The Professor and The Madman : ความเศร้าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของอภิขุมทรัพย์คำอังกฤษ
. .
The Professor and The Madman : ศาสตราจารย์กับปราชญ์วิกลจริต , Simon Winchester สำนวนแปล คุณนพดล เวชสวัสดิ์ (นักแปลในดวงใจของจขบ.) . ผม ได้หนังสือเล่มนี้มาด้วยความอนุเคราะห์ของบุคคลท่านหนึ่งที่รักในสิ่งเดียวกับที่ผมรัก นั่นคือตัวหนังสือของ มูราคามิ เราได้สื่อสารกันผ่านทางจดหมายไฟฟ้าอยู่เนืองๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องหนังสือที่ผมสนใจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่ผมได้สื่อสารกัน และก็เป็นโชค ท่านผู้นี้แจ้งว่าท่านมีอยู่หนึ่งเล่มจะส่งไปให้อ่าน เพราะผมคงหาซื้อได้ยากแล้วเนื่องเพราะออกมาหลายปี เป็นอีกครั้งที่มิตรภาพได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่บกพร่องและมีประสิทธิภาพ ขอบคุณท่านผู้นั้นด้วยความซาบซึ้ง ณ ที่นี้ . ศาสตราจารย์กับปราชญ์วิกลจริต เป็นเรื่องราวความเศร้าหากแต่เป็นความจริง ความจริงเบื้องหลังความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์แห่งภาษาอังกฤษ ภาษาที่ว่ากันว่าเป็นภาษาสากล เริ่มแรกเดิมที คิดว่าเป็นนวนิยายตามที่เขียนแจ้งไว้หน้าปก แต่พอได้อ่านจนจบแล้วผมรู้สึกเหมือนนั่งฟังเรื่องเล่าของคนคนหนึ่ง ในที่นี้คือ ไซมอน วินเชสเตอร์ ผู้มีอาชีพเดิมเป็นนักหนังสือพิมพ์มาก่อน ได้ค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารเก่าคร่ำครึ ข้อมูลจากสถานที่จริง เพื่อนำมาเล่าให้ผู้อ่านฟังเกี่ยวกับ สองผู้ยิ่งใหญ่ ผู้อยู่เบื้องหลังงานที่เรียกได้ว่าไม่มีใครกล้าทำนอกจากคนไม่ธรรมดาและคนบ้าเท่านั้น โครงการนั้นก็คือ "พจนานุกรมอังกฤษออกซฟอร์ด" ซึ่งถือกันว่าเป็นพจนานุกรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นหลักปักยึดที่ยาวนานของภาษาอังกฤษ ซึ่งกินเวลาในการจัดทำนานกว่า70ปี จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ ให้ผู้อ่านทุกคนได้เปิดใช้กันอย่างสะดวกสบายมือ แต่เบื้องหลังอภิโครงการนี้ กลับเป็นเรื่องราวความเศร้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ และความประทับใจของปราชญ์ผู้เฒ่าสองท่าน ท่านหนึ่งคือ ดร.เจมส์ เมอร์เรย์ ผู้เติบโตมากับการใส่ใจศึกษา ใฝ่รู้เกี่ยวกับภาษาอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นผู้ทรงภูมิทางด้านภาษา เป็นผู้ที่เมื่อเติบใหญ่ได้เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักและนับหน้าถือตา แต่กับอีกท่านหนึ่งนั่นคือ นายแพทย์วิลเลียม เชสเตอร์ ไมเนอร์ อดีตศัลยแพทย์ประจำกองทัพสหรัฐ ผู้ผ่านศึกสงครามกลางเมืองของประเทศแม่ สงครามของฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ซึ่งเค้าได้เข้าสังกัดกองทัพฝ่ายเหนือ จากเหตุการณ์ระหว่างสงคราม สู่ความทรงจำฝังใจในวัยเด็กที่เกาะศรีลังกายามเห็นผู้หญิงเปลือยอกแหวกว่ายน้ำทะเล นำไปสู่โรคร้ายที่เกาะกินชีวิตของเค้าเกือบทั้งชีวิต และเหตุการณ์ที่น่าสพรึงและน่าจดจำมากหลาย ในช่วงชีวิตของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองท่านและงานที่ร่วมสร้างจนเกือบแล้วเสร็จ . เรื่องราวของเรื่องเริ่มจากเหตุฆาตกรรม ในถนนสายหนึ่งของลอนดอนยุควิกตอเรีย ผู้ก่อเหตุคือ นายแพทย์ไมเนอร์ อดีตศัลยแพทย์กองทัพสหรัฐ โดยผู้เคราะห์ร้ายคือ นายจอร์จ เมอร์เรตต์ ผลพิจารณาคดีได้ความว่า นายแพทย์วิลเลียม เชสเตอร์ ไมเนอร์ กระทำความผิดจริงแต่ทำไปในขณะที่ไม่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน หรือเสียสตินั่นเอง และแล้วเค้าก็ได้ถูกคุมขังอยู่ในโรงพยาบาลสำหรับนักโทษเสียสติ บรอดมัวร์ ณ ที่นี้เองเป็นที่พำนักเกือบทั้งชีวิตของผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอภิพจนานุกรม และใช้เป็นสถานที่คนหาสืบเสาะประวัติที่มาที่ไป ของอักษรอังกฤษแต่ละตัวเพื่อส่งให้ หออักษรศาสตร์แห่งออกซฟอร์ด ที่มีผู้บัญชาการใหญ่ ดร.