จากคนที่ไม่รักตัวเองสู่ความคาดหวัง
การสมหวังในความรักกับการมีชีวิตที่มีความสุขเป็นคนละเรื่องกัน การแต่งงานเป็นเพียงการตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างไปจากเดิมเหมือนกับการเลือกเปลี่ยนอาชีพทำมาหากิน
คนที่สมหวังในความรักจากการเป็นคนที่ไม่รักตัวเองคือ คนที่มีประสบการณ์ความรักที่ไม่ดีในวัยเด็กแต่มีความต้องการที่จะมีครอบครัวมีลูกเพื่อที่ตัวเองจะได้มอบความรักที่ตัวเองเชื่อว่าไม่เคยได้รับในวัยเด็กให้กับครอบครัวและลูก แต่เพราะความที่ไม่รู้จักตัวเองจึงไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าตัวเองอาจจะเป็นคนที่ไม่รักตัวเอง ถ้าเราจะสังเกตความคิดและการกระทำของเราดีดีเราจะเห็นว่า พฤติกรรมหรือการกระทำบางอย่างของเราสามารถบอกเราได้เป็นอย่างดีว่านี่คือการแสดงออกของคนที่ไม่รักตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ทานอาหารขยะเป็นประจำ ทานอาหารไม่ถูกสุขอนามัยเป็นประจำ นอนดึกตื่นเช้า มองโลกในแง่ลบ พยายามโยนความผิดให้ผู้อื่น เป็นต้น เราจะสามารถมอบความรักให้คนอื่นได้เท่ากับความรักที่เรามีให้กับตัวเองเท่านั้น การเป็นคนที่ไม่รักตัวเองคือสาเหตุหลักที่พ่อแม่ทำร้ายลูกด้วยคำพูดที่รุนแรง ใช้อารมณ์ที่รุนแรงหรือแม้กระทั่งใช้ความรุนแรงร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมาจากความเชื่อส่วนบุคคลว่าการใช้ความรุนแรงจะสามารถยุติปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ความเชื่อส่วนบุคคลก็มาจากความทรงจำจากการได้สัมผัสกับประสบการณ์ความรักที่ไม่ดีในวัยเด็ก+ความพยายามในการดูดซึมและการปลดปล่อย (absorb and release) ที่ยังไม่ได้รับการเยี่ยวยาที่ถูกวิธี จากความต้องการที่จะมอบความรักที่ตัวเองเชื่อและคิดไปเองว่าไม่เคยได้รับในวัยเด็กให้กับลูกเปลี่ยนเป็นความคาดหวังที่ต้องการจะเห็นลูกสืบทอดความฝันความต้องการของตัวเอง เมื่อเป้าหมายเปลี่ยนท่าที่ที่ปฎิบัติกับลูกก็เปลี่ยนตามไปด้วย จึงทำให้สารที่ส่งออกไปเพื่อมอบความรักให้กับลูกกลายเป็นสารที่ส่งออกไปเพื่อร้องขอความรักจากลูกแทน ด้วยกฎแห่งแรงดึงดูดเมื่อเราส่งสารที่แสดงถึงการร้องขอความรักออกไปสารที่ส่งกลับมาหาเราจึงเป็นสารของการร้องขอความรัก จากความต้องการมอบความรักให้กับลูกกลายเป็นความพยายามร้องขอความรักจากลูกแทนเพื่อให้ลูกช่วยสานต่อความต้องการที่พ่อแม่อยากมีอยากเป็นแทน และด้วยการที่ลูกเคยได้รับมอบความรักจากพ่อแม่จึงทำให้ลูกเกิดความสับสนระหว่างการมอบให้กับการร้องขอ แต่ด้วยกฎแห่งแรงดึงดูดเมื่อลูกได้รับสารที่ส่งมาจากพ่อแม่เป็นสารของการร้องขอความรักลูกจึงส่งสารที่แสดงถึงการร้องขอความรักกลับไปสู่พ่อแม่ ฉะนั้นด้วยความรู้และไม่เข้าใจสารที่ตัวเองส่งและรับกลับไปกลับมาบ่อยๆของทั้งพ่อแม่และลูก จึงกลายเป็นความไม่เข้าใจกันและกันของพ่อแม่และลูกที่ถูกทำให้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆจนนำไปสู่การใช้คำพูดที่รุนแรง ใช้อารมณ์ที่รุนแรงหรือแม้กระทั่งใช้ความรุนแรงเหมือนที่ตัวเองเคยได้รับในอดีตถูกนำกลับมากระทำกับลูกของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งการที่พ่อแม่ทำร้ายลูกด้วยคำพูดที่รุนแรง ใช้อารมณ์ที่รุนแรงหรือแม้กระทั่งใช้ความรุนแรงร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัวก็มาจากสัญชาตญาณของความต้องการที่ต้องการจะเยี่ยวยาตัวเองของคนเรานี่เอง เพราะฉะนั้นการที่พ่อแม่ทำร้ายลูกด้วยคำพูดที่รุนแรงหรือแม้กระทั่งใช้ความรุนแรงร่วมด้วย จึงเป็นสัญญาณที่ตัวเราเองส่งออกมาเพื่อเตือนสติตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่เราได้รับการปฎิบัติในวัยเด็กและทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้รับความรักและเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่รักตัวเองเพราะคิดและเข้าใจไปเองว่าเราไม่ดีพอพ่อแม่จึงไม่รักเรา อารมณ์และความรุนแรงกับความรักเป็นคนละเรื่องกัน การที่พ่อแม่ใช้อารมณ์และความรุนแรงกับลูก ไม่ได้หมายควมาว่าพ่อแม่ไม่รักลูกหรือรักลูก การที่คนเราจะใช้อารมณ์และความรุนแรงเกิดจากความเข้มแข็งและความอ่อนแอ+ประสบการณ์ที่ไม่ดีที่ได้รับในวัยเด็ก ด้วยความไม่รู้และไม่เข้าใจจึงทำให้เราคิดและเข้าใจไปเองว่าพ่อแม่ทำร้ายเราเพราะพ่อแม่ไม่รักเรา นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนจะต้องเรียนรู้เพื่อปลดปล่อยความคิดและความรู้สึกของตัวเองออกจากโซ่ตรวจที่เราเป็นคนผูกด้วยตัวของเราเอง ทุกคนมีอำนาจที่จะหยุดการส่งต่ออารมณ์และความรุนแรงไว้ที่ตัวเองหรือดำเนินการส่งต่ออารมณ์และความรุนแรงต่อไป ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขของตัวเอง