ผมเริ่มเป็นนักอ่านและเริ่มเข้าร้านหนังสือก็ตอนเข้ามาเรียนอยู่กรุงเทพ ตอนสมัยเรียนที่ม.รามคำแหง ผมจำได้แม่นว่าร้านหนังสือร้านแรกคือร้านดอกหญ้า สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว เนื่องเพราะห้างอยู่ใกล้บ้าน ไปมาสะดวก ยังไงก็ไม่หลง เพราะเมื่อก่อนผมจะหลงกรุงบ่อยมากตามประสาเด็กนอกเพิ่งเข้ากรุงฯ ผมประทับใจกับร้านหนังสือดอกหญ้าที่เซ็นทรัลลาดพร้าวมาก กับการจัดวาง บรรยากาศร้าน มันเชิญชวนอย่างบอกไม่ถูก หนังสือเล่มแรกที่หยิบจากร้านเป็นหนังสือเรื่อง สามก๊ก ฉบับวนิพก ของยาขอบ เป็นตอนของขงเบ้ง จำราคาตอนนั้นไม่ได้ แต่จำได้ว่าอ่านสนุกมากจนต่อมาซื้อจนครบชุด และเวียนแวะไปที่ร้านบ่อยมาก ปกติผมจะไม่ค่อยชอบคุยกับพนักงานร้านเท่าไหร่ อยากดูเงียบๆคนเดียว ประมาณนั้น
จนต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จำไม่ได้ว่ากี่ปี ร้านดอกหญ้าของผมที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ก็หายไป หายไปแบบทันทีไม่ทันได้ตั้งตัว เหมือนกับผมฝันว่ามันเคยมีอยู่ตื่นมาก็หายไป มีร้านใหม่มาแทนที่เป็นร้านหนังสือเหมือนกัน พอได้ลองเข้าไปเยี่ยมชม ก็ได้รู้ว่าเกิดการเทคโอเวอร์หรืออะไรสัอย่าง เปลี่ยนแบรนด์จากดอกหญ้ามาเป็น "บุ๊คคลับ" (Book Club) แต่พนักงานส่วนใหญ่ในร้าน ก็ยังเป็นคนเดิมเดิมอยู่เท่าที่สังเกตุเห็น อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือบรรยากาศร้าน การเลือกจัดวางหนังสือ ยังน่าดึงดูดเหมือนเดิม แต่ดูทันสมัยขึ้นอาจเป็นด้วยสีที่ตกแต่งในร้านที่เป็นโทนสีขาวสะอาดตา หลังจากนั้นผมก็แวะเวียนไปอุดหนุนอยู่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่ไปเซ็นทรัลลาดพร้าว สิ่งที่ผมทำประจำไม่เคยพลาด คือต้องเดินไปแวะที่ร้านถึงไม่ซื้อก็ขอเยี่ยมชมหน่อย
ผมอุดหนุนหนังสือจากที่ร้านเป็นจำนวนมากเอาการอยู่ เล่มไหนออกใหม่ก็มักจะได้จากที่ร้าน คงเพราะผมเดินเซ็นทรัลลาดพร้าวบ่อยมาก จึงได้แวะเวียนไปบ่อย ได้หนังสือมากมายหลายแนว แต่ยังไม่เคยรู้จักกับเฮียมูของผมสักที ทั้งที่หนังสือของเฮียมูที่ร้านก็มีเยอะเอาการอยู่ และจำได้ว่าก่อนหน้านั้นเล่มที่ออกใหม่ตอนนั้นของ มูราคามิ เป็นเล่ม คาฟก้า วางแผ่อยู่ที่แผงหนังสือใหม่หน้าร้าน แต่ก็ไม่เคยจะหยิบมันขึ้นมาสักที จนมาวันหนึ่ง พี่พนักงานที่ร้าน เป็นผู้ชายรูปร่างท้วม ใครๆรวมถึงตัวเค้า จะให้เรียกเค้าว่า พี่อ้วน เป็นอันรู้กัน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าชื่อเล่นจริงๆแกชื่ออะไร พี่อ้วนเข้ามาคุยกับผมในวันนึงที่ผมยืนดูหนังสือในร้านอยู่ ไม่รู้เพราะเห็นผมมาบ่อยหรือวันนั้นลูกค้าไม่เยอะ แต่พอได้คุยด้วยก็ถูกคอกัน เพราะพี่อ้วนแกอ่านหนังสือเยอะมาก เหมือนเป็นเครื่องจักรอ่านหนังสือ ลูกค้าคนไหนเข้ามาถามถึงหนังสือเล่มไหนก็มักจะคุยได้รู้เรื่องเกือบหมด ขนาดเล่มใหม่วางไม่กี่วันแกยังตอบได้ เพราะได้เอาไปอ่านแล้วที่บ้าน ผมอึ้งในความเป็นเครื่องจักรอ่านหนังสือของแกมาก ยังเคยแอบแซวอยู่บ่อยว่าเล่มใหม่ขนาดนี้ยังเล่าได้เลย พี่อ้วนจะรู้ว่าผมชอบอ่านหนังสือแนวไหน ช่วงนั้นผมติดวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนมาก เชอร์ล็อค โฮล์ม เนี่ยโดนผมเก็บเกลี้ยง พี่อ้วนพอเห็นผมที่ร้านก็จะเข้ามาบอกเล่มดีนะ เล่มนี้สนุก ผมได้เปิดโลกการอ่านกว้างขึ้นส่วนหนึ่งก็มาจากพี่อ้วนนี่แหละ บางเล่มผมไม่แม้แต่จะจับ แต่พอพี่อ้วนบอกคำเดียวว่าดี ผมลอง สุดท้ายก็ดีจริงๆ เป็นอย่างนี้เสมอมาผมว่าเผลอๆนับได้เกือบร้อยเล่มเชียว
มาถึงไคลแมกซ์สักที วันนึงเป็นช่วงที่หนังสือใหม่ค่อนข้างขาดตลาด แต่ความจริงขาดเฉพาะหนังสือที่ผมสนใจเท่านั้นเองแหละ ผมก็บ่นให้พี่อ้วนฟัง พี่อ้วนถามขึ้นมาว่าเคยอ่านหนังสือของคนนี้รึยัง ฮารูกิ มูราคามิ ผมตอบอย่างไม่ลังเล ว่ายังครับ พี่อ้วนตกใจ อ่านหนังสือเยอะอย่างผมเนี่ยน่าจะเคยผ่านตาบ้างนะ งั้นเอาไปจัดให้หนึ่งเล่ม แนะนำ คาฟก้า วิฬาร์ นาคาตะ เล่มไม่โตมากขนาดกลางกำลังเหมาะมือ ผมก็ไม่ลังเลที่จะซื้อเมื่อพี่อ้วนแนะนำ อีกทั้งช่วงนั้นไม่ค่อยมีอะไรให้อ่าน วันนั้นจึงได้หนังสือเล่มแรกของ มูราคามิ กลับบ้าน ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผมแทบบ้า เหมือนได้เจอหนังสือแบบที่ตามหา แบบที่ถูกจริตกับเรา แบบที่ว่าอื่นๆอีกมากมาย ผมหลงรักนักเขียนคนนี้ในแทบจะทันที่ก่อนหนังสือจะจบลง ช่วงเวลาหลังจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากในการตามหาและตามเก็บหนังสือของนักเขียนคนนี้ จากวันนั้นผมไปคุยกับพี่อ้วนถึงหนังสือของ มูราคามิ พี่อ้วนบอกกลับมาว่าบอกแล้วว่าดีจริง หลังจากนั้นผมตามเก็บหนังสือในร้านของมูราคามิจนหมดที่ร้านมีวางขายอยู่ ไม่ว่าจะเป็น สดับลมขับขาน พินบอล แกะรอยแกะดาว รวมไปถึงเล่มโตในตอนนั้นอย่าง บันทึกนกไขลาน จากนั้นก็ออกไปตามเก็บต่อตามงานหนังสือ และร้านหนังสือมือสองจตุจักร แต่มีเล่มหนึ่งที่พี่อ้วนบอกเอาไว้อย่างท้าทายว่า หากยังไม่อ่านเล่มนี้ของมูราคามิ ก็เหมือนยังไม่ถึงจุดสุดยอดทางตัวหนังสือกับมูราคามิ ใช่ครับ เล่มนั้นก็คือ นอร์วีเจี้ยน วูด : ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย สำนวนแปลโดยคุณนพดล เวชสวัสดิ์(นักแปลในดวงใจของเจ้าของบล็อค) พี่อ้วนบอกว่าเล่มนี้ออกมานานแล้ว และขาดตลาดไปนานมากเหมือนกัน พี่อ้วนเล่าให้ฟังถึงความประทับใจและความเยี่ยมของหนังสือ ถ้ามีพิมพ์อีกจะเก็บไว้ให้ เพราะพี่อ้วนไม่ได้ซื้อเก็บไว้ นับแต่วันนั้นผมก็ออกปฏิบัติการภารกิจส่วนตัว ในการตามหา นอร์วีเจี้ยน วูด ผมตามไปทั่วทั้งร้านหนังสือมือสอง งานหนังสือประจำปีทั้งสองครั้ง ไม่มีโอกาสที่ผมได้เข้าใกล้ นอร์วีเจี้ยน วูด เลยสักนิดเดียว เหตุการณ์นี้เกิดก่อนที่สำนักพิมพ์สุดแนวอย่างกำมะหยี่จะหยิบงานชิ้นนี้มาพิมพ์ใหม่ (ซึ่งผมก็ไม่พลาดที่จะเก็บเป็นเจ้าของอีกเล่ม พร้อมลายเซ็นผู้แปลอย่างคุณนพดล) ระหว่างที่ผมตามหาอยู่นั้นผมก็ได้คอลเลกชั่นมูราคามิที่แปลเป็นไทยแล้วจนหมด เหลือเพียงเล่มเดียว เล่มเดียวเท่านั้นในใจ ที่พี่อ้วนฝากคำแนะนำเอาไว้ เวลาผ่านไปอีกหลายปี จนความพยายามของผมเกือบจะหายไป เพราะมีหนังสืออีกหลายเล่มแวะเวียนเข้ามา พร้อมกับการจากไปอย่างฉับพลันของร้านบุ๊คคลับ ผมเศร้าใจกับการปิดตัวครั้งนี้มาก เพราะไม่มีการเปิดสาขาอื่นแทน ไม่มีการเทคโอเวอร์ ไม่มีอะไรทั้งนั้น หายไป ปิดตัว ด้วยเหตุผลที่ไม่ลงตัวกันทางธุรกิจ ระหว่างเจ้าของร้านกับเจ้าของที่ แต่ทำให้ลูกค้าอย่างผมเศร้าใจ และอีกประการที่เศร้าหนักกว่านั้น ผมไม่รู้ว่าพี่อ้วนจะไปทำงานที่ร้านอื่นรึเปล่า เห็นว่าตอนนั้นแกบอกว่าน่าจะพักผ่อนสักระยะ แล้วค่อยหางานใหม่ ตั้งแต่นั้นผมได้เจอพี่อ้วนอีกแค่ครั้งเดียว ตอนเดินสวนกันที่เซ็นทรัล ลาดพร้าวนั่นแหละ ก็ทักทายกันอยู่นานพอสมควร แล้วก็ถึงเวลาจากกันจริงๆสักที ตอนนี้ก็หลายปีผ่านไป ผมก็ยังไม่ได้เจอแกอีก หากใครที่อ่านมาถึงตอนนี้ แล้วเผอิญรู้จักกับพี่อ้วนเหมือนที่ผมรู้จัก เป็นพี่ผู้ชายร่างท้วมที่เคยทำงานอยู่ที่ร้านบุ๊คคลับ สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว ช่วยฝากข่าวมาถึงผมด้วยนะครับ ไม่ว่าจะช่องทางก็ตาม ผมจะคอยฟังคอยอ่านเผื่อจะมีข่าวดี และเรื่องราวหลังจากบรรทัดนี้ จะเป็นเรื่องราวที่พี่อ้วนยังไม่เคยฟังจากปากผม ผมมักจะนึกถึงแกเมื่อผมนึกถึงหนังสือเล่มนี้ ซึ่งผมเรียกมันว่าหนังสือในตำนาน นอร์วีเจี้ยน วูด
เรื่องราวมีอยู่ว่า ระหว่างการตามหาหนังสือเล่มนี้อยู่นานหลายปี ผมไม่เคยแม้แต่จะโทรไปสอบถามที่สำนักพิมพ์มติชน ว่ายังพอมีเหลืออยู่บ้างรึเปล่า ไม่เคยนึกถึงเลยจริงๆ แต่อยู่มาวันนึง เหมือนคงถึงเวลาที่เหมาะสมสักที วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันนึงที่ผมนั่งทำงานประจำเหมือนเช่นเคย แต่ไม่รู้เพราะอะไร อาจเป็นงานไม่เยอะ สบายสบาย เลยเข้าไปพิมพ์นอร์วีเจี้ยน วูด ในอากู๋(เกิ้ล) ก็มีบทความต่างๆนาๆขึ้นมาให้อ่าน นั่งอ่านเพลิน จนนึกขึ้นได้ ทำไมเราไม่เคยโทรไปที่สำนักพิมพ์ต้นกำเนิดหนังสือเล่มนี้เลยนะ เท่านั้นแหละผมเปิดหาเบอร์โทรแล้วกดไปทันทีที่สำนักพิมพ์มติชน ที่ผูกขาดการพิมพ์งานของมูราคามิมาหลายเล่ม ปลายสายเป็นเจ้าหน้าที่หญิง ผมแจ้งความประสงค์ของผมทันที เธอบอกว่ารอสักครู่เดี๋ยวจะหาข้อมูลให้ว่ายังพอมีอยู่รึเปล่า ผมรอด้วยใจจดจ่อเพราะอย่างนี้เท่ากับผมมีความหวัง เสียงปลายสายดังขึ้น ยังมีอยู่ค่ะ พึ่งได้ตีกลับมาจากร้านค้าไม่กี่วันนี้เองมีอยู่หลายเล่มเหมือนกันแต่สภาพไม่ค่อย100%แล้ว ผมบอกแค่พออ่านได้ก็พอครับ ผมบอกเธอทันทีว่าผมจองไว้เล่มนึง เย็นนี้จะเข้าไปรับที่สำนักพิมพ์ เธอบอกเวลาปิดของสำนักพิมพ์ หลังจากวางสาย ผมแทบจะวิ่งออกจากที่ทำงานไปเอาหนังสือซะเดี๋ยวนั้น สุดท้ายวันนั้นผมก็ได้เป็นเจ้าของหนังสือในตำนานของผมเล่มนี้ หากคุณอยากรู้ว่าผมประทับใจแค่ไหน ก็ไปอ่านได้ในบทความแรกของบล็อคแห่งนี้ ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ,โศกนาฏกรรมแห่งการรักถูกคน กับคนถูกรัก
จนถึงวันนี้ ผมอยากบอกพี่อ้วนเหลือเกินว่า พี่ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลย หนังสือที่พี่แนะนำทุกเล่มติดใจผมหมด และหนังสือเล่มนี้ก็ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้ถึงจุดสุดยอดทางตัวหนังสือของมูราคามิจริงจริง และก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ผมยังตามอ่านงาน บทความ เกี่ยวกับมูราคามิอยู่เสมอ จนทำให้ผมได้มิตรภาพทางตัวหนังสืออีกมากมายหลายคน หากไม่มีพี่อ้วนที่แนะนำ คาฟก้า วันนั้น ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่กว่าผมจะได้เจอกับ มูราคามิ หรืออาจไม่ได้เจอ ไม่ได้อ่านไปเลยก็ได้ อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว หากใครที่พอรู้จัก หรือได้พบเจอ ฝากความคิดถึงและนึกถึงพี่อ้วนให้ผมด้วยนะครับ ถ้าส่งข่าวมาให้ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มิตรภาพทางตัวหนังสือ ได้ทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี อย่างที่ผมมักจะบอกผ่านงานเขียนในบล็อคผมอยู่เสมอๆ ผมดีใจที่เกิดมาชาตินี้มีมิตรภาพผ่านทางตัวหนังสือดีดีมากมายอยู่รอบตัวผม แล้วคุณล่ะ มีมิตรภาพทางตัวหนังสือเหมือนผมบ้างรึยัง ...
ปล. ภาพยนต์เรื่อง นอร์วีเจี้ยน วูด ฉบับญี่ปุ่นมีกำหนดฉายแล้วนะครับประมาณปลายปีนี้ ใครอยากได้ข้อมูลก็ตามไปที่ www.norway-mori.com ได้เลยครับ
Create Date : 07 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2554 9:57:31 น. |
|
9 comments
|
Counter : 1436 Pageviews. |
|
ดีจัง เรานะชอบร้านที่มีคนที่รักการอ่านจริงๆ และสามารถแนะนำหนังสือได้อย่างนี้จัง