พฤศจิกายน 2562

 
 
 
 
 
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
22
25
26
28
30
 
All Blog
ช่องว่างระหว่างสรรพสิ่งและเวลา space time (everything) (2)
เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ภายในช่องว่างระหว่างสรรพสิ่ง (ช่องว่างระหว่างพลังงานบวกลบ (ใช่และไม่ใช่) และเวลา space time (everything) ที่เกิดขึ้นจากการซ้อนทับ (การกลืนกิน) และหรือการพัวพันกันของพลังงานต่างชนิดที่มีความแตกต่างกันคนละขั้ว+พลังงานต่างขั้วที่อยู่ภายในตัวเองที่เข้ามาซ้อนทับ (การกลืนกิน) และรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกลายเป็นงูกินหางกินหัวของตัวเองและของกันและกัน และทำให้เกิดเป็นวงจรหรือวัฏจักรหรือค่าอนันต์ที่มีที่สิ้นสุดและไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—-> สิ่งเดียวกันใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—-> เวลาเดียวกันและไม่ใช่ทำงานในเวลาเดียวกันในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้พลังงานบวก และ พลังงานลบ มีสถานะและสภาวะของความใช่และไม่ใช่ (ใช่ตัวเองและไม่ใช่ตัวเอง) หรือ กึ่งใช่กึ่งไม่ใช่ (กึ่งใช่ตัวเองและกึ่งไม่ใช่ตัวเอง) ภายในตัวเองและภายในกันและกัน คำว่า กันและกัน ก็จะมีความหมายแยกออกไปอีกสองความหมายคือ กันและกันที่อยู่ภายในและภายนอกตัวเอง (สรรพสิ่ง,โลก,จักรวาล, กาแลคซี) ซึ่งภายในสถานะและสภาวะของความใช่และไม่ใช่ หรือ กึ่งใช่กึ่งไม่ใช่ จะมีสถานะและสภาวะอื่นๆอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น มีและไม่มี หรือ กึ่งมีกึ่งไม่มี เป็นและไม่เป็น หรือ กึ่งเป็นกึ่งไม่เป็น อยู่และไม่อยู่ หรือ กึ่งอยู่กึ่งไม่อยู่ รู้ไม่รู้ หรือ กึ่งรู้กึ่งไม่รู้ จริงไม่จริง หรือ กึ่งจริงกึ่งไม่จริง ถูกไม่ถูก หรือ กึ่งถูกกึ่งไม่ถูก ผิดไม่ผิด หรือ กึ่งผิดกึ่งไม่ผิด เป็นต้น

ยกตัวอย่างการใช้ช่องว่างระหว่างสรรพสิ่งและเวลา space time (everything) ที่เราใช้กันอยู่ทุกเวลานาทีง่ายๆเช่น การใช้ช่องว่างระหว่างตื่นนอน, ระหว่างทานอาหาร, ระหว่างเรียน, ระหว่างทำงาน, ระหว่างออกกำลังกาย, ระหว่างการสัมภาษณ์, ระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์, ระหว่างการศึกษาค้นคว้าวิจัยประดิษฐ์คิดค้น ระหว่างการมีปฏิสัมพันธ์กับตัวเองและหรือคนอื่น (สรรพสิ่ง) เป็นต้น ในการพูดคุยสนทนา (วิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น) แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ความเข้าใจกันระหว่าคนสองคน ในระหว่างที่คนหนึ่งพูดอีกคนหนึ่งจะเป็นคนฟัง = การใช้ช่องว่างระหว่างความเป็นผู้พูดที่พูดในสถานะระหว่างความคิด-ความรู้สึก และหรือ ความรู้สึก-ความคิด เพื่อแสดงความรุ้ความเข้าใจที่มีอยู่ในฐานะผุ้พูด และ การใช้ช่องว่างระหว่างความเป็นผู้ฟังในสถานะระหว่างความคิด-ความรู้สึก และหรือ ความรู้สึก-ความคิด เพื่อทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในฐานะผู้ฟัง และทันที่ที่ผู้พูดพูดจบ ผู้ฟังก็จะใช้ช่องว่างระหว่างบทสนทนาเพื่อแสดงความคิดเห็นสลับกันไปมาระหว่างผู้พูดและผู้ฟังและทำให้ผู้พุดกลายเป็นผู้ฟัง ผู้ฟังกลายเป็นผู้พูด = การส่งต่อ/เชื่อมต่อถึงกันโดยผ่านกระบวนการสะท้อนกลับไปกลับมา และหรือการการย้อนกลับ/กลับด้านกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง หรือ ระหว่างพลังงานต่างชนิดกัน และหรือพลังงานต่างขั้วกันในเวลาเดียวกันและไม่ใช่ในเวลาเดียวกันในเวลาเดียวกัน ความหมายของเวลาคือ ตั้งแต่เริ่มต้นบทสนทนาจนกระทั่งจบบทสนทนาจะถือเป็นการสนทนาภายในเวลาเดียวกัน แต่เวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดจะเป็นคนละเวลากัน ดังนั้นเวลาจึงมีทั้งสถานะและสภาวะเช่นเดียวกับสรรพสิ่ง ความหมาของสรรพสิ่งคือ ความใช่และไม่ใช่ระหว่างพลังงานต่างชนิดกัน และหรือพลังงานต่างขั้วกันที่นำไปสู่ความใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ใช่คือไม่ใช่และไม่ใช่คือใช่ ซึ่งความไม่ใช่คือใช่จะไปเชื่อมต่อกับแรงโน้มถ่วงและแรงดึงดูด ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของแรงโน้มถ่วงก็คือแรงไทดัล และเชื่อมต่อกับแรงพื้นฐานธรรมชาติและแรงหรือกฏอื่นๆจนกลายเป็นสตริง การเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสรรพสิ่งกับสรรพสิ่ง หรือระหว่างสรรพสิ่งและโลก จะมีข้อมูลที่แยกออกเป็นสองทางคือ ข้อมูลในอดีต และข้อมูลในอนาคต ซึ่งแต่ละคน (สรรพสิ่ง, โลก) ก็จะมีข้อมูลอยู่สองด้านเหมือนกัน แต่เป็นข้อมูลสองด้านที่มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน ภายในความเหมือนก็จะมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน และภายในความต่างก็จะมีทั้งความต่างและความเหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนควรทำเพื่อเติมเต็มความรุ้ความเข้าใจของตัวเองคือ การแยกแยะ/มองให้เห็นความเหมือนในความต่าง และการแยกแยะ/มองให้เห็นความต่างในความเหมือน เพราะที่คนสองคนหรือมากกว่าเข้ามามีปฏิสัมพันธ์จะหมายถึง เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลในอดีต และข้อมูลในอนาคตที่มีอยู่/เป็นอยู่ของตัวเองและผู้อื่น (สรรพสิ่ง) ความหมายคือ ข้อมูลที่เรามีจะมีสองด้านคือ ใช่และไม่ใช่ข้อมูลที่ผู้อื่นต้องการหรือกำลังค้นหาอยู่ และในขณะเดียวกันและหรือในทางกลับกันข้อมูลที่ผู้อื่นมีก็จะมีสองด้านคือ ใช่และไม่ใช่ข้อมูลที่เรากำลังต้องการหรือค้นหาอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรที่เป็นเหตุ/ความบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีพลังงาน/ข้อมูลอยู่สองด้านเสมอขึ้นอยู่กับเราว่า เราจะมองเห็นและหรือรู้สึกและหรือสัมผัสได้ถึงด้านไหนของพลังงาน/ข้อมูล ซึ่งทั้งมองเห็นและหรือรู้สึกและหรือสัมผัสได้สามารถทำให้เกิดมีเพิ่มขึ้นและหรือลดลงได้ด้วยการนำเอาหลักการเติมเต็ม (complementarity principle) มาใช้ ซึ่งการทำให้มีเพิ่มขึ้นและหรือลดลงของพลังงาน/ข้อมูลจะเท่ากับการเพิ่มขึ้นและหรือลดลงของประสิทธิภาพของตัวเราเอง และการเพิ่มขึ้นและหรือลดลงของประสิทธิภาพของตัวเราเองจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นและหรือลดลงของจำนวนและขนาดของเซลล์ประสาทและหรือเซลล์สมอง ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง DNA & RNA หรือ การเปลี่ยนแปลงพันธุ์กรรมของเราเอง (เราคือ ทุกสิ่งของตัวเราเอง แต่เราไม่ใช่สิ่งใดเลยของตัวเราเอง) หรือ ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (butterfly effect) ซึ่งจะทำให้เราเคลื่อนที่ออกจากความเป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus ทุกคนสามารถพัฒนาตัวเองเข้าสู่ความเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus ได้เนื่องจาก ทุกคนมีพลังงานเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ความเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus อยู่ภายในตัวเอง แต่ความเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus ของแตกละคนจะไม่เหมือนกันคือ แต่ละคนจะมีความเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus ที่มีความพิเศษเฉพาะเป็นของตัวเอง ซึ่งถ้าหากเรานำความพิเศษเฉพาะของแต่ละคนมาแลกเปลี่ยนพลังงาน/ข้อมูลกัน เราก็จะได้รับรู้พลังงาน/ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่/เป็นอยู่ภายในโลก ซึ่งจะเท่ากับเป็นการเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับการใช้ชีวิตให้มีความสุข/ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โลกในอนาคตหรือโลกในศตวรรษที่ 21 นี้จะเป็นโลกที่มีความแตกต่าง (กลับด้าน) จากโลกที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง และจะเป็นโลกแห่งความเจริญก้าวหน้าทางพลังงานแบบก้าวกระโดด และสามารถนำเอาพลังงานบริสุทธิ์มาใช้ในการเรียนรู้และพัฒนาความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงและไปในทิศทางเดียวทั่วโลก ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์เรียกระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า ทฤษฎีเคออส (chaos theory) หรือ ระบบพลวัต ซึ่งมีคำจำกัดความคือ ระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) ที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้โดยการเปลี่ยนรูปแบบวิธีคิดวิธีรู้สึกวิธีปฏิบัติจากการใช้ชีวิตในโลกใบใหญ่หรือการใช้ชีวิตแบบทางใครทางมัน บ้านใครบ้านมัน ประเทศใครประเทศมันไปสู่การใช้ชีวิตในโลกใบเล็กหรือการนำเอาทฤษฎีควอนตัมและกฏ แรง ทฤษฎีต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์ได้ค้นพบรวมทั้งคณิตศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ และสาขาอื่นๆทั้งหมดที่ทั่วโลกให้การยอมรับและเป็นสากลมาใช้ในการเพิ่มจำนวนเซลล์ประสาทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสซึ่งมีความไวต่อการรับรู้มากกว่าการใช้ความคิด ซึ่งจะทำให้ชีวิต (โลก) มีความสุขสมบูรณ์มากขึ้น

