สองวัดกับหนึ่งร้านกาแฟ และอีกวันที่อยู่คนเดียว
ผมเริ่มต้นภารกิจวันนี้ด้วยธุระที่มหาวิทยาลัย เป็นธุระเกี่ยวกับเรื่องเรียนโท เสร็จธุระก็ประมาณบ่ายสองกว่าจึงแยกกับเพื่อน ผมจับรถเมล์สาย168 ที่หน้ามหาวิทยาลัยปลายทางอนุสาวรีย์ชัยฯ แต่ปลายทางจริงๆอยู่ที่สนามหลวง-ท่าช้าง เมนูวันหยุดของผมอาทิตย์เป็นเมนูเดิมที่มักจะทำเวลาต้องใช้ชีวิตคนเดียวและปราศจากธุระสำคัญอื่นใด จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ประมาณบ่ายสามโมงผมพบตัวเองอยู่บนรถเมล์สาย503 ปลายทางคราวนี้เป็นปลายทางสุดท้ายสนามหลวงและท่าช้างนั่นเอง สถานที่แรกที่ผมมาถึงคือบริเวณสามแยกหน้าตลาดก่อนทางไปท่าเรือข้ามฟาก ท่าช้าง เป็นบริเวณด้านข้างของวัดพระแก้ว ทุกครั้งที่ผมมาถึงที่แรกที่จะไปทุกครั้งคือ วัดระฆังโฆสิตาราม เพื่อไปสักการะบูชา "สมเด็จพุฒาจารย์โต" ที่ผมเคารพและศรัทธา เมื่อมีโอกาสผ่านมาผมจะนั่งเรือข้ามฟากไปวัดระฆังเพื่อมานั่งสวดพระคาถาชินบัญชรที่โบสถ์ของสมเด็จโต และนี่เป็นสถานที่ เป็นวัดแรกของเมนูวันหยุดของผมวันนี้


เสร็จกิจทางใจ ก็ออกจากวัดเพื่อมารอเรือข้ามฟากกลับไปฝั่งเดิม ผมไม่ลืมที่จะอุดหนุนขนมปังแถวและอาหารเม็ด นอกจากจะได้ให้อาหารนกและปลาที่ท่าเรือหน้าวัด ก็ยังเป็นการทำบุญไปในตัว เพราะเงินก็เข้าวัดอีกด้วย ผมถามลุงคนขายท่าทางใจดีร้องโฆษณาขายของว่า อาหารเม็ดเนี่ยให้นกได้รึเปล่า ลุงยิ้มแบบอารมณ์ดีแล้วตอบว่า ได้หมดได้หมด เดี๋ยวนกมันพัฒนาแล้ว กินได้ทั้งอาหารเม็ดทั้งขนมปัง ท่าทางจะพัฒนาจริงๆนะผมว่า

ผมมีความรู้สึกว่าขณะที่ผมกำลังให้อาหารนกและปลา มันเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย มีความสงบ และสุขอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูภาพคุณลุงด้านบนได้ว่าแกมีความสุขไหม ผมรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นไม่มีอะไรเข้ามาในหัวให้ต้องคิด ให้ต้องกังวล ให้ต้องวุ่นวาย สิ่งที่คิดขณะนั้นคงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง คือ จะโยนขนมปังก้อนนี้ไปให้ปลากลุ่มไหน หรือ จะหว่านอาหารเม็ดให้นกฝูงไหนดี มีความสุขไปอีกแบบแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างรอเรือข้ามฟากก็ตาม


