กรกฏาคม 2563

 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
สังคมแบ่งปันในระดับควอนตัม
เราอาศัยอยู่ในโลกควอนตัมที่มีสถานะขั้วคู่ หรือ 2มิติ หรือ โลกคู่ขนาน Parallel Universe ที่มีการซ้อนทับและพัวพันกันทั้งภายในและภายนอกและระหว่างกัน ยกตัวอย่างเช่น โลกที่มีขั้วเหนือและขั้วใต้ที่มีขั้วคู่ (ขั้วบวกและขั้วลบ/ความใช่และไม่ใช่) ที่มีทั้งส่วนที่กลับด้านและไม่กลับด้านอยู่ทั้งภายในและภายนอกตัวเอง ความหมายคือ ภายในขั้วเหนือจะมี/เป็นขั้วใต้-ขั้วเหนือ และภายในขั้วใต้จะมี/เป็นขั้วเหนือ-ขั้วใต้ จะเห็นได้ว่าทั้งขั้วเหนือและขั้วใต้จะมี/เป็น/อยู่ของขั้วคู่เหมือนกันและไม่เหมือนกัน (แตกต่างกัน/กลับด้านกัน) ถ้าหากเปรียบโลกเป็นค่าพลังงานสถานะระหว่างขั้วเหนือและขั้วใต้จะมี/เป็นค่าเท่ากับ 0 และ 0/1 หมายถึง ความมี/เป็น/อยู่ ทั้งภายใน ภายนอกและระหว่างกัน หรือ 2มิติ ที่ต่อมามีการแยกตัวออกเป็น 3มิติ 4 5 6 7 8 มิติและเข้าสู่การวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งในทุกมิติจะมีกระบวนการ stop/start process ที่ทำให้ธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีอยู่และไม่มีอยู่ ไม่มีอยู่และมีอยู่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โลกคู่ขนาน Parallel Universe หรือ การเปลี่ยนรูปกลับไปกลับมาระหว่างความเป็นพลังงาน/ข้อมูล/สสาร ซึ่งพลังงานทั้งหมดมีค่าเท่ากับ 0 และ 0/1 และมีกระบวนการทำงาน 2 ระดับคือ จุลภาคและมหภาค หรือ 1in2 และ 2in1 และ One for all และ All for one ทั้งหมดจะมีกระบวนการทำงานอยู่บนระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) และเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" butterfly effect

การทำงานระหว่างขั้วบวก positive และขั้วลบ negative หรือ ความคิดและความรู้สึก หรือ ความดีและความไม่ดี ทั้งหมดคือ สิ่งเดียวกันที่รูปลักษณ์ภายนอกอาจมีความแตกต่างกันออกไปตามสถานะที่มีอยู่/เป็นอยู่ของแต่ละสิ่ง แต่รูปลักษณ์ภายในไม่แตกต่างกันคือ ทั้งหมดเป็นสิ่งเดียวกันที่มีความใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทั้งหมดสามารถทำงานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และสามารถแยกส่วนกันทำงานได้ ทั้งหมดจะมีกระบวนการทำงานอยู่บนระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น ความต้องการในการได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองจะมีสถานะความน่าจะเป็นทางควอนตัมสองด้านคือ ปลายด้านหนึ่งมีสถานะเป็นขั้วบวก positive และปลายอีกด้านหนึ่งมีสถานะเป็นขั้วลบ negative ในทางวิทยาศาสตร์หมายถึง สถานะอะตอมที่สามารถมีได้หลายสถานะ (สถานะพื้นและสถานะกระตุ้นหลายระดับ) ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นหลักการซ้อนทับของกลศาสตร์ควอนตัมจึงกำหนดว่าสถานะจริงของอะตอมประกอบด้วยผลรวมของสถานะต่างๆ เหล่านั้นทุกสถานะ เช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่มีสถานะสองสถานะคือ มี/เป็นทั้งขั้วบวกและขั้วลบ และมีสภาวะกึ่งขั้วบวกกึ่งขั้วลบ อยู่ภายในตัวเอง แต่เมื่อสถานะ/สภาวะ/ระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสอง (ขั้วบวกขั้วลบ) ที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด (ระบบไม่เชิงเส้น)

โลก มนุษย์และสรรพสิ่งเปรียบได้กับอะตอม 1 อะตอม ที่มีพลังงานทั้งภายในและภายนอกตัวเองรวมกันมีค่าเท่ากับ 0 และมีค่าพลังงานหมุนเวียนทั้งภายในและภายนอกตัวเองและภายในและภายนอกกันและกันเท่ากับ 0/1 และ 1/0 หรือ มากว่าและน้อยกว่า หรือ 2 มิติ ใช่และไม่ใช่ มีและไม่มี จริงและไม่จริง แน่นอนและไม่แน่นอน ที่มีค่าเริ่มต้นจาก 0 ที่มีความน่าจะเป็นสองทางคือ +1 ไปจนถึงค่าอนันต์ และหรือ -1 ไปจนถึงค่าอนันต์ ซึ่งเปรียบได้กับกรวยแสงแห่งอนาคตและกรวยแสงแห่งอดีต ที่มีโลก มนุษย์และสรรพสิ่ง (ปัจจุบัน) ที่สามารถเป็นตัวเชื่อม/ตัวกลางที่เรียกว่า "โลคอล" (local) และหรือ "นอนโลคอล" (nonlocal) ได้ในเวลาเดียวกัน ความหมายคือ เราเป็นและไม่ได้เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น เรามี/เป็นสถานะทางความคิดและความรู้สึกของเราเอง และเราก็ไม่ได้มี/เป็นสถานะทางความคิดและความรู้สึกของเราเอง แต่มี/เป็นสภาวะกึ่งความคิดกึ่งความรู้สึก/ภายในความคิดมีความรู้สึก และในทางกลับกันภายในความรู้สึกมีความคิด แต่จะมีมากหรือน้อยแตกต่างกัน ซึ่งการมีมากหรือน้อยแตกต่างกันนี่เองที่มีส่วนทำให้ความคิดและความรู้สึกเกิดความมีอยู่และไม่มีอยู่ระหว่างภายในและภายนอกสถานะและสภาวะที่เชื่อมต่อมาจากการมีอยู่และไม่มีอยู่ระหว่างจำนวน ปริมาณและขนาดของเซลล์สมองและเซลล์เส้นประสาทที่มีไม่เท่ากันภายในสมองทั้งสามส่วนและทั่วทุกส่วนของร่างกายและมีไม่เท่ากันในแต่ละคน ซึ่งทำให้ความจริงในธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีอยู่และไม่มีอยู่ ไม่มีอยู่และมีอยู่ (การเปลี่ยนรูปกลับไปกลับมาระหว่างความเป็นพลังงาน/ข้อมูล/สสาร ที่ทำให้เกิดมี/เป็น/อยู่ของโลกคู่ขนาน Parallel Universe) ยกตัวอย่างเช่น การเปิดเผยที่เกี่ยวกับเหรียญที่มีสองด้าน และการนำเอาเหรียญสามเหรียญที่มีความเหมือนและความแตกต่างกันมาเรียงต่อกันจะทำให้ได้กรวยแสงแห่งอนาคตและกรวยแสงแห่งอดีต (สถานะภายในและภายนอก และมีสภาวะกึ่งภายในกึ่งภายนอก) ซึ่งต่อมาเพลงของคุณเจน นุ่น โบว์อยู่ๆก็กลับมาโด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน หรือ การกลับมารวมตัวกันอีกครั้งระหว่างคุณอี๊ด คุณลาล่าและคุณลูลู่ หรือซิทคอมรื่องสามหนุ่มสามมุมที่มีคุณกบ คุณแท่งและคุณมอสเป็นนักแสดงหลัก หรือการเปิดเผยเรื่องศาสนาจักรวาลที่ต่อมาได้มีนักศึกษาวาดภาพพระพุทธรูปอุลตร้าแมน หรือการเปิดเผยที่เกี่ยวกับการสลับขั้วแม่เหล็กที่ต่อมาเกิดมีโควิด19 ที่เริ่มต้นจากจีน (ทวีปเอเชีย) ไปสู่ทวีปอื่นๆทั่งโลกและย้อนกลับมาระบาดที่จีนใหม่อีกรอบ หรือ ฝูงนกที่บินอยู่แล้วเป็นอัมพาตตากลงมาตายหมู่ หรือ การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ที่จุดชนวนการประท้วงด้านผิวสีไปจนถึงการทำลายรูปปั้นผู้ค้นพบอเมริกาหรือการทะเลาะวิวาทระหว่างคนพื้นเมืองกับคนผิวขาวในออสเตรเลีย หรือการปะทะกันระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ หรือระหว่างประเทศที่มีชายแดนอยู่ติดกัน คุณสามารถมองหรือกล่าวในระดับควอนตัมมหภาคได้ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย แต่ในระดับควอนตัมจุลภาคทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีความเชื่อมโยงและมีความเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การเปลี่ยนรูปกลับไปกลับมาระหว่างความเป็นพลังงาน/ข้อมูล/สสาร ที่ทำให้ความจริงในธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีอยู่และไม่มีอยู่ ไม่มีอยู่และมีอยู่