เจมส์ เมอร์เรย์ คอยกำกับการอย่างใกล้ชิดแทบจะทุกขั้นตอน สิ่งที่ำทำให้ปราชญ์ทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน ก็คือจดหมายรายการคำต่างๆที่หออักษรศาสตร์กำลังต้องการ หรือทีมงานของดร.เจมส์ กำลังประสบปัญหาอยู่ ซึ่งวิธีการนี้เองทำให้ท่านทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็วผ่านตัวหนังสือ วิธีนี้เป็นวิธีที่แปลกแตกต่างจากอาสาสมัครคนอื่น ที่ส่งรายการคำมาอย่างมากมายและไม่ต้องตรงความต้องการเท่าใดนัก เพราะฉนั้นเมื่อเกิดปัญหากับคำใด ก็จะนึกถึงแต่ปราชญ์ลึกลับจากบรอดมัวร์ ผู้หลงรักถ้อยคำอย่างหัวปักหัวปำ คนเดียวเท่านั้น แล้วกาลก็ล่วงเลยไปหลายสิบปีกว่าที่ปราชญ์ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านจะได้พบกัน ทั้งที่ที่ทำงานห่างกันเพียงไม่กี่ไมล์ . และเมื่อได้พบกัน ดร.เจมส์ จึงได้รู้ว่าความจริงแล้วสถานภาพของนายแพทย์ไมเนอร์ เป็นเช่นไร และการทำงานก็เป็นไปด้วยความรักในถ้อยคำและเป็นสิ่งปลอบประโลมใจในชีวิตของนายแพทย์ไมเนอร์ ตลอดห้วงชีวิตที่ผ่านมา และความผูกพันทั้งสองก็ได้ผูกมัดเป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน จนก่อนสิ้นลมหายใจก็ยังมิเสื่อมคลาย กลายเป็นตัวขับให้เบื้องหลังพจนานุกรมอันยิ่งใหญ่ของโลกเล่มนี้ มีความบทภาคที่ประทับใจและซาบซึ้งในมิตรภาพของปราชญ์ที่ร่วมงานกันจนวันที่แทบสิ้นเรี่ยวแรงแล้วก็ยังไม่ได้ประจักษ์กับความสมบูรณ์ของมัน . . แวบแรกที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมได้แต่บอกตัวเองว่า ผมโชคดีเพียงใดแล้วที่เกิดมามีหนังสือดีดีให้อ่านไม่เคยขาดเลย และเชื่อไหมครับว่าหนังสือดีดีเหล่านั้นกว่า 90เปอร์เซ็นต์ ล้วนแล้วแต่ถูกแนะนำมาโดยมิตรภาพที่ผ่านตัวกลางคือหนังสือ และเล่มนี้ก็เช่นกัน เพราะฉนั้นทุกงานหนังสือผมไม่เคยจะพลาดไปมีส่วนร่วม เผื่อว่าผมจะได้มิตรภาพใหม่ๆโดยที่มีหนังสือเป็นสื่อกลาง และถ้าใครมีมิตรภาพดีดีเหล่านี้อยู่แล้ว อย่าปล่อยให้เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเลย หรือเป็นเพียงชั่วคราว เพราะบางครั้งมิตรภาพเหล่านั้นก็ไม่อาจมีโอกาสซ้ำสองที่่จะหาเจอ และอีกอย่างที่ผมได้รับจากหนังสือเล่มนี้นอกจากเกร็ดความรู้เรื่องภาษาอังกฤษ ความยิ่งใหญ่ของการประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่มีมนุษย์คนใดในยุคนั้นกล้าฝันถึง ให้ได้สำเร็จ นั่นก็คือ "มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาพบอุปสรรค ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรับมือกับมันได้ดีแค่ไหน ... เท่านั้นเอง" เหมือนดังเช่นสองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านได้ทำสำเร็จมาแล้ว . ทุกครั้งที่ผมอ่านหนังสือที่เป็นหนังสือแปลจากภาษาอื่นจบและผมรู้สึกซาบซึ้ง รัก และอินไปกับหนังสือ สิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่ลืมระลึกถึงคือ ผู้แปล เพราะคนผู้นั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมเข้าถึงสิ่งนั้นได้ด้วยมีคนแนะนำ ถึงแม้จะมีบางคนพูดว่าอ่านจากต้นฉบับดีกว่า ไม่ต้องผ่านการตีความจากคนแปล แต่สำหรับนักอ่านแบบผม ผู้แปล ที่ทำให้ผมเข้าถึงสาส์นที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้ ผมก็ยกย่องและชื่นชมผลงานของเค้า ไม่ด้อยไปกว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นเลย เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมเริ่มอ่านงานเขียนของ ฮารูกิ มูราคามิ ผู้แปลที่นำผมไปรู้จักโลกของ มูราคามิ ได้ดีที่สุด จนวันนี้ผมถือว่าเค้าเป็น นักแปลในดวงใจคนเดียวของผม และก็คือผู้แปลหนังสือเล่มนี้ "นพดล เวชสวัสดิ์" นั่นเอง . . ปล.สุดท้ายก่อนจบบทความยาวเยียดของผม ,ทุกครั้งที่ผมอ่านหนังสือเล่มใดจบ และรู้สึกรัก อิน ซาบซึ้ง กับหนังสือเล่มนั้นเหลือเกิน สิ่งที่ผมจะทำก่อนวางหนังสือที่อ่านจบลงกับโต๊ะก็คือ ผมจะจูบเบาๆลงบนปกหนังสือ แสดงความรักและขอบคุณหนังสือเล่มนั้น เหมือนกับที่ผมมักจะทำกับคนที่ถูกผมรัก เสมอ ...
Create Date : 09 มีนาคม 2553 |
Last Update : 9 มีนาคม 2553 1:13:41 น. |
|
6 comments
|
Counter : 5335 Pageviews. |
|
|