หลังเสร็จปาร์ตี้อาหารนกและปลา รออีกไม่นานเรือข้ามฟากก็มา ไปกลับเรือค่าโดยสารคนละ 6 บาทถ้วนครับ ผมถึงท่าช้างประมาณสี่โมงเย็นรู้สึกหิวหน่อยๆแล้วล่ะสิ ผมเดินผ่านตลาดบริเวณหน้าท่าเรือ ไปสะดุดตากับร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ซึ่งน่าจะเป็นร้านเดียวของบริเวณนั้น ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากกินร้านนี้ก็ไม่รู้ อ่านต่อแล้วคุณก็จะได้รู้ว่าสุดท้ายทำไมผมถึงเลือกกินร้านนี้ "เส้นเล็กน้ำทุกอย่างครับ" ผมเอ่ยปากสั่งแม่ค้าที่หน้าร้าน แม่ค้าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ และไม่รีรอจัดการลวกเส้นเติมเครื่องด้วยความคล่องแคล่วและรวดเร็ว ผมนั่งพักและวางเป้ได้สักครู่ ก๋วยเตี๋ยวตามสั่งก็วางลงหน้าผม ความประทับใจแรก หรือที่ฝรั่งชอบพูดกันว่า first impression เวลาเจอคนที่ถูกใจ นั่นก็คือกลิ่น กลิ่นก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามนี้หอมมาก หอมมากจริงๆครับ หลังจากนั้นผมลงมือปรุง สัมผัสต่อมาหลังจากกลิ่น รสชาติครับ "สุดยอดมาก" พูดได้คำเดียวจริงๆครับอารมณ์นั้น คงไม่ใช่เพราะหิว เพราะผมก็ไม่ได้หิวมากเท่าไหร่นัก ผมไม่ได้คาดหวังว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ จะมีรสชาติที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้นะครับ สุดท้ายผมก็อุดหนุนไปซะสองชาม พร้อมกับเครื่องดื่มดับความกระหาย pepsi พร้อมน้ำแข็งอีกแก้ว


อิ่มได้ใจจริงๆครับมื้อนี้ สนนราคาก๋วยเตี๋ยวก็ชามละ 30 บาท ผมถือว่าไม่แพงเลยนะครับ สำหรับรสชาติแบบนี้ หากินยากครับดีไม่ดีเสียเป็นร้อยก็อาจไม่ได้รสชาติแบบนี้ครับ หลังจากจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ผมไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากพูดคุยกับแม่ค้า ด้วยคำถามสามัญ "ขายดีไหมครับวันนี้" แม่ค้ายิ้มก่อนตอบด้วยใบหน้าจริงจัง "ก็เรื่อยๆน่ะจ๊ะ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คนไม่ค่อยมาเดิน" ผมเลยรีบสารภาพความในใจ "แต่อร่อยมากเลยนะครับ ไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวเนื้ออร่อยๆอย่างนี้มานานแล้วครับ" แม่ค้ายิ้มรับและขอบคุณผม ก่อนตัดพ้อว่า "ถึงอร่อยแต่ไม่ค่อยมีคนเดินก็แย่เหมือนกัน" ผมเลยถามต่อว่าขายมานานแล้วเหรอครับ แม่ค้าเล่าให้ฟังว่า ที่จริงขายมานานแล้วแต่ก็หน้านี้เป็นญาติกันเค้าขายอยู่ แต่เค้าไปขายที่อื่นแล้ว พี่เลยมาขายต่อ แต่ก็เป็นสูตรเดิมจากญาตินั่นแหละ ก่อนลาจากแม่ค้า ผมยังสำทับส่งท้ายว่ "อร่อยจริงๆนะครับ" แม่ค้ายิ้มรับ และผมก็ออกเดินทางต่อ ผมคิดในใจแม่ค้าคงเชื่อจริงๆแล้วล่ะว่าอร่อยจริง งั้นผมถือโอกาสตั้งชื่อร้านให้แล้วกันนะครับว่า "ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้ออร่อยจริงๆ" ใครผ่านไปแถวนั้นอยากให้ลองแวะชิมดูนะครับ ไม่รู้ว่าผมอร่อยเว่อร์ไปรึเปล่า

ผมออกเดินทางต่อ เป็นการเดินทางจริงๆครับ เพราะผมเดินอย่างเดียว ถนนเส้นนี้ผมเดินได้ตลอดครับ มีอะไรให้มองให้ชมเยอะตลอดสาย ใครมากับผมก็คงลำบาก ผมจึงมักออกเดินคนเดียวเสมอ ออกมาหน้าตลาดไปสะดุดตาอีกแล้วครับ เป็นร้านขายหนังสือมือสองปูพื้นขายอยู่บนทางเดิน คนขายเป็นวัยรุ่นชายสองคนนั่งคุยกันอย่างเมามัน ไม่ค่อยสนใจลูกค้าเท่าไหร่ ผมหยุดยืนดูหนังสือในกอง และมีหนังสือเล่มนึงเตะตาผม เป็นหนังสือปกดำเก่าเล่มหนึ่งหน้าปกเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงว่า "ความทรงจำของข้าพเจ้า / นิกิต้า ครุสซอฟ" ถ้าใครคุ้นกับชื่อสตาลินของรัสเซีย ก็ไม่น่าจะพลาดชื่อนี้ ผมสอบถามราคาจากคนขาย 80 บาท ผมจ่ายเงินโดยไม่ลังเล หนังสือหายากแบบนี้ถ้าไม่ซื้อเดี๋ยวก็ลืมอีก แล้วก็จะไม่มีโอกาสได้เจออีก เอาเป็นว่าอ่านจบเมื่อไหร่จะอัพขึ้นบล็อคให้ได้อ่านกันครับ ก่อนออกเดินต่อ ผมพลิกเปิดปกด้านใน มีลายเซ็นอยู่น่าจะเป็นเจ้าของเก่า ลงวันที่ 28 เม.ย. 17 นับถึงวันนี้ก็ 36 ปีได้แล้ว ไม่รู้เจ้าของเดิมยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า แต่ยังไงเค้าน่าจะดีใจที่หนังสือของเค้ามีคนหยิบไปอ่านต่อแล้ว ไม่ต้องนอนกองอยู่กับเพื่อนอย่างไร้ประโยชน์


ออกจากบริเวณท่าช้างแล้วผมเดินต่อไปจนถึงท่าเตียน ระหว่างสองข้างทางจากท่าช้างถึงท่าเตียน เต็มไปด้วยแผงเช่าพระ ทั้งแผงเล็กแผงใหญ่มีให้ได้เลือกบูชากันเต็มสองข้างทาง เมื่อถึงบริเวณท่าเตียน ฝั่งตรงกันข้ามก็จะเป็นวัดอีกวัดในวันนี้ที่ผมเลือกเข้าไปสักการะ วัดนี้คือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์นั่นเอง ที่นี่จะมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ให้ได้สักการะบูชา ขณะที่ผมมาถึงวัดโพธิ์นั้นก็เป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็นแล้ว แต่ที่นี่จะปิดหกโมงเย็น ภายในอุโบสถของพระพุทธไสยาสน์ จะมีกิจกรรมทางพุทธศาสนาให้เราได้ทำอย่างนึงคือ การใส่บาตรเหรียญ จะมีเหรียญสลึง เหรียญห้าสิบสตางค์ใส่อยู่ในถ้วยอลูมิเนียม โดยให้เราทำบุญเป็นค่าเหรียญถ้วยละ 20 บาท ใส่ลงในตู้แล้วหลังจากนั้นก็เดินใส่บาตรที่วางเรียงอยู่บริเวณองค์พระ ออกจากพระอุโบสถ ผมเดินถ่ายรูปรอบบริเวณวัด และแวะเข้าห้องน้ำ หลังจากนั้นก็ออกเดินทางสู่ปลายทางของเมนูวันหยุดวันนี้เสียที



ผมมาถึงปลายทางของวันนี้ขณะที่นาฬิกาข้อมือผมบอกเวลา ห้าโมงเย็นสิบห้านาที และที่นี่ก็เป็น ร้านกาแฟ ร้านเดียวของวันนี้มีชื่อว่า "ViVi The Coffee Place" ร้านนี้ตั้งอยู่ปลายซอยปานสุข โดยที่ซอยอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนตั้งตรงจิตรพาณิชยการ ไม่ไกลจากวัดโพธิ์เท่าใดนัก ร้านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และนี่เองเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ผมมาที่นี่อยู่เสมอ และไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักครั้งเดียว ร้านเปิดทุกวันสิบโมงเช้าถึงสองทุ่ม และวันนี้โชคดีเป็นของผม นั่นคือวันนี้ผมได้นั่งโต๊ะด้านนอกตรงระเบียง อยู่ริมเจ้าพระยาพอดี แต่ที่ไหนได้ ไม่ใช่โชคดีหรอกเป็นเพราะแดดยังร้อนอยู่ต่างหาก เลยยังไม่มีใครจับจองที่ เลือกนั่งในร้านที่แอร์เย็นฉ่ำแทน ผมคิดในใจว่าทนร้อนเดี๋ยวเดียวช่วงเย็นจะสวยมากมาก เมื่อได้ที่ผมเดินเข้าไปในร้านสั่งแก้วประจำของผมที่ร้านนี้ "macchiato ร้อนถ้วยนึงครับ" ออกมานั่งรอที่โต๊ะ ด้านนอกก็ได้ยินเสียงเพลงที่เปิดจากในร้านเหมือนกัน เพลงฟังสบายมากมากครับ เป็นเพลงฝรั่งเก่าๆที่นำมาร้องใหม่ ออกสไตล์แจ๊ซหน่อยๆ แล้วก็แนวแบบ ชิว-เอาท์ครับ แต่รับรองฟังสบาย ระหว่างรอกาแฟ ผมจับปากกาเริ่มต้นบันทึกเรื่องราวของวันนี้ทันที และที่ทุกคนได้อ่านตั้งแต่ต้น ก็เป็นเรื่องราวของวันนี้ก่อนที่ผมจะเริ่มต้นจิบ macchiato ร้อนๆถ้วยเล็กของผม และหลังจากนี้ก็จะเป็นเรื่องราวหลังจากกาแฟถ้วยโปรดของผม กาแฟของที่นี่รสชาติดีทีเดียวครับ สำหรับคอกาแฟอย่างผม ที่บุกตะลุยชิมกาแฟมาหลายร้าน แม้จะไม่ถึงร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ก็ถือว่ามีลิ้นที่แกร่งพอตัว คราวแรกที่มาถึงร้าน ผมลองของด้วย เอสเปรสโซ่ร้อนหนึ่งถ้วย ถือว่าใช้ได้เลยนะครับ แต่ที่เอาผมซะอยู่ถ้วย ก็นี่แหละครับ macchiatoร้อนถ้วยเล็ก ฟองนมบางเบา รสกาแฟไม่หนักนัก จิบสบายครับ จากต้นสายถึงปลายทางของวันนี้ เชื่อไหมครับว่าโทรศัพท์มือถือของผมยังไม่ส่งเสียงร้องเลยสักนิด หรือใครๆต่างพากันลืมไปแล้วว่าผมยังดำรงตนอยู่ในโลกนี้ หรือจะคิดว่าผมหลุดจากโลกนี้ไปแล้วก็มิรู้ได้



ก่อนปิดโปรแกรมวันนี้ ผมเดินไปสั่ง คาปูชิโน่ร้อน ปิดท้ายวัน ผมยังไม่เคยชิมคาปูร้อนจากที่นี่เลย แต่ปกติก็ไม่ได้โปรดเจ้าคาปูเท่าไหร่อยู่แล้วด้วยกระมัง แต่วันนี้เกิดอยากลองขึ้นมา อีกอย่างทุกครั้งที่มาร้านนี้ ผมต้องได้รับกาแฟร้อนสองถ้วยทุกครั้ง ไม่รู้เพราะบรรยากาศหรือรสชาติกาแฟ ตอนนี้หกโมงเย็นเกือบครึ่งแล้ว บรรยากาศเจ้าพระยากับพระปรางค์วัดอรุณฝั่งตรงข้ามงามจับใจยิ่งนัก คุ้มกับการนั่งตากแดดรอชม แล้วเจ้าคาปูร้อนแก้วแรกของผมก็มา โอ้ว...พระพุทธ ใครเคยเห็นฟองนมของคาปูสวยเยี่ยงนี้มาก่อน ผมคนนึงล่ะที่ไม่เคยเห็นกับตา ฟองสวยได้ใจฟูนุ่มกำลังดี ไม่รอช้าจิบรสชาติกาแฟ อืม ใช้ได้ครับ แต่ยังสู้เจ้ามัคกิอาโตร้อนของผมไม่ได้ แต่ก็ดีพอตัวเลยล่ะ ถือโอกาสนั่งจิบคาปูร้อนๆ ชมความงามของพระปรางค์วัดอรุณ ขณะอาทิตย์อัสดงเหนือเจ้าพระยา สวยมากมากครับ อยากให้ลองมาชม ลำแสงจางจางของอาทิตย์ขณะกำลังอัสดงจับต้องยอดปรางค์วัดอรุณ เป็นภาพที่สวยงามจับใจจริงๆครับ




... ที่นี่พระอาทิตย์ตกเวลา สิบแปดนาฬิกาสามสิบห้านาที ที่นี่กรุงเทพ ที่นี่ประเทศไทยครับ สวัสดี ...
Create Date : 30 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 31 พฤษภาคม 2553 2:32:18 น. |
|
11 comments
|
Counter : 1882 Pageviews. |
 |
|