เราได้ในสิ่งที่เราต้องการเสมอ
โลกจะตอบสนองในสิ่งที่เราต้องการเสมอไม่มากและไม่น้อยไปกว่านั้น เราเรียกการตอบสนองนั้นว่า กฎแห่งแรงดึงดูด (law of attraction) และกฎแห่งแรงโน้มถ่วง (law of gravity) ข้อสำคัญคือ เรารู้ในความต้องการของเรามากแค่ไหน??? ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่เรากำลังง่วนทำบางสิ่งบางอย่างอยู่เราก็คิดขึ้นได้ว่าเราจะเดินไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน หลังจากที่เราได้ทำสิ่งที่ทำอยู่เสร็จเราก็เดินไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน แต่พอเดินไปถึงเราไม่สามารถเปิดประตูรั้วหน้าบ้านได้เพราะเราลืมหยิบกุญแจไปด้วยจึงทำให้เราไม่สามารถเปิดประตูรั้วหน้าบ้านได้และเป็นเหตุให้เราต้องเดินกลับเข้าบ้านอีกครั้งเพื่อหยิบกุญแจไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน หรือ เราต้องการรดน้ำต้นไม้รอบบ้านเราจึงเดินออกไปเพื่อรดน้ำต้นไม้เราหยิบหัวฉีกน้ำขึ้นมาและหันไปเปิดหัวก็อก แต่พอรดน้ำไปได้เเป็บเดียวน้ำก็เริ่มลดน้อยลงๆ เราจึงหันไปสำรวจสายฉีดน้ำว่ามีส่วนใดหักงออยู่หรือเปล่าเพราะเรามั่นใจว่าเราได้เปิดหัวก็อกแล้ว แต่ดูแล้วดูอีกก็ไม่มีส่วนใดหักงอ ทำไมน้ำจึงไม่ไหล? จึงเป็นสาเหตุทำให้เราต้องหันไปสำรวจหัวก็อกน้ำอีกครั้ง เมื่อหันไปสำรวจหัวก็อกน้ำอีกครั้งเราจึงพบว่า ที่เราคิดว่าเราได้เปิดหัวก็อกน้ำกลับกลายเป็นการทำเพื่อปิดหัวก็อกน้ำที่เปิดเอาไว้จากการรดน้ำคราวที่แล้วแต่ลืมปิด นี่เป็นเพียงสองตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุและผล ไม่มีอะไรที่เป็นเหตุบังเอิญ ไม่ว่าเราจะมีสติหรือไม่มีสติในสิ่งที่กำลังทำอยู่มันคือ การมีสติที่ยืนอยู่บนความไม่มีสติ และ การไม่มีสติที่ยืนอยู่บนความมีสติ เราจะได้รับผลในสิ่งที่เราทำและไม่ทำ ซึ่งการทำและการไม่ทำอาจจะมาจากการลืมหรือคิดไม่ถึงของตัวเอง การกล่าวโทษคนอื่นไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไปแต่ทำให้ปัญหาขยายวงกว้างขึ้นและลึกขึ้น ความสามารถในการหยุดปัญหาและไม่ส่งต่อปัญหาจะทำให้เราสามารถเดินออกจากปัญหาได้ทุกปัญหาด้วยตัวของเราเอง หรือการปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นและเป็นไปวนไปวนมารอบแล้วรอบเล่าในชีวิตของเรา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เรา "ไม่ได้กำลังยืนอยู่ณ.จุดที่เรายืนอยู่" ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปตามความต้องการและการจัดหา ( demand and supply ) ภายในของเราเอง
***We can not solve our problems with the same level of thinking that created them