ไม่มีใครหรือสิ่งใดที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งอื่น/คนอื่น ซึ่งทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับใครก็ตามณ.เวลาปัจจุบันจะมีทางให้เลือกอยู่สองทางคือ อยู่กับอดีตหรือไปสู่อนาคต ทั้งสองทางจะมีจุดเริ่มต้นมาจากสภาวะปัจจุบันเหมือนกัน แต่เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด (ระบบไม่เชิงเส้น) คำว่า เราสังเกตได้จะมีความน่าจะเป็นที่แยกออกเป็นสองส่วนคือ ตัวเราเป็นผู้สังเกตเห็นหรือคนอื่นเป็นผู้สังเกตเห็น และการสังเกตเห็นนั้นเกิดขึ้นจากการใช้ความคิดหรือความรู้สึก ทั้งสองส่วนนี้จะมีค่าระดับของความเหมือนและความแตกต่างกันที่เริ่มต้นจาก +1 และ -1 ยิ่งค่าของผู้สังเกตเห็นมีมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผู้สังเกตเห็นเกิดมี/เป็นการแยกตัวระหว่างการใช้ความคิดกับความรู้สึก/อดีตกับอนาคตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าหากมองในระดับควอนตัมมหภาคทั้งสองฝ่ายจะอยู่ในสถานะที่ตรงกันข้ามกัน แต่ถ้ามองในระดับควอนตัมจุลภาคทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในสภาวะเดียวกัน=กำลังมีปฏิสัมพันธ์กัน หรือกำลังสร้างความพัวพันกันอยู่ เมื่อฝ่ายหนึ่งเสนออีกฝ่ายหนึ่งก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้/สนองตอบโดยทันที ซึ่งการเสนอหรือสนอง=การเดินออกจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่งที่มีความน่าจะเป็นสองทางคือ ดีขึ้นหรือเลวลง/+มากขึ้นหรือ-มากขึ้น ซึ่งความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับจุดยืนแรกเริ่มของแต่ละคนที่นำพาแต่ละคนเข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกันที่เริ่มต้นจากเหมือนกันหรือแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยไปสู่ความแตกต่างที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน (ระบบไม่เชิงเส้น)

ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์หรือศาสตร์ใดใดก็ตามล้วนเป็นศาสตร์ที่สามารถนำมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้และสามารถนำมาแยกออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิงในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน = กระบวนการแยกเพื่อรวม รวมเพื่อแยก หรือ กระบวนการทำงานของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า มนุษย์เริ่มต้นการใช้ชีวิตจากความไม่รู้และค่อยๆมีการเรียนรู้และพัฒนาความรู้ของตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนหรือลบเลือนไปก็คือความเชื่อที่สืบทอดต่อๆกันมาว่าชีวิตคือ ความไม่แน่นอน ถ้าหากเรามองความเป็นจริงของชีวิตเราจะเห็นได้ว่าชีวิตจะมีสถานะความน่าจะเป็นสองสถานะในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันคือ แน่นอนและไม่แน่นอน ตัวเราจะมีจุดยืนอยู่ระหว่างจุดยืนที่มีความแน่นอนกับจุดยืนที่ไม่มีความแน่นอน ถ้าหากมองในระดับควอนตัมมหภาคเราจะเห็นว่า เท้าของเรายืนอยู่บนจุดยืนเดียว แต่ถ้าหากมองในระดับควอนตัมจุลภาคเราจะเห็นได้ว่า เรายืนอยู่บนจุดยืนเดียวจริง แต่เท้าทั้งสองข้างของเราไม่ได้ยืนอยู่บนจุดยืนเดียวกัน นี่คือตัวอย่างของความจริงและไม่ใช่ หรือ ใช่และไม่ใช่ ที่ถ้าหากเราไม่สังเกตอย่างละเอียดเราจะมองไม่เห็นความแตกต่างที่อยู่บนความเหมือน หรือถึงแม้เราจะสังเกตเห็น แต่เราไม่เข้าใจความหมายก็ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น คน/สิ่งของที่อยู่ตรงหน้าเรา เราอาจมองไม่เห็นคุณค่าของมัน แต่คนอื่นอาจมองเห็นและเอาไป เมื่อเราสูญเสียคน/สิ่งของนั้นไปเราถึงรับรู้ได้ว่าคน/สิ่งของนั้นมีค่าต่อเรามากแค่ไหน (เราจะสามารถมองเห็น/รับรู้คุณค่าของสิ่งต่างๆได้ก็ต่อเมื่อของสิ่งนั้นเกิดมีการแยกตัวออกจากกัน ถ้าหากยังไม่มีการแยกตัวก็จะอยู่ในลักษณะเบลอๆ หรือ กึ่งมีกึ่งไม่มี กึ่งใช่กึ่งไม่ใช่ ซึ่งการแยกตัว=การเลือกข้าง=การเปิดประตูหนึ่งและปิดประตูหนึ่งที่จะต้องมีกระบวนการเดินเข้า-เดินออกในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งจะมีกระบวนการทำงานที่แยกออกเป็นสองระดับคือ 1in2 และ 2in1 และ One for all และ All for one หรือ สังคมแบ่งปัน

#change



Create Date : 04 กรกฎาคม 2563
Last Update : 4 กรกฎาคม 2563 8:32:16 น.
Counter : 882 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3784113
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



จุกมุ่งหมายคือ การรู้แจ้งเห็นจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

There is no way to happiness, happiness is the way.

การปิดทองหลังพระ ถ้าเราไม่หยุดปิด วันหนึ่งทองก็จะล้นมาด้านหน้าพระเอง

คำพูดที่ปราศจากการกระทำนั้นได้ตายไปแล้ว