***ข้อมูลทางควอนตัมที่นักฟิสิกส์ได้ทำการทดลองและค้นพบนั้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นที่มีการซ้อนทับและพัวพันกันระหว่างอนุภาคและคลื่นเท่านั้น แต่ควอนตัมยังมีการซ้อนทับและพัวพันกันในระดับพลังงานกับพลังงาน หรือระหว่างพลังงานต่างชนิดที่มีความแตกต่างกันคนละขั้ว และพลังงานต่างขั้วที่อยู่ภายในตัวเองและภายในกันและกัน ซึ่งเป็นที่มาของความเป็น 2มิติ 3มิติ และทำให้ภาพของการซ้อนทับและพัวพันกันเกิดมีความชัดเจนและไม่ชัดเจนอยู่ภายในตัวเองและภายในกันและกัน+การซ้อนทับและพัวพันกันระหว่างเวลา space time

*** ความชัดเจนใดๆก็ตามเกิดขึ้นได้จากการที่เราเข้าไปอยู่ในสิ่งนั้น และในขณะเดียวกันและหรือในทางกลับกันความไม่ชัดเจนใดๆก็ตามก็เกิดขึ้นได้จากการที่เราเข้าไปอยู่ในสิ่งนั้นเช่นเดียวกัน



Create Date : 13 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2562 14:24:27 น.
Counter : 549 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3784113
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



จุกมุ่งหมายคือ การรู้แจ้งเห็นจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

There is no way to happiness, happiness is the way.

การปิดทองหลังพระ ถ้าเราไม่หยุดปิด วันหนึ่งทองก็จะล้นมาด้านหน้าพระเอง

คำพูดที่ปราศจากการกระทำนั้นได้ตายไปแล้ว