"Would you live with ease, do what you ought, and not what you please?" Benjamin Franklin
Switzerland - Sep 2008 # 1

๔ ก.ย. ๕๑เราเดินทางมาถึงราวหกโมงเช้าค่ะ ที่ด่านต.ม.รวดเร็วมาก เพราะเจ้าหน้าที่เค้าไม่ตรวจหนังสือเดินทางของชาวสวิส ไม่มีการประทับตราใด ๆ ส่วนของเราเอง ก็ไม่มีการถามคำถาม เปิดหนังสือเดินทางมาก็ประทับตราให้เลย ด่านศุลกากรก็มีได้ตรวจอะไรเช่นกัน เร็วมาก ๆ ค่ะ เพื่อนผู้ใจดีของคุณพ่อบ้านมารับถึงสนามบิน บอกว่าเห็นใจที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง จะปล่อยให้ขึ้นรถไฟกลับบ้านก็น่าสงสาร เลยอาสามารับ ช่างใจดีจริง ๆ เพราะไฟลท์มาถึงเช้ามาก ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ เลย

วันนี้ฝนตกพรำ ๆ อากาศค่อนข้างเย็น ไปเที่ยวคราวนี้เราพักกันที่บ้านของพ่อแม่ของคุณพ่อบ้าน ซึ่งอยู่ที่เมือง Basel ห่างจากซูริคมาทางตะวันตกราวๆ ๙๐ กม. ถ้านั่งรถไฟก็ราว ๆ หนึ่งชั่วโมง พ่อบ้านเกิดที่ซูริคค่ะ โดยมีคุณแม่เป็นชาวฮอลแลนด์ คุณพ่อเป็นชาวเยอรมัน แต่มาโตที่ Basel เพื่อนที่ไปรับเรานี้ก็เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยประถม และแต่งงานกับภรรยาชาวไทยเช่นกัน

ไปถึงบ้านคุณพ่อคุณแม่คอยอยู่แล้ว น้องสาวของคุณพ่อบ้านก็อยู่บ้านเช่นกัน เป็นจังหวะที่ดีมากที่มาสวิสเซอร์แลนด์ในเวลานี้เพราะน้องสาวเค้าซึ่งปกติทำงานอยู่ประเทศมาลี ในทวีปแอฟริกา ก็กลับมาเยี่ยมบ้านพอดี สำหรับพ่อแม่ซึ่งลูก ๆ อาศัยอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด คงดีใจมากๆ เลย ที่มีลูก ๆ ทุกคนกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง เพราะครั้งล่าสุดที่ครอบครัวได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา ก็ตอนงานแต่งงานเรานั่นเอง
ตามกำหนดการเดิม วันนี้เป็นวันที่สองของการเดินทาง เรามีนัดทานข้าวเที่ยงกับเพื่อนของคุณพ่อบ้านคนหนึ่งในตัวเมือง ซึ่งเราก็ไม่อยากเลื่อนหรือยกเลิกนัด พอถึงบ้านเก็บข้าวเก็บของ เอาของฝากให้กับครอบครัวเสร็จ เราก็ออกลุยกันเลย !

มื้อเที่ยงมื้อแรกในสวิสเซอร์แลนด์คราวนี้ เราไปทานกันที่ Hotel Krafftซึ่งเป็นโรงแรมเล็ก ๆ โดยเพื่อนของคุณพ่อบ้านเป็นคนซื้อไว้ นำมาดัดแปลง ปรับปรุง แล้วปล่อยให้ผู้เช่าไปเปิดทำโรงแรม โรงแรมนี้อยู่ติดกับแม่น้ำไรน์ อาหารมื้อนี้อร่อยมากค่ะ เราทานเสต็กเนื้อลูกวัว เสริฟ์พร้อมกับ risotto ซึ่งเป็นข้าว ปรุงแบบอิตาเลี่ยน ไม่กล้าถ่ายรูปไว้ เขินเพื่อนเค้า ทานอาหารเสร็จ เจ้าภาพก็พาเราไปชมห้องต่าง ๆ ของโรงแรม ไม่ได้เป็นโรงแรมหรูหราอะไร ตกแต่งแบบ minimalist ราคาปานกลาง ถ้าใครจะแวะมาเที่ยวบาเซิล ลองมาดูโรงแรมนี้นะคะ โลเคชั่นดี เพราะอยู่ในตัวเมืองเลยค่ะ (สถานีรถไฟไม่ได้อยู่ในใจกลางเมืองนะคะ ต้องนั่งรถรางมาแป๊ปนึง)

Basel มีลักษณะเหมือนสามเหลี่ยมทองคำบ้านเรา ไม่ใช่ว่ามีการค้ายาเสพย์ติดนะคะ แต่เป็นเมืองที่ติดกับชายแดน โดยมี ๓ ประเทศมาบรรจบกัน นั่นก็คือสวิสเซอร์แลนด์ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากซูริค เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศเพราะเป็นแหล่งรวมอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมเคมี และยา เป็นต้น เป็นเมืองที่มีพิพิธภัณฑ์มากมาย นอกจากนี้ Basel ยังมีงานนิทรรศการสำคัญมากมาย World Watch & Jewelly Fair ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ก็จัดขึ้นที่เมืองนี้เช่นกัน

ทานข้าว และเดินชมโรงแรมเสร็จ เราก็นั่งเรือข้ามฝั่งแม่น้ำ ไปที่โบสถ์แห่งหนึ่ง โชคร้ายหน่อยที่ระหว่างข้ามเรือนั้น ฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำเอาเปียกมอมแมมไปหมด เนื่องจากเคยมาบาเซิลแล้ว คราวนี้เลยไม่มีอะไรใหม่สำหรับเรา


เรือข้ามฟาก ค่าโดยสารคนละ 1.60 Sfr.




ฝนเทลงมา เทลงมา




แผงขายผลไม้สีสันสดใส ช่วงนี้มีเบอร์รี่ ลูกไหน ลูกพีช เยอะแยะเลยค่ะ




City Hall หลังสีแดง อายุกว่า ๖๐๐ ปี นับเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลย




อีกมุมหนึ่งของเมือง



มื้อเย็นเรามีนัดทานข้าวกับครอบครัว ที่ร้านอาหารประจำใกล้บ้าน เลยต้องรีบกลับบ้านหน่อยค่ะ
ส่วนมื้อเย็นวันแรกนี้ไปทานอะไร ตามไปดูได้ ที่นี่เลยค่ะ




Create Date : 21 กันยายน 2551
Last Update : 16 ธันวาคม 2553 15:08:54 น. 1 comments
Counter : 1482 Pageviews.

 
ยินดีต้อนรับค่ะ ขอให้เที่ยวให้มีความสุขนะค๊ะ


โดย: eve-ch IP: 84.75.183.116 วันที่: 22 กันยายน 2551 เวลา:17:27:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

divini
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
21 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add divini's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.