็นมา ชีวิตเราจะวนเวียนอยู่กับการสร้างปัญหาและเรียกร้องขอการให้อภัยไปตลอดชีวิต คนที่รู้จักกล่าวคำว่า "ขอโทษ" จะไม่รู้จักการร้องขอให้ผู้อื่นยอมยกโทษให้ ในทางกลับกันคนที่ไม่รู้จักการกล่าวคำว่า "ขอโทษ" ก็จะเรียกร้องให้ผู้อื่นยอมยกโทษให้ เมื่อเรามีความคิดบวกในสิ่งใดเราก็จะไม่มีความคิดลบในสิ่งนั้น ถ้าเราไม่มีความคิดที่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เรากจะไม่เอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ไม่มีใครพาเรามายืนอยู่ณ.จุดที่เรายืนอยู่ได้นอกจากตัวของเราเอง ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนของเรา และไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนของเรา ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง การไม่ยอมเปลี่ยนแปลงคือการยอมรับการเดินย่ำเท้าอยู่กับที่ด้วยตัวของเราเอง
การกล่าวคำว่า "ขอโทษ" จะต้องตามด้วยการกระทำที่สอดคล้องกับการขอโทษนั้นๆด้วย เพียงคำขอโทษยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำที่ไม่ดีได้ เราจะต้องลงมือทำสิ่งที่สอดคล้องกับคำขอโทษมากกว่าสองครั้งขึ้นไป
คำถาม: ทำไมต้องมากกว่าสองครั้ง
คำตอบ: การแทนที่ความคิดความรู้สึกและการกระทำเดิมใดใดก็ตามด้วยความคิดความรู้สึกและการกระทำใหม่ๆหมายถึง การต้องเอาตัวเองเดินออกจากขอบเขตของความสะดวกสบายและความเคยชินเดิมๆทั้งทางด้านความคิดความรู้สึกและการกระทำทั้งภายในและภายนอกจึงทำให้เราต้องลงมือทำหลายๆครั